Op-ed : “ศูนย์ต้านข่าวปลอม” ช่วยกอบกู้ภาพลักษณ์ให้รัฐบาลอย่างไรในช่วง COVID-19

1 พฤษภาคม 2563

Amnesty International Thailand

บทความโดย ธนิษฐ์ นีละโยธิน

ศูนย์ต้านข่าวปลอมของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2562 เพื่อกลั่นกรองและเตือนให้ประชาชนทราบถึง “ข่าวปลอม” ซึ่งสร้างผลกระทบ “ต่อชีวิตประชาชน สร้างความแตกแยกในสังคม สร้างความเชื่อที่ผิดต่อสังคม และทำลายภาพลักษณ์ประเทศ” (ตามหลักเกณฑ์ของศูนย์ ฯ

 

ขณะนี้ศูนย์ ฯ มีบทบาทในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ติดตามกว่า 57,000 ผู้ติดตาม เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2563 เป็นต้นมา ศูนย์ ฯ ใช้เพจเฟซบุ๊ก “Anti-Fake News Center Thailand” สื่อสารกับประชาชนว่าข่าวใดเป็น “ข่าวจริง” และ “ข่าวปลอม” 

 

เราสังเกตเห็นความน่าสนใจในปฏิบัติการของเพจนี้ในบริบทของการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาล ในระหว่างการติดตาม พบว่าหลายโพสต์มีเนื้อหาที่เป็นข้อถกเถียงในสาธารณะและกระทบต่อภาพลักษณ์ในด้านการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาล เราจึงรวบรวมโพสต์และข้อมูลที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงกับประเด็นข้างต้นในระหว่างเดือนมกราคมถึง 24 เมษายน เพื่อนำมาวิเคราะห์การสร้างการรับรู้ต่อสถานการณ์ผ่านการเลือกใช้คำ การจัดวางโครงสร้างของแต่ละโพสต์ และการใช้ภาพกราฟฟิกในโพสต์

 

คำเตือน บทความนี้ไม่มีจุดประสงค์เพื่อคลี่คลายข้อถกเถียงหรือโต้แย้งข้อเท็จจริง เนื่องจากเราเชื่อว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นคือสิ่งสำคัญเหนือ “ความจริง” ที่ใครมีอำนาจก็ยึดครองไว้ได้

 

ภาวการณ์บริหารสถานการณ์ของรัฐบาล พีคที่สุด

เราสามารถรวบรวมและสำรวจโพสต์ทั้งหมด 38 โพสต์ (ม.ค. (7); ก.พ. (5); มี.ค. (11); เม.ย. (15)) ตามขอบเขตประเด็นที่ตั้งไว้ข้างต้น และต่อไปนี้คือสิ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง

 

ในเดือนมกราคม ในช่วงที่เริ่มมีข่าวว่าโควิด-19 เริ่มระบาดไปในหลายประเทศ และตามมาด้วยการตั้งคำถามถึงมาตรการป้องกันของรัฐบาลไทย เพจศูนย์ ฯ ติดป้ายข่าวปลอมให้กับเนื้อหาที่เกี่ยวกับ “มาตรการควบคุมโรคของรัฐไทย” (อ่านคำอธิบายของประเภทเนื้อหาของเราได้ใน ภาคผนวก 2) มากที่สุด (3 จากทั้งหมด 7 โพสต์)

 

ในเดือนกุมภาพันธ์ เพจศูนย์ ฯ ไม่มีการแจ้งเตือน “ข่าวปลอม” ที่เกี่ยวกับโควิด-19 ในจำนวนที่มากเท่ากับเดือนอื่น ปัจจัยหนึ่งอาจมาจากมีผู้ติดเชื้อสะสม 42 คน ยังไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ในช่วงปลายเดือน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขแย้มว่าอาจใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร “ในการควบคุมไม่ให้เกิดการชุมนุมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค”

 

มีนาคมเป็นเดือนแห่งวิกฤตความเชื่อมั่นในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลก็ว่าได้ 1 มีนาคม คนไทยคนแรกเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว เพจศูนย์ ฯ ทำงานอย่างหนักในประเด็น “มาตรการควบคุมโรคของรัฐไทย” อีกครั้ง (6 จากทั้งหมด 14 โพสต์) และเราเริ่มเห็นเพจศูนย์ ฯ แตะประเด็น “คอร์รัปชันของรัฐ” เป็นอันดับรองลงมา (3 โพสต์)นอกจากนี้ เราพบเห็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์มาตรการควบคุมโรคและประสิทธิภาพในการบริหารสถานการณ์ของรัฐบาลไทยอย่างเข้มข้นมากขึ้น เช่นกรณีของ “แหม่มโพธิ์ดำ” โพสต์เฟซบุ๊กผ่านเพจ ในช่วงที่หน้ากากอนามัยขาดตลาด อ้างว่าคนสนิทของรัฐมนตรีคนหนึ่งกักตุนหน้ากากอนามัยหลักล้านชิ้น และกรณีของคุณดนัย อุศมา โพสต์เฟซบุ๊กอ้างว่าไม่มีการคัดกรองผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งต่อมาตำรวจกล่าวหาว่าโพสต์ดังกล่าวเป็นข้อมูลเท็จ เป็นเดือนแห่งวิฤตความเชื่อมั่นในการบริหารของรัฐบาล จนกระทั่งมีประชาชนกว่าสามหมื่นรายชื่อแสดงพลังผ่าน change.org เรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลาออกจากตำแหน่ง

 

เดือนเมษายน เพจศูนย์ ฯ เดินหน้าติดป้าย “ข่าวปลอม” ที่เกี่ยวกับ “ภาวการณ์บริหารของรัฐบาล” แซงทุกประเด็น (8 จากทั้งหมด 17 โพสต์) ซึ่งมีเนื้อหาตอกย้ำว่ารัฐบาลยังมีประสิทธิภาพและมีความพร้อมในการควบคุมโรค อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์ ของรัฐบาลในเดือนนี้ดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก การให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ประชาชนหลักร้อยรวมตัวบริเวณกระทรวงการคลังประท้วง “โครงการเราไม่ทิ้งกัน”

  Picture1.png

 

Engagement จากแอคเค้าท์ที่น่าจับตามอง

โพสต์ของเพจศูนย์ ฯ บางโพสต์ได้รับ “engagement”หรือการมีส่วนร่วมของผู้ใช้เฟซบุ๊กยิ่งกว่าเพจ “ไทยคู่ฟ้า” เพจประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลเสียอีก 

 

Engagement ก็คือการกดแชร์ กดรีแอคชั่น (ไลก์ รัก ฮ่า ๆ ว้าว โกรธ เศร้า) และคอมเมนต์ในโพสต์ เราพบว่าโพสต์ได้รับengagement มากที่สุดจากการกดปุ่มแสดงความรู้สึก รองลงมาคือการแชร์ และคอมเมนต์ ตามลำดับ 

 

Picture2.png

เราอยากชวนตั้งข้อสังเกตคอมเมนต์ใต้โพสต์ทุกโพสต์ จากการสังเกตเบื้องต้น เราเห็นบางแอคเค้าท์เข้ามาแสดงความเห็นสนับสนุนเพจศูนย์ ฯ เป็นขาประจำ และบางแอคเค้าท์แสดงความเห็นในลักษณะยุยงให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีเพื่อลงโทษคนเผยแพร่ “ข่าวปลอม” เมื่อเราสำรวจโปรไฟล์ของแอคเค้าท์เหล่านั้นแล้ว  พบว่าหลายแอคเค้าท์มีลักษณะเฉพาะ เช่น มีการตั้งชื่อโปรไฟล์ที่ค่อนข้างแตกต่าง (เช่น เป็นประโยคบอกเล่า หรือ มีการเล่นคำ) แชร์เพียงข่าวจากเพจของฝ่ายรัฐบาลและทหารบกจำนวนหลายโพสต์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง  บางครั้งแชร์โพสซ้ำ 3-5 รอบ ไม่มีเพื่อนบนเฟซบุ๊กมาคอมเมนต์หรือกดไลก์ มีเพื่อนบนเฟซบุ๊กเพียงหลักสิบคน และปรากฏโพสต์แรกของแอคเค้าท์เพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หรืออาจเดาได้ว่าเพิ่งสร้างแอคเค้าท์ขึ้นใหม่เฉพาะกิจ

 Picture3.png

นอกจากนี้ จากการสำรวจการแชร์โพสต์ของเพจศูนย์ ฯ พบว่าหลายโพสต์ถูกแชร์ไปยังแอคเค้าท์สาธารณะอื่น เช่น เพจสาธารณะ หรือกลุ่มสาธารณะ ทั้งที่เป็นของหน่วยงานภาครัฐระดับภูมิภาคและท้องถิ่น กองทัพ โรงเรียนรัฐบาล สื่อของรัฐหรือเอกชนที่มีอุดมการณ์เดียวกับรัฐบาล และเพจสาธารณะอิสระ (เราขอสงวนการเปิดเผยรายชื่อเพจสาธารณะเหล่านี้) แอคเค้าท์สาธารณะเหล่านี้มีผู้ติดตามตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักแสน ซึ่งแปลว่าการแชร์นี้ช่วยให้โพสต์ของเพจศูนย์ ฯ ไปยังผู้ใช้เฟซบุ๊กในวงกว้างขึ้นทุกระดับ

 

เราเห็นข้อมูลในเชิงตัวเลขกันไปแล้ว  ต่อไปนี้เราจะชวนไปสำรวจข้อมูลที่ปรากฏในโพสต์บ้าง

 

ข่าวปลอม กับ บรรยากาศที่น่าหวาดระแวง

โพสต์ติดป้าย “ข่าวปลอม” ทุกโพสต์มีลักษณะสร้างบรรยากาศที่น่าหวาดระแวง ความคลุมเครือ และข่มขู่ เราสำรวจการใช้คำ การเรียบเรียงโครงสร้างเนื้อหา และการใช้รูปภาพกราฟฟิกซึ่งปรากฏในโพสต์ของศูนย์ ฯ อย่างมีแบบแผน 

 Picture4.png

ทุกโพสต์เริ่มต้นด้วยการเตือนผู้อ่านด้วยการขึ้นต้นว่า “ข่าวปลอม อย่าแชร์!❌” เขียนแบบนี้อาจนำไปสู่การลดทอนโอกาสในการไตร่ตรองของผู้อ่านว่า “ข่าวปลอม” นี่มันปลอมจริง ๆ ใช่ไหม 

 

หลังจากเตือนด้วยคำ cliché อย่าง “ข่าวปลอม” พร้อมสั่งห้ามแชร์แล้ว เพจศูนย์ ฯ ก็สร้างมายาคติว่าสื่อออนไลน์ (ซึ่งศูนย์ ฯ คงกำลังหมายถึงเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ ไลน์ เว็บไซต์) เป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัย ต่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตด้วยข้อความว่า “ตามที่ได้มีข่าวปรากฏในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ...” หรือ “ตามที่มีข่าวปรากฏและกำลังมีการพูดถึงเป็นอย่างมาก...” ตามด้วยหัวข้อหรือพาดหัว “ข่าวปลอม” ยาวหนึ่งบรรทัด ซึ่งในบางโพสต์เพจศูนย์ ฯ เขียนขึ้นจากเนื้อหาใน “ข่าวปลอม” นั้น ๆ

 

เอาเข้าจริง ผู้อ่านบางคนอาจไม่ทราบมาก่อนว่าข่าวนี้พูดถึงอย่างมากที่ใด เมื่อไหร่กัน “สื่อออนไลน์” ที่ว่าหมายถึงเพจเฟซบุ๊กใด หรือเว็บไซต์ใด

Picture5.png 

จากนั้นโพสต์ของศูนย์ ฯ สรุปเนื้อหาบางส่วนของ “ข่าวปลอม” เหลือเพียงสี่ถึงห้าบรรทัด โดยไม่ระบุแหล่งของข่าวดังกล่าว ภาพกราฟฟิกในบางโพสต์แสดงภาพแคปหน้าจอ (screenshot) ของข่าวนั้น โดยปกปิดอัตลักษณ์ของผู้แชร์

 Picture6.png

การนำเสนอที่คลุมเครือ ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเพียงบางส่วนและปกปิดที่มาของข้อมูล ลดโอกาสของผู้อ่านในการเข้าไปค้นคว้า พิจารณา และตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลอีกฝั่งหนึ่งด้วยตนเอง อีกทั้งยังสร้างความหวาดระแวงแก่ผู้อ่านได้ว่า เราอาจพบเจอเนื้อหา “ข่าวปลอม” นี้ที่ใดก็ได้ในสื่อออนไลน์

 

ความเป็น “ข่าวปลอม” หรือ ความปราศจากซึ่งข้อเท็จจริง ถูกตอกย้ำต่อไปอีกด้วย “ข้อเท็จจริง” ในปริมาณกว่าสองเท่าของเนื้อหา “ข่าวปลอม” ในย่อหน้าก่อน โดยโพสต์ของศูนย์ ฯ อ้างว่าได้ “ตรวจสอบข้อเท็จจริง” ในเรื่องดังกล่าวกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

 

ในย่อหน้าถัดมา โพสต์ของศูนย์ ฯ ปิดท้ายด้วยข้อความว่า “ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ” และ “เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารทางภาครัฐที่ถูกต้อง...สามารถติดตามได้ที่...[ชื่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง]” เราวิเคราะห์ว่าการสื่อสารเช่นนี้กำลังสร้างภาพที่ว่าประชาชนไม่ควรคิดวิเคราะห์ความจริงเท็จด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นการบั่นทอนสิทธิที่จะได้รับข้อมูลอย่างเต็มที่ของประชาชน โดยต้องพึ่งพาอาศัยรัฐ   และรัฐนี่แหละเป็นผู้ยึดครอง “ความจริง” แต่เพียงผู้เดียว วิธีการเช่นนี้บั่นทอนศักยภาพของประชาชนในการค้นคว้าข้อมูลจากหลากหลายแหล่งและศักยภาพในการพิสูจน์และเชื่อในข้อมูลที่เขาพิจารณาว่าเป็น “ความจริง” และที่สำคัญ การไม่เชื่อใน “ความจริง” ที่รัฐกำลังนำเสนอ อาจก่อให้เกิดผลที่ตามมา นั่นก็คือ การดำเนินคดีตามกฎหมาย 

 

เหตุใดผู้อ่านจึงอาจมีความคิดเช่นนั้น  ก็เพราะเรามีรัฐบาลที่ขู่ประชาชนทางโทรทัศน์อยู่แทบทุกวัน  หรือถ้าเลื่อนลงมาอ่านคอมเม้นต์ใต้โพสต์ ก็จะพบแอคเค้าท์ที่น่าสงสัย (ดังที่นำเสนอข้างต้น) แสดงความเห็นในลักษณะยุให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีตามกฎหมายกับคนแชร์ “ข่าวปลอม”

 

ภาพกราฟฟิกส่งเสริมให้ “ข่าวปลอม” ดูเป็นเรื่องความผิดทางอาญา โดยใช้รูปภาพประทับตรา “ข่าวปลอม” ที่วางไว้กลางภาพ ผู้อ่านคงจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับ ประทับตราน้ำหมึกสีแดงที่อยู่บนเอกสารราชการ มักเป็นข้อความที่แสดงถึงความเร่งด่วน สำคัญ  และสีแดงมักถูกใช้เป็นสีอักษรพาดหัวข่าวในข่าวอาชญากรรม

  

ก่อนจบบทความนี้ เราอยากชวนไปสำรวจโพสต์ของศูนย์ ฯ ที่พอค้นคว้าข้อมูลลึกลงไปแล้วเกิดคำถามว่า “นี่ข่าวปลอม หรือ ความจริงที่ไม่ตรงใจเธอจริงเหรอ?”

จากข้อมูลที่เราเก็บมา พบว่ามีอย่างน้อยเก้าโพสต์ที่เกิดข้อสงสัยเช่นนั้น โดยขอยกมาให้ดูเพียงบางโพสต์ ดังนี้

 

  • 1. กรณี “กรมควบคุมโรคยกเลิกการคัดกรองผู้โดยสารด้วยเทอร์โมสแกน” (โพสต์เมื่อวันที่ 25 ม.ค. และ 27 ม.ค.2563)
 
ข้อถกเถียงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2563 เมื่อว๊อยซ์ ออนไลน์ รายงานว่ากรมควบคุมโรคหยุดใช้เทอร์โมสแกนที่สนามบินหลังเมืองอู่ฮั่นประกาศปิดเมือง
 
Picture7.png

อนุทินชาญวีรกูลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กต่อกรณีดังกล่าว 

Picture8.png

แต่ในเวลาต่อมา วันที่ 25 มกราคม กรมควบคุมโรคประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่าเป็นการเข้าใจผิดเพราะกระทรวงยังคงมาตรการคัดกรองผู้โดยสารจากจีนอย่างเข้มอยู่ และกล่าวว่าข่าวที่ปรากฏในสื่ออาจสร้างความสับสน 

Picture9.png

Picture10.png

จากนั้นว๊อยซ์ ออนไลน์สรุปประเด็นข้อถกเถียงพร้อมตั้งคำถามถึง “ข่าวลวง” 

Picture11.png

(source: http://www.voicetv.co.th/read/M6AykbliO?fbclid=IwAR2aINB8tAH_bVHRgdVzxbXvoM-nZJ-buxj97W0uUQzDu_32kxvOKApopSI

  

 

  • 2. กรณี “หน้ากากอนามัยผ้าสปันบอนด์ เป็นไมโครพลาสติกสูดดมอาจเสี่ยงมะเร็ง” (โพสต์เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 2563)

 

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 พีพีทีวี รายงานว่า สิระ เจนจาคะ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐแจกหน้ากากให้ประชาชนหมื่นชิ้น

ต่อมาในวันเดียวกัน อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีโพสต์เฟซบุ๊กอ้างว่าได้วิเคราะห์วัสดุที่ใช้แล้วพบว่าหน้ากากดังกล่าวก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง 

Picture12.png

จากนั้น สื่อบางแห่งนำข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ต่อ 

Picture13.png

Picture14.png

วันที่ 4 มีนาคม สิระ เจนจาคะบอกว่าจะดำเนินคดีกับผู้ผลิตหน้ากากหลังปรากฏข้อมูลจากอาจารย์คนดังกล่าว  แต่ต่อมาวันที่ 13 มีนาคม สิระ แจ้งความเอาผิดอาจารย์คนนั้นข้อหาทำเสียชื่อเสียง

 

 

---------------------------------- 

ภาคผนวก1 : ตารางประเด็นของโพสต์ของเพจศูนย์ ฯ แบ่งตามประเภท

 

เดือน

มาตรการควบคุมโรคของรัฐไทย 

ความรุนแรงของสถานการณ์โควิด-19

ข้อมูลสุขภาพเพื่อการป้องกันดูแลตัวเอง

การคุกคามสิทธิเสรีภาพ

มาตรการช่วยเหลือประชาชนของรัฐไทย

ภาวะการบริหารของรัฐบาล

คอร์รัปชันของรัฐ

มกราคม 63

หยุดใช้เครื่องตรวจวัดที่สนามบิน

 

หยุดใช้เครื่องเทอร์โมสแกนตรวจวัดที่สนามบิน

 

สนามบินภูเก็ตไม่คัดกรอง

 

ระบาดในไทย

 

คนป่วยโคโรน่าล้มทั้งยืน

นั่งเครื่องพร้อมผู้ป่วยโคโรนา เสี่ยงติดเชื้อทั้งลำ

 

รัฐสั่งสื่อปิดข่าวคนตายจากโคโรนา

-        

-

-

กุมภาพันธ์ 63

ไทยอนุญาตเรือสำราญเทียบท่า

จนท.สถาบันบำราศนราดูรติดเชื้อโคโรนา

 

แพทย์เตือน แม่สอด จะเป็นแหล่งไวรัสโควิด พร้อมเสนอมาตรการป้องกัน

-

จนท.ยึดโทรศัพท์คนไทยที่ไปรับมาจากอู่ฮั่น

รัฐบาลไทยไม่ช่วยคนไทยในในอู่ฮั่น

 

จนท.ยึดโทรศัพท์คนไทยที่ไปรับมาจากอู่ฮั่น

-

-

มีนาคม 63

ก.แรงงาน ไม่มีมาตรการกักตัว "ผีน้อยเกาหลีใต้" แนะ กักตัวเอง

 

ภูเก็ตอ้าแขนรับนักท่องเที่ยว 400 คนจากประเทศเสี่ยง บังคับตรวจไข้ทุกวัน

 

ลูกจ้างที่เฝ้าระวัง ถูกกักตัว 14 วัน ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง

 

จนท.รัฐ เปิดพัสดุ (ในที่ทำการไปรษณีย์) พร้อมตรวจยึดหน้ากาก นำไปค้ากำไรต่อ

 

ไปรษณีย์ไทยห้ามส่งหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์

 

ประกาศ พรก ฉุกเฉิน  ห้ามอออกจากบ้านบางเวลา ห้ามเดินทางข้ามจว.

-

หน้ากากผ้าสปันบอนด์เป็นไมโครพลาสติก เสี่ยงมะเร็ง

ห้ามใช้อินเทอร์เน็ตว่าร้ายรัฐบาล

ก.แรงงาน ไม่มีมาตรการกักตัว "ผีน้อยเกาหลีใต้" แนะ กักตัวเอง

 

ลูกจ้างที่เฝ้าระวัง ถูกกักตัว 14 วัน ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง

 

เงินหมดคลัง ไม่มีเงินรักษาประชาชน

 

จนท.รัฐ เปิดพัสดุ (ในที่ทำการไปรษณีย์) พร้อมตรวจยึดหน้ากาก นำไปค้ากำไรต่อ

 

ไทยนำหน้ากากที่จีนส่งให้ ขายต่ออเมริกา

 

ก.พาณิชย์ ห้ามผู้ผลิตไข่ไก่ นำสินค้าวางจำหน่าย หวังขึ้นราคา

เมษายน 63

เคอร์ฟิว 24 ชม. ห้ามออกนอกบ้านเด็ดขาด

 

เคอร์ฟิว 24 ชม. ต้องตุนอาหารและเครื่องดื่ม

 

พรก ฉุกเฉิน เพิ่มโทษ ออกนอกบ้านไม่ใส่หน้ากาก ปรับ 2,000

-

มีไข้ ห้ามกิน ibuprofen จะทำให้ไวรัสออกฤทธิ์เป็น10 เท่า

สธ. ปกปิดข้อมูลจำนวนผู้รอผลตรวจเชื้อ COVID-19

ลงทะเบียน เราไม่ทิ้งกัน ถูกตัดสิทธิ์กว่า 2.74 ล้านคน

 

รัฐมนตรีคลัง พร้อมยุติแจกเงิน 5,000 บาท

 

กฟน. เพิ่มราคาต่อหน่วยไฟฟ้า เหตุ ต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่ม

 

 

ยาต้าน COVID-19 กำลังจะหมด

 

สธ. ปกปิดข้อมูลจำนวนผู้รอผลตรวจเชื้อ COVID-19

 

เคอร์ฟิว 24 ชม. ต้องตุนอาหารและเครื่องดื่ม

 

แพทย์ภูเก็ตขาดแคลนหน้ากากอนามัย

 

งบกลางหาย เพราะรัฐนำมาจ่ายเงินชดเชยจำนำข้าว

 

เตียง ICU สำหรับผู้ป่วยโควิด เต็ม

 

ธนาคารยืนยัน ขึ้นสถานะใหม่แล้ว จะได้รับเงิน (คนไทยไม่ทิ้งกัน) 22 เม.ย.

 

รัฐขอรับบริจาคจาก20 มหาเศรษฐี ซื้อชุดตรวจโควิดแจกอาเซียน

 

 

ทหารทุ่มงบ ฉีดฆ่าเชื้อบนท้องถนน 22  ล้าน

  

 

ภาคผนวก 2 : คำอธิบายประเภทของเนื้อหา

เราจัดประเภทเนื้อหาของ “ข่าวปลอม” ออกเป็น 7 กลุ่ม ดังนี้

 

1. มาตรการควบคุมโรคของรัฐไทย

มาตรการที่ออกโดยรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. โดยมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19

2. ความรุนแรงของสถานการณ์โควิด-19

ความเป็นไปของโควิด-19 ซึ่งหมายถึงในแง่ขอบเขตและความรุนแรงของสถานการณ์ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อ-ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นต้น 

3. ข้อมูลสุขภาพเพื่อป้องกันดูแลตัวเอง

ข้อเสนอแนะและข้อกังวลที่เกี่ยวกับโควิด-19 โดยมีจุดประสงค์เพื่อการป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19

4. การคุกคามสิทธิเสรีภาพ

การปิดกั้นการเข้าถึงหรือการจำกัดการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด-19 

5. มาตรการช่วยเหลือประชาชนของรัฐไทย

มาตรการของรัฐบาลที่ช่วยให้ประชาชนปลอดภัยหรือมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

6. ภาวการณ์บริหารของรัฐบาล

ความพร้อมและประสิทธิภาพในการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ

7. คอร์รัปชันของรัฐ

การทุจริตที่เกิดขึ้นภายในภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19