
เมียนมา: การโจมตีชาวโรฮิงญาครั้งใหม่ย้ำเตือนถึงความรุนแรงครั้งใหญ่ในปี 2560
21 สิงหาคม 2567
ก่อนการครบรอบ 7 ปีของเหตุการณ์การโจมตีชาวโรฮิงญา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า การโจมตีชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ของเมียนมาที่ทวีความรุนแรงขึ้นมีความคล้ายคลึงกับความโหดร้ายในเดือนสิงหาคม 2560 อย่างน่ากลัว
โจ ฟรีแมน นักวิจัยของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 7 ปีของวิกฤตโรฮิงญาใกล้เข้ามา สถานการณ์อันน่ากลัวในรัฐยะไข่ดูเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นอย่างน่ากังวล ผู้คนไม่ว่าจะเป็นชาย หญิงและเด็กชาวโรฮิงญาต่างถูกสังหาร เมืองต่างๆ กำลังว่างเปล่า และร่องรอยของประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของชาวโรฮิงญากำลังถูกทำลาย ผู้คนจำนวนมากกำลังหาที่พักพิงในค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนในบังกลาเทศอีกครั้ง ซึ่งสภาพเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการดำรงชีวิตได้เสื่อมโทรมลง
หลังจากที่ถูกโจมตีอย่างโหดร้ายและเป็นระบบในเดือนสิงหาคม 2560 ตามด้วยการประหัตประหารโดยรัฐมาหลายทศวรรษ ชาวโรฮิงญาในปัจจุบันตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในรัฐยะไข่ระหว่างกองทัพอาระกัน (AA) และกองทัพเมียนมา ซึ่งได้บังคับให้ชาวโรฮิงญาเข้าร่วมการต่อสู้ในฝ่ายของตน
กองทัพได้ตอบโต้การสูญเสียในสนามรบด้วยการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงซึ่งคร่าชีวิตชาวโรฮิงญาและพลเรือนกลุ่มชาติพันธุ์ยะไข่ โดยกําหนดเป้าหมายพื้นที่พลเรือน ทําลายบ้าน ตลาด และโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนอื่นๆ
กองทัพเมียนมาต้องยุติการใช้ความรุนแรงครั้งใหม่ทันที และหยุดการโจมตีอย่างมิชอบด้วยกฎหมายต่อพลเรือน ซึ่งกําลังแบกรับความรุนแรงของความขัดแย้ง ไม่เพียงแต่ในรัฐยะไข่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศที่มีผู้พลัดถิ่นนับล้านคน” ฟรีแมน กล่าว
ขณะที่กองทัพอาระกันรุกเข้าไปในรัฐยะไข่และยึดดินแดนได้มากขึ้น ก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความโหดร้าย
“นอกจากนี้ ประชาคมโลกต้องใช้แรงกดดันมากขึ้นต่อกองทัพอาระกันให้ปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ข้อกล่าวหาทั้งหมดเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่กระทำโดยกองทัพเมียนมาหรือโดยกลุ่มติดอาวุธใดๆ ในประเทศควรได้รับการสอบสวนอย่างมีประสิทธิภาพ”
การรุกคืบของกองทัพอาระกันในเมืองบูทิดองทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ส่งผลให้เกิดการวางเพลิงครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมปีนี้ ทำให้ชาวโรฮิงญาหลายพันคนต้องพลัดถิ่น และเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม มีการโจมตีที่ได้คร่าชีวิตพลเรือนชาวโรฮิงญาจำนวนหนึ่งซึ่งกำลังหลบหนีออกจากเมืองมองดอว์ใกล้ชายแดนบังกลาเทศโดยผู้รอดชีวิตได้กล่าวหาว่ากองทัพอาระกันเป็นผู้กระทำ อย่างไรก็ตามกองทัพอาระกันปฏิเสธว่าไม่ได้โจมตีชาวโรฮิงญา
“ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในเมียนมาเป็นเหตุผลเพิ่มเติมที่ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติต้องส่งเรื่องสถานการณ์ในประเทศไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งจะไม่มีความคืบหน้าเกิดขึ้นหากไม่มีการรับผิดชอบ อนาคตของเมียนมาขึ้นอยู่กับการปกป้อง ส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของทุกคนในประเทศ”
อ่านต่อ: https://bit.ly/3MlGSdj
—–

ยูเครน: การให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรมเป็นก้าวที่น่ายินดี แต่ต้องแก้ไขข้อจำกัด
22 สิงหาคม 2567
สืบเนื่องจากการประกาศว่ารัฐสภายูเครนได้ลงมติให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งเป็นการปูทางให้ประเทศเข้าร่วมศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)
เอริกา เกวารา โรซาส ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการวิจัย การผลักดันเชิงนโยบาย และการรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยินดีกับการตัดสินใจของยูเครนในการให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม การเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของยูเครนในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมอบความยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพให้กับเหยื่อของอาชญากรรมระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นระหว่างการรุกรานของรัสเซีย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการยอมรับสิทธิและหน้าที่ที่สมาชิกของ ICC ต้องปฏิบัติตาม
รัฐสภายูเครนได้ผ่านกฎหมายภายในฉบับหนึ่งที่ระบุว่า ยูเครนจะไม่ยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นโดยพลเมืองของยูเครนเองเป็นเวลา 7 ปีหลังจากยูเครนให้สัตยาบันกฎหมายนี้
“ คำประกาศดังกล่าวขัดต่อหลักการพื้นฐานของความยุติธรรมระหว่างประเทศ”
ในทางปฏิบัติ ข้อจำกัดนี้มีความเสี่ยงในการสร้างความไม่แน่นอนสำหรับการดำเนินคดีของ ICC ในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยผู้พิพากษาของศาล เนื่องจากสร้างความขัดแย้งกับคำประกาศก่อนหน้านี้ของยูเครนที่ให้ ICC มีอำนาจเหนืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นในดินแดนของยูเครนหลังวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 และก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับข้อยกเว้นสำหรับชาวยูเครนว่าจะยังคงอนุญาตให้ศาลมีอำนาจเหนืออาชญากรรมสงครามของชาวรัสเซียและพลเมืองชาติอื่นในยูเครนหรือไม่ ความคลุมเครือดังกล่าวอาจขัดขวางการสอบสวนของ ICC ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเกี่ยวกับอาชญากรรมระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในยูเครน
อ่านต่อ: https://bit.ly/4dExRIp
—–

เวเนซุเอลา: ออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมเอ็นจีโอ พร้อมลงโทษผู้ที่ช่วยเหลือเหยื่อหรือปกป้องสิทธิมนุษยชน
19 สิงหาคม 2567
จากกรณีที่สภาแห่งชาติเวเนซุเอลาได้ผ่าน “กฎหมายสําหรับการควบคุม การจัดระเบียบ การปฏิบัติงาน และการจัดหาเงินทุนขององค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรที่เกี่ยวข้อง“หรือรู้จักกันในชื่อ “กฎหมายต่อต้านเอ็นจีโอ” ซึ่งเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องในการกดดันองค์กรสิทธิมนุษยชนและภาคประชาสังคมในประเทศ
อานา ปิคเก้ ผู้อํานวยการภูมิภาคอเมริกา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า กฎหมายต่อต้านเอ็นจีโอ” ละเมิดเสรีภาพในการสมาคมและสิทธิในการมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงสิทธิอื่น ๆ กฎหมายดังกล่าวเป็นการปราบปรามอีกครั้งหนึ่งของรัฐบาลนิโกลัส มาดูโร ต่อผู้ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในเวเนซุเอลา กฎหมายนี้ทำให้การดำรงอยู่และการดำเนินงานขององค์กรด้านชุมชน มนุษยธรรม และสิทธิมนุษยชนตกอยู่ในอันตราย ด้วยมาตราที่คลุมเครือ ซึ่งอาจถูกนำไปใช้เพื่อลงโทษอย่างรุนแรงเกินควร และอาจห้ามองค์กรต่างๆ โดยพลการได้
เช่นเดียวกับกฎหมายอื่น ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อปิดกั้นพื้นที่พลเรือน กฎหมายนี้สอดคล้องกับนโยบายการกดขี่ของทางการเวเนซุเอลา ซึ่งมีเป้าหมายในการปิดปากผู้ที่ต่อต้านการวิสามัญฆาตกรรมอย่างเป็นระบบ การบังคับให้หายตัวไป การควบคุมตัวโดยพลการ และการทรมานของรัฐบาลมานานหลายปี
เสียงเหล่านี้คือเสียงที่ในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบันทึกข้อมูลอาชญากรรมระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ
ในวิกฤตหลังการเลือกตั้งในปัจจุบัน องค์กรสิทธิมนุษยชนได้ประท้วงต่อต้านการสังหารผู้ชุมนุมและนักกิจกรรมที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนิโกลัส มาดูโร หลายสิบรายและการควบคุมตัวโดยพลการอีกหลายพันคน ซึ่งองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ยังคงให้ความช่วยเหลือทางด้านสิทธิมนุษยชนและสนับสนุนชุมชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูง
การผ่านกฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อไม่ให้ภาคประชาสังคมเวเนซุเอลาสามารถยืนเคียงข้างกับเหยื่อและให้ความช่วยเหลือในรูปแบบที่ทางการไม่สามารถดำเนินการได้ กฎหมายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อห้ามองค์กรพัฒนาเอกชนวิพากษ์วิจารณ์วิกฤตทางด้านมนุษยธรรมอันซับซ้อนที่กำลังกลืนกินประเทศเช่นเดียวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่อาจเกิดจากรัฐบาลของนิโกลัส มาดูโร ซึ่งกฎหมายฉบับนี้เป็นอีกหนึ่งในรายการเครื่องมือการประหัตประหารทางการเมืองที่อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศกำลังสอบสวนอยู่
อ่านต่อ: https://bit.ly/3WZZ5lB
—–
โลก: การละเมิดกฎระเบียบของสนธิสัญญาการค้าอาวุธของรัฐบาลนำไปสู่การสูญเสียชีวิตอย่างมากมาย
13 สิงหาคม 2567
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า สิบปีกว่าที่ผ่านมา นับตั้งแต่การยอมรับสนธิสัญญาการค้าอาวุธ บางประเทศผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลกยังคงละเมิดกฎระเบียบของสนธิสัญญาการค้าอาวุธอย่างเปิดเผยผ่านการส่งอาวุธที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตอย่างมากมายในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง อย่างเช่น ดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง โดยเฉพาะพื้นที่ฉนวนกาซาที่ถูกยึดครอง ซูดาน และเมียนมา
ทั้งนี้นับตั้งแต่สนธิสัญญาการค้าอาวุธมีผลบังคับใช้เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการบันทึกและเปิดเผยการส่งอาวุธที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเอื้อให้เกิดการละเมิดอย่างร้ายแรง ซึ่งขัดต่อกฎระเบียบโลกที่เข้มงวดและมีผลผูกพันทางกฎหมายเกี่ยวกับการส่งอาวุธระหว่างประเทศที่สนธิสัญญาได้กำหนดไว้
เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 มีรัฐภาคีทั้งสิ้น 155 ประเทศลงมติยอมรับสนธิสัญญาการค้าอาวุธ ปัจจุบันสนธิสัญญานี้มีรัฐภาคี 115 ประเทศและผู้ลงนาม 27 ประเทศ รวมถึงประเทศผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นกว่า 90% ของการค้าอาวุธ ยกเว้นรัสเซีย
แพทริก วิลเคน นักวิจัยด้านการทหาร ความมั่นคง และการควบคุมมวลชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า สนธิสัญญาการค้าอาวุธเป็นการกำหนดมาตรฐานระดับโลกครั้งแรกเพื่อควบคุมการค้าอาวุธตามแบบและเครื่องกระสุนระหว่างประเทศ ความชอบด้วยกฎหมายของการส่งอาวุธในปัจจุบันเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับกฎหมายสิทธิมนุษยชาติและกฎหมายด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
แม้ว่าจะมีความคืบหน้าแล้ว แต่รัฐบาลจํานวนมากยังคงละเมิดกฎหมายอย่างชัดเจน จนนําไปสู่การสูญเสียชีวิตจำนวนมากในพื้นที่ความขัดแย้ง ถึงเวลาแล้วที่รัฐภาคีจะปฏิบัติตามภาระผูกพันทางกฎหมายและดําเนินการตามสนธิสัญญาการค้าอาวุธอย่างเต็มที่ เพื่อห้ามการไหลของอาวุธไปยังประเทศต่างๆ เมื่อทราบว่าจะใช้ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมสงคราม หรือหากสามารถใช้เพื่อกระทําหรืออํานวยความสะดวกในการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือกฎหมายมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง
การส่งอาวุธอย่างต่อเนื่องไปยังอิสราเอลเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความล้มเหลวของรัฐภาคีในการปฏิบัติตามสนธิสัญญาการค้าอาวุธอย่างครบถ้วน หรือของผู้ลงนามในการไม่ทำลายวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของสนธิสัญญา
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรอาวุธอย่างครอบคลุมทั้งกลุ่มติดอาวุธของอิสราเอลและปาเลสไตน์มาอย่างยาวนาน เนื่องจากรูปแบบการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและกฎหมายมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงมาอย่างยาวนาน รวมถึงอาชญากรรมสงคราม นําไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อพลเรือน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก” แพทริก วิลเคนกล่าว
รัฐภาคีและผู้ลงนาม รวมถึงสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้จัดหาอาวุธรายใหญ่ที่สุดให้กับอิสราเอล ยังคงอนุญาตให้ส่งอาวุธไปยังอิสราเอลต่อไป แม้ว่าจะมีหลักฐานอาชญากรรมสงครามที่กระทําโดยกองทัพอิสราเอลอย่างมากมายก็ตาม
อ่านต่อ: https://bit.ly/4fTP0zv
—–
ประเทศไทย : ศาลนราธิวาสรับฟ้องคดีสลายการชุมนุมตากใบ แอมเนสตี้ชี้เป็นก้าวสำคัญในการคืนความยุติธรรม
สืบเนื่องจากคำตัดสินของศาลในวันนี้ ซึ่งรับฟ้องคดีอาญาเพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุทำให้มี ผู้เสียชีวิตที่อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อปี 2547 ตามคำร้องของเหยื่อและครอบครัวผู้เสียหาย
ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยประจำประเทศไทย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่าคำตัดสินของศาลในวันนี้นับเป็นก้าวแรกที่สำคัญเพื่อคืนความยุติธรรมที่ควรเกิดขึ้นมานานแล้วสำหรับผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อการใช้กำลังจนเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่ ระหว่างการสลายกาชุมนุมที่ด้านหน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ ทำให้ผู้เสียหายและครอบครัวได้ใช้เวลาเกือบ 20 ปี เพื่อรอความยุติธรรมและความรับผิดชอบจากอาชญากรรมที่โหดร้ายครั้งนี้
“ทางการไทยต้องเร่งดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลโดยทันทีและใช้มาตรการทั้งปวงที่จำเป็น เพื่อประกันไม่ให้คดีนี้ต้องหมดอายุความไป ทางการต้องรับรองให้ผู้เสียหายและครอบครัวของพวกเขาสามารถเข้าถึงความยุติธรรมและการเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังต้องมีการประกาศยอมรับอย่างเป็นทางการถึงความจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเกิดขึ้นในเหตุการณ์ตากใบ”
ข้อมูลพื้นฐาน
ในวันนี้ (23 ส.ค.67) ศาลจังหวัดนราธิวาสเห็นชอบตามคำร้องของผู้เสียหายและครอบครัวที่ยื่นฟ้องเพื่อเอาผิดทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ คนที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมประท้วงที่อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส โดยมีอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารระดับสูงในเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ศาลตัดสินว่ามีมูลฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐ 7 คนจากทั้งหมด 9 คน ซึ่งถูกฟ้องในเบื้องต้น โดยเป็นการฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่าผู้อื่นและร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว
อายุความในคดีนี้มีกำหนดสิ้นสุดลงในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 หลังคำพิพากษาของศาลในวันนี้ จำเลยอย่างน้อย 1 คนต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลเพื่อรับฟ้องก่อนที่คดีจะหมดอายุความ การพิจารณาคดีจึงจะเริ่มต้นขึ้นได้ ตามมาตรา 95 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดอายุความของความผิดทางอาญา
ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ผู้ชุมนุมประท้วงกว่า 2,000 คนได้มารวมตัวที่ด้านหน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวชายชาวมลายูมุสลิมู 6 คน ซึ่งผู้ชุมนุมประท้วงเชื่อว่าได้ถูกทางการไทยควบคุมตัวไว้โดยพลการ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้แก๊สน้ำตา ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง และกระสุนจริงในการสลายการชุมนุม เป็นเหตุให้ผู้ประท้วงเสียชีวิตทันที 7 คน โดย 5 คนเสียชีวิตจากการถูกยิงที่หัว หลังการสลายการชุมนุม ได้มีการขนส่งชายชาวมลายูมุสลิม ประมาณ 1,370 คนไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารในจังหวัดปัตตานี ซึ่งอยู่ห่างไป 150 กิโลเมตร ผลจากการถูกบังคับให้นอนทับซ้อนกันในรถบรรทุกทหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 78 คน จากการกดทับหรือการขาดอากาศหายใจระหว่างการเดินทาง ผู้รอดชีวิตหลายคนได้รับการบาดเจ็บสาหัสและบางคนต้องพิการถาวร
คณะกรรมการอิสระเพื่อสอบสวนความจริง ที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลในขณะนั้น ประณามการใช้กำลังจนเกินขอบเขตและการขาดความรอบคอบในการขนส่งผู้ถูกควบคุมตัว แม้จะมีการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้เสียหาย แต่ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ ซึ่งคณะกรรมการได้ระบุตัวตนไว้นั้น ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด
ในเดือนตุลาคม 2566 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เผยแพร่แถลงการณ์สาธารณะ เกี่ยวกับผลกระทบจากความล้มเหลวของทางการไทยในการอำนวยความยุติธรรมต่อผู้เสียหายจากการใช้ความรุนแรง เพื่อปราบปรามการประท้วงที่ตากใบและครอบครัวของพวกเขา