เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงผู้นำรัฐบาล ย้ำต้องผลักดันนิรโทษกรรมประชาชนอย่างเร่งด่วน

3 กรกฎาคม 2568 –  เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนางสาวชนก จันทาทอง รองประธานวิปรัฐบาล คนที่ 3 เนื่องในโอกาสเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1ในกิจกรรม “ไปบอกสภาว่าเราเอานิรโทษกรรมประชาชน” โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันให้ประเทศไทยผลักดันนิรโทษกรรมประชาชนอย่างเร่งด่วน พร้อมย้ำ 3 ข้อเรียกร้องเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับประชาชนที่ใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ นับตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา   

ณธกร นิธิศจรูญเดช เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายรณรงค์สาธารณะ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย พร้อมด้วย ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล นักกิจกรรม ตัวแทนเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน กล่าวว่า รัฐบาลและรัฐสภาไทย ต้องแสดงความจริงใจในการแก้ไขสถานการณ์สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก มากกว่าการใช้การนิรโทษกรรมประชาชนเพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งมีแนวโน้มเป็นมาโดยตลอด  

“ในวันนี้ เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนต้องการเน้นย้ำว่า นิรโทษกรรมประชาชนเป็นทางออกของความขัดแย้งทางการเมืองสำหรับทุกคนและทุกฝ่าย ทั้งเพื่อผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังในปัจจุบัน และผู้ในที่จะออกมาใช้สิทธิและเสรีภาพในอนาคต  เพื่อประกันว่าจะไม่มีใครถูกดำเนินคดีอาญาเพียงเพราะใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและชุมนุมประท้วงโดยสงบอีกต่อไป” ตัวแทนทั้งสองคนย้ำ 

โดยข้อเรียกร้องของเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนในวันนี้ ได้ครอบคลุม 3 ประเด็น ได้แก่  

 1. ผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมประชาชนทุกฉบับเข้าสู่วาระสมัยประชุมนี้  

 2. รวมคดีตามมาตรา 112 ไว้ในการนิรโทษกรรม เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งและยืนยันสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ 

 3. นิรโทษกรรมต้องครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้ทิ้งประชาชนคนไหนไว้ข้างหลัง  

ตัวแทนเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ยังยืนยันในจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือทางการไทยต้องไม่ลืมไม่ลืมเรื่องนิรโทษกรรมประชาชน ในฐานะวาระเร่งด่วน ที่ถูกเลื่อนมาพูดคุยในการประชุมสภาฯ ในระหว่างวันที่ 3 กรกฏาคม – 30 ตุลาคมนี้ เพราะเราตระหนักดีว่า “การเพิกเฉยต่อปัญหานี้ไม่ใช่ทางออก”   

“การเดินหน้าพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ต้องไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่ แต่คือการแสดงเจตจำนงของรัฐบาลในการสะสางอดีต เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับผู้ถูกดำเนินคดีการเมือง  โดยการพิจารณาร่างดังกล่าวในวาระหนึ่งและวาระสอง จะต้องแล้วเสร็จภายใน 120 วัน” 

“รัฐบาลต้องไม่ใช้ข้ออ้างใดมาเป็นเหตุผลในการประวิงเวลาอีกต่อไป การสะสางอดีตนี้ จะต้องนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันและรับประกันการวางรากฐานสำหรับสิทธิเสรีภาพในอนาคตอย่างแท้จริง”  

ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมประชาชน ถูกเสนอเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ผ่านการเสนอรายชื่อของประชาชนกว่า 36,723 คน โดยครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ทุกสี ทุกฝ่าย ที่เคยถูกดำเนินคดีทางการเมืองตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549  และเป็นร่างนิรโทษกรรมฉบับเดียว ที่ครอบคลุมการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 โดยอัตโนมัติ 

ปัจจุบัน ทางการไทยมีบทบาทในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) วาระ 2568–2570 และมีพันธกรณีสำคัญในการปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนภายในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะในปี 2569 ที่ประเทศไทยจะต้องเข้าสู่กระบวนการ การทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (UPR) รอบที่ 4 โดยองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและรัฐสมาชิก UN ได้แนะนำอย่างต่อเนื่องให้ไทยทบทวนกฎหมายอาญามาตรา 112 และดำเนินมาตรการนิรโทษกรรมต่อผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง  

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามข้อมูลโดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ปัจจุบันยังมีประชาชนอย่างน้อย 51 คน ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือกรณีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง โดยอย่างน้อย 32 คน ถูกคุมขังโดยมูลเหตุจากประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะที่อย่างน้อย 26 คน ถูกคุมขังระหว่างต่อสู้คดีโดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัว  

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน