อิสราเอลต้องยกเลิกแผนการใดๆ ที่จะผนวกดินแดนในกาซาทันที และยุติการบังคับให้ชาวปาเลสไตน์จำนวนมากต้องอพยพ

รัฐบาลอิสราเอลต้องยกเลิกแผนการที่มีการเปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ทันที ซึ่งเป็นการเพิ่มปฏิบัติการทางทหาร รวมทั้งแผนที่จะผนวกดินแดนของชาวปาเลสไตน์ และการบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาที่ถูกยึดครองและควบคุมต้องเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายระหว่างประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวในวันนี้

อิสราเอลยังคงทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อไป แม้จะตระหนักเป็นอย่างดีถึงอันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ในกาซา การดำเนินงานใดๆ ของอิสราเอลเพื่อบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ต้องอพยพไปด้านใต้ของฉนวนกาซา และการควบคุมให้พวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “ฟองอากาศแบบปิด (closed bubbles)” หรือการดำเนินงานใดๆ ซึ่งทำให้เกิดสภาพที่ไร้มนุษยธรรม เพื่อบีบให้ชาวปาเลสไตน์ต้องอพยพออกไปจากกาซา ย่อมถือเป็นอาชญากรรมสงครามที่เป็นการเคลื่อนย้ายหรือการเนรเทศประชากรอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย และหากการดำเนินงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีอย่างเป็นระบบหรืออย่างกว้างขวางที่มีเป้าหมายเป็นประชากรพลเรือน ย่อมถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติด้วย

“หลังทำการปิดล้อมกาซาเป็นเวลาสองเดือน อิสราเอลได้ประกาศเจตจำนงที่จะขยายปฏิบัติการทางทหารซึ่งส่งผลกระทบเลวร้ายอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อเพิ่มอำนาจยึดครองฉนวนกาซาอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายมากขึ้น ทั้งยังเป็นการบังคับให้ชาวปาเลสไตน์ต้องอพยพ ย่อมถือเป็นผลกระทบที่ร้ายแรงในขั้นสุดท้าย และจะนำไปสู่การทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ในกาซา ซึ่งในช่วงหลายเดือนติดต่อกันต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอด ท่ามกลางการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างต่อเนื่องของอิสราเอล”

เอริกา เกวารา โรซาซ์ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านงานวิจัย การผลักดันเชิงนโยบาย และการรณรงค์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

นับแต่เดือนตุลาคม 2566 โลกได้เห็นการอพยพของชาวปาเลสไตน์ระลอกแล้วระลอกเล่าในกาซาภายใต้สภาพที่ไร้มนุษยธรรม ลักษณะการโยกย้ายถิ่นฐานที่เกิดขึ้นกับพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นส่วนสำคัญของแผนการของอิสราเอลที่กระทำต่อชีวิตของชาวปาเลสไตน์ในกาซา ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดการทำลายล้างทางกายภาพต่อพวกเขา ในปัจจุบัน พื้นที่เกือบ 70% ของฉนวนกาซาต้องปฏิบัติตาม “คำสั่งให้อพยพ” หรือถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ห้ามเข้าไปอยู่อาศัย

ตามแผนการใหม่ของอิสราเอล ทางการได้วางแผนที่จะเร่งการยึดครองดินแดนอย่างน่ากลัว โดยจะมีการ ‘ตรึงกองกำลังอย่างต่อเนื่อง’ ในพื้นที่ และจะมีการบังคับให้ประชากรส่วนใหญ่ต้องอพยพโยกย้ายโดยไม่มีกำหนดสิ้นสุด

“แผนการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเพิกเฉยอย่างสิ้นเชิงของอิสราเอลต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และการดูถูกเหยียดหยามสิทธิของชาวปาเลสไตน์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลย้ำถึงข้อเรียกร้องอย่างชัดเจนที่มีต่อกลุ่มฮามาส และกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ให้ปล่อยตัวประกันที่เป็นพลเรือนโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข ดูเหมือนว่าอิสราเอลกำลังใช้การปล่อยตัวประกันเป็นเงื่อนไขเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการก่ออาชญากรรมเพิ่มเติม และการละเมิดต่อชาวปาเลสไตน์ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่จะยังเกิดขึ้นต่อไปในฉนวนกาซา เป็นผลให้หลายครอบครัวซึ่งมีญาติพี่น้องที่ตกเป็นตัวประกันในกาซาต้องออกมาประณาม”

เอริกา เกวารา โรซาซ์กล่าว

แผนการของอิสราเอลที่จะควบคุมและใช้กำลังทหาร เพื่อแจกจ่ายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ยังเป็นการทำลายหลักการความเป็นอิสระและความไม่ลำเอียงของการจัดสรรความช่วยเหลือที่จำเป็น ให้กับกลุ่มประชากรที่กำลังเดือดร้อนอย่างมาก แผนการเหล่านี้ได้ถูกประณามอย่างกว้างขวางโดยหน่วยงานสหประชาชาติ และหน่วยงานด้านมนุษยธรรม ซึ่งต่างให้ความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ที่จะปฏิเสธการดำเนินงานใดๆ ที่ใช้ความช่วยเหลือเป็นอาวุธ

การยึดครองอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดการปิดกั้นการส่งความช่วยเหลือเพื่อช่วยชีวิตเข้ามาในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา และเชื้อเพลิง ซึ่งเกิดขึ้นมานานกว่าสองเดือน ได้ถูกอิสราเอลใช้เป็นอาวุธในการทำสงคราม และการลงโทษแบบกลุ่มที่มิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิดอย่างโจ่งแจ้งต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งมีข้อห้ามอย่างเคร่งครัดต่อการลงโทษแบบกลุ่ม และการกำหนดให้ทุกฝ่ายต้องอนุญาตและอำนวยความสะดวกให้มีการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างไม่ลำเอียงให้กับกลุ่มประชากรที่เดือดร้อน

“การดำเนินงานใดๆ เพื่อเปลี่ยนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นอาวุธ และใช้เป็นเงื่อนไขบังคับให้มีการอพยพ หรือการกำหนดพื้นที่เพื่อแจกจ่ายความช่วยเหลือบนพื้นฐานที่เลือกปฏิบัติ ย่อมเป็นการละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิเสธ” 

เอริกา เกวารา โรซาซ์
ผู้อำนวยการอาวุโสด้านงานวิจัย การผลักดันเชิงนโยบาย และการรณรงค์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

“ประชาคมระหว่างประเทศต้องแสดงความเห็นร่วมกันเพื่อปฏิเสธแผนการที่อันตราย และกดดันให้อิสราเอลปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
และประกันให้มีการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างไม่ปิดกั้นตลอดทั้งกาซา”

ชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ในกาซา เป็นผู้สืบเชื้อสายจากผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นักบา (Nakba) เมื่อปี 2489 และในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาต้องทนทุกข์ทรมานจากการอพยพ และการสูญเสียทรัพย์สินของตน โดยเกิดจากการกระทำของอิสราเอล รวมทั้งยังถูกปฏิเสธสิทธิที่จะกลับไปยังดินแดนของตนเอง แผนการล่าสุดของอิสราเอลจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมความอยุติธรรมครั้งประวัติศาสตร์นี้

“แทนที่จะเดินหน้าตามนโยบายที่จะนำไปสู่การบังคับให้อพยพโยกย้าย และอาจเป็นการผนวกดินแดนอย่างผิดกฎหมาย อิสราเอลต้องยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซาทันที ยุติการยึดครองดินแดนของชาวปาเลสไตน์อย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย สอดคล้องตามความเห็นเชิงให้คำปรึกษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 และต้องยุติระบบที่แบ่งแยกและกีดกันต่อชาวปาเลสไตน์” เอริกา เกวารา โรซาซ์กล่าว

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการสัมภาษณ์ของสื่อ โปรดติดต่อ:
[email protected]

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน