คำว่า DOT ในแนวคิดสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สถาปนิกและศิลปินจำนวนมากให้ความหมายไว้หลากหลาย ทั้งในมุมของ Le Corbusier สถาปนิกผู้บุกเบิกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ หรือ Wassily Kandinsky ศิลปินชาวรัสเซียผู้เป็นต้นธารของศิลปะนามธรรม ต่างมอง ‘จุด’ ว่าเป็นมากกว่าหน่วยเล็กๆ ที่ไร้มิติ หากแต่คือจุดเริ่มต้นของพื้นที่ที่มีความหมาย (Point of Intention)
จากจุดเล็กๆ เพียงหนึ่งจุด เมื่อเชื่อมโยงต่อกัน ก็สามารถกลายเป็นเส้นทางอันทรงพลัง ที่กำหนดทิศทางของการเดินต่อไป ‘จุด’ จึงเป็นสัญลักษณ์ที่เปิดกว้างต่อการตีความอย่างไม่รู้จบ อาจหมายถึงพื้นที่เล็กๆ ที่มีพลังในการเชื่อมโยงผู้คน จุดโฟกัสที่ทำให้สายตาหยุดมอง หรือแม้แต่ ‘จุดยืน’ ทางความคิดของผู้ออกแบบที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของตัวตนในพื้นที่นั้นอย่างชัดเจน
ชื่อของ dot.b จึงเริ่มต้นมาจากตรงนั้น แม้ ‘โก้-ธีระพล วานิชชัง’ จะไม่ได้เรียนจบสถาปัตยกรรมโดยตรง แต่เพราะการอยู่กับกองหนังสือขนาดมหึมาตั้งแต่เด็ก และการออกไปท่องโลกกว้างใช้ชีวิตเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยน ณ เซาเปาโล ประเทศบราซิลเมื่อ 25 ปีก่อน เขาจึงยิ่งรู้สึกหลงใหลกับความงามของการออกแบบ ที่สามารถสื่อไปถึงจุดยืนหรืออุดมการณ์ของคนคนนั้น

แต่ครั้นจะให้มีแต่คำว่า dot เพียงอย่างเดียวก็อาจจะซ้ำซ้อนกับชื่อร้านกาแฟของเขาที่เปิดอยู่ในตึกเดียวกัน ต่างเพียงชื่อเรียกถนน (ร้านกาแฟอยู่ฝั่งถนนนครนอก ส่วนร้านหนังสืออิสระหันหน้าสู่ถนนนครใน) เขาจึงเติมคำว่า .b (ดอทบี) ต่อท้าย เป็นการเล่นกับคำว่า Book (บุ๊ก) ซึ่งเป็นตัวบีเข้ามาไว้ในชื่อ
25 มกราคม 2566 คือวันแรกที่ dot.b ถือกำเนิดขึ้น หลังจากร้านหนังสืออิสระแห่งเดียวของสงขลาปิดตัวลง เหลือไว้เพียงร่องรอยว่าครั้งหนึ่งสงขลาแห่งนี้ เคยมีร้านหนังสืออิสระตั้งอยู่ หลังจากปรึกษากับ ‘เอ๋-อริยา ไพฑูรย์’ เจ้าของร้านหนังสืออิสระที่โบกมือลาสงขลา ถามไถ่ถึงความเป็นไปได้ของการเริ่มทำสิ่งที่เขาฝัน เมื่อได้ข้อสรุปทุกอย่าง และมองเห็นความเป็นไปได้แล้ว ธีระพลจึงตัดสินใจเปิดร้านหนังสืออิสระขึ้นมา เพื่อไม่ให้คนสงขลาห่างร้างจากการอ่านนานเกินไปนัก ปัจจุบันร้านแห่งนี้เป็นพันธมิตร หรือ พาร์ตเนอร์ ที่ทำงานร่วมขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชนกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
ร้านหนังสืออิสระที่เกิดจากความศรัทธา
ธีระพลคือคนสงขลาแต่กำเนิด แต่ไปใช้ชีวิตอยู่หาดใหญ่เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ทำให้บางครั้งเขามักเผลอเรียกตัวเองว่าเป็นคนหาดใหญ่ด้วยความคุ้นชิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคนสงขลากับคนหาดใหญ่ พวกเขาเรียกตัวเองต่างกันมาแต่นมนาน และเป็นความเข้าใจของคนในพื้นที่มาโดยตลอดว่า คนสงขลาคือคนสงขลา ส่วนคนหาดใหญ่ก็คือคนหาดใหญ่
และเป็นเวลา 16 ปีแล้ว ที่เขาเปลี่ยนจากคนหาดใหญ่มาเป็นคนสงขลา โดยมี dot ร้านกาแฟที่เขาเปิดมาก่อนเป็นตัวเชื่อม ต่อมาในอีก 3 ปีให้หลัง ก็เริ่มซึมซับความเป็นคนสงขลามากขึ้นทุกขณะ หลังจากเปิดร้านหนังสืออิสระเป็นของตัวเอง
“เราเปิดร้านหนังสือขึ้นมา เพราะเราเชื่อในหนังสือ ร้านหนังสือเป็นสถานที่ที่สร้างคอมมูนิตี้รูปแบบหนึ่ง อย่างตอนแรกเราเปิดร้านกาแฟก็จะได้คอมมูนิตี้อีกรูปแบบ ซึ่งทั้งสองอย่างจะมีบรรยากาศที่ต่างกัน และเราก็เชื่อในเรื่องของพื้นที่เชิงกายภาพ (Physical Space) เพราะว่าร้านหนังสือเองก็มีกลิ่นอายบางอย่างที่สามารถต่อยอดไปอย่างอื่นได้ในอนาคต
“นอกจากเปิดร้านเพราะความเชื่อแล้ว มันเป็นจุดที่จังหวะพอดีหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องของการใช้พื้นที่ เรื่องของการขยายจากแค่ร้านกาแฟมาเป็นร้านหนังสือ โดยยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือ เป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะ หรือ Public Space เราทำให้ร้านกาแฟเป็นฝั่งที่ออกไปทางคอมเมอร์เชียลหน่อย หมายความว่าคนเข้ามาร้านกาแฟส่วนใหญ่ก็ต้องสั่งกาแฟ แต่คนที่มาร้านหนังสือไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ มาเดินดู หยิบจับได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่าย”

จะว่าไปพื้นที่กึ่งสาธารณะมีความหมายอีกอย่างซ่อนอยู่ นั่นคือนัยของความเป็นประชาธิปไตยในการแสดงออก ทุกคนที่มายังร้านหนังสือแห่งนี้ สามารถแสดงถึงตัวตนของตัวเองได้อย่างเปิดเผย ไม่ว่าพวกเขาจะหยิบหนังสือเล่มไหนขึ้นมาพลิกอ่าน ก็ไม่มีสายตาตัดสินให้รู้สึกเคลือบแคลงใจ และ dot.b ก็เป็นเช่นนั้น ธีระพลทำให้พื้นที่แห่งนี้เป็นจุดที่มั่นคง ทำให้ทุกคนสามารถเข้ามาร้อยเรียงเรื่องราวของตัวเองได้อย่างอิสระ และจุดจุดนี้จะไม่มีการตัดสินหรือขยับหนีไปไหน
สอดคล้องกับอีกแนวคิดหนึ่ง ที่เขาพยายามบอกทุกคนอยู่กลาย ๆ เขาเปิดร้านหนังสือถึงเที่ยงคืน หากใครต้องการหาที่พึ่งพิง ร้านแห่งนี้ก็พร้อมเป็นพื้นที่ ให้ทุกคนมาปล่อยใจได้โดยไม่รู้สึกเคอะเขิน
“เวลาอธิบายกับคนที่ถามถึงที่มาของชื่อร้านหนังสือ เราชอบบอกว่าเราเป็นจุดๆ หนึ่งที่ค่อนข้างมั่นคง จุดของเราจะอยู่ประมาณนี้ แล้วคนที่เข้ามาแล้วจุดที่ต่อจากเราเขาจะไปทางไหนก็ได้ เพราะถ้าเรามั่นคงแล้ว คนที่มาต่อเติมจุดของตัวเองก็สามารถลากจุดต่อไปได้ง่ายกว่า เราไม่ใช่จุดที่จะยกไปมา เรามั่นคงอยู่ ณ จุดๆ นี้ไม่เปลี่ยนไปไหน ครั้งหน้าถ้าเขากลับมาหาเราอีก เราก็จะยังคงอยู่ตรงนี้”
“แต่เราไม่ใช่จุดศูนย์กลาง” เขาย้ำ
“แค่เป็นจุดที่เขาจะมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เราอยู่ตรงนี้แหละ แล้วก็อีกเหตุผลนึงที่เปิดดึกเพราะอยากจะบอกว่า ถ้าเขาอยากมาใช้พื้นที่ ไม่ว่าดึกแค่ไหน เขาก็จะได้รู้ว่ามันยังมีพื้นที่ของเขาอยู่เสมอ”
พื้นที่ที่เป็น ‘จุด’ เชื่อมทุกคน
A Bookstore
Yes, we still exist.
ข้อความที่ปรากฏอยู่บนป้ายหน้าร้าน ชี้ให้เห็นถึงความขี้เล่นของธีระพลไม่น้อย เพราะหลังถอดความมาได้ว่า ‘ร้านหนังสือ ใช่ครับ, เรายังอยู่’ พร้อมเครื่องหมาย .b ต่อท้ายประโยค ดูเผิน ๆ คล้ายหน้ายิ้มทะเล้น ทำให้รับรู้ได้เลยว่านี่แหละ คือพื้นที่ที่ไม่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เป็นพื้นที่ปราศจากซึ่งอัตตา และพร้อมเชื่อมทุกคนเอาไว้ในโลกหนังสือได้อย่างลงตัว

เมื่อถามถึงวิธีการทำงานของธีระพลในร้านหนังสืออิสระของธีระพล เขาบอกว่าไม่มีอะไรซับซ้อน เดิมความตั้งใจของเขาคือ จะนำหนังสือหลากหลายประเภทมาอยู่ ณ เมืองเก่าแห่งนี้ และมีพื้นที่โปร่งโล่งสบายที่ชั้นสองให้คนมานั่งอ่านหนังสืออย่างสงบๆ ทำหน้าที่เป็นที่พักพิงเล็กๆ เพื่อให้คนที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวันได้มีจุดพักใจ ธีระพลเล่าว่า การคงอยู่ของชั้นสองของร้าน ทำให้ความฝันและความตั้งใจของเขาเป็นรูปเป็นร่าง
ฝันแรก คือ อยากเปิดร้านหนังสือ
ฝันต่อมา คือ อยากเห็นบ้านเกิดมีพื้นที่สาธารณะสำหรับทุกคน
และทั้งสองฝันก็บรรจบลง ณ ตึกแห่งนี้ได้อย่างลงตัว เพราะพื้นที่ชั้นสองของร้าน นอกจากจะเป็นที่จุดพักใจแล้ว ยังสามารถแปลงร่างเป็นสถานที่จัดกิจกรรมได้อีกด้วย
“พื้นที่ชั้นสองของร้าน สามารถทำกิจกรรมได้หลายอย่าง ก็เลยเอื้อให้เกิดพื้นที่สาธารณะขึ้น และพื้นที่ตรงนี้ของเราเปิดกว้าง ใครจะใช้ทำอะไรก็ได้ เราเปิดใจพร้อมรับสุดๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะเรื่องการเมือง เรื่องสังคม หรือภาคประชาชนเท่านั้น เราเป็นพื้นที่ของความหลากหลาย กลุ่มไหนจะมาใช้เรามีความยินดีมากๆ มาใช้ได้หมด เรา open กับทุกกลุ่ม เพียงแค่ส่วนใหญ่ที่มาใช้เขาจะเป็นกิจกรรมที่เอื้อต่อกลุ่มเป้าหลายไปในทิศทางเดียวกันเยอะ ขณะที่กิจกรรมประเภทอื่น ๆ อาจจะไม่ได้มาจัดที่ร้านเราก็เท่านั้น”
“ซึ่งเรายังยืนยันว่าเราไม่ได้ปิดกั้น จะเป็นกิจกรรมอะไรก็ได้ ที่เล็งเห็นว่าพื้นที่ของเรามีศักยภาพก็สามารถเข้ามาใช้ได้เลย เพราะพื้นที่ของเราค่อนข้างเอื้อต่อหลาย ๆ อย่าง ทั้งขนาดพื้นที่และความตั้งใจของเราเอง”
dot.b ผ่านการจัดนิทรรศการมาหลากหลายรูปแบบ หากให้ยกตัวอย่าง เกรงว่าคงเขียนออกมาไม่หมด แต่จะขอหยิบยกเท่าที่พอจะผ่านการบอกเล่าของชายคนนี้อย่าง นิทรรศการภาพวาด โดย สดใส ขันติวรพงศ์ นักแปลที่เปิดโลกวรรณกรรมคลาสสิกให้สังคมไทย, นิทรรศการ ‘แรก’ ตั้งแต่มาอยู่สงขลา โดย กุลธวัช เจริญผล นักวาดนิทานเด็กที่ย้ายถิ่นฐานมาปักษ์ใต้, นิทรรศการศิลปกรรม “ซิงกอร่า-สงขลา” บนผืนผ้าใบ “Singora Songkhla” on Canvas Art Exhibition, นิทรรศการ SOUL of Songkhla: Contemporary Art ของ 4 ศิลปินคือ ชยานันท์ อาวะโต, กิตติ พิมเสน, วิโรจน์ บุญยัง และนฤภีม ศรีทองไหม ขณะที่บางค่ำคืนก็มี dj session in the bookstore อีเวนต์พิเศษหมุนเวียนมาเป็นระยะ เรียกได้ว่า dot.b พร้อมเป็นทุกอย่างของคนสงขลาแล้ว แต่ใช่ว่าจุดจุดนี้จะราบรื่นเสมอไป ด้วยจุดยืนที่ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ทำให้บางครั้งอาจจะดูบ้าบิ่นไปเสียหน่อย

“ถ้ามองมาจะเห็นว่าสงขลาเป็นเมืองค่อนข้างอนุรักษนิยม ร้านของเราเลยจะมีความคอนทราสต์ประมาณนึง ซึ่งบางคนอาจมองว่าเรา ‘กล้า’ กับการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแบบนี้ หรือว่าเรากล้าที่จะแสดงออกว่าเราสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่เรามองว่าถ้ามีคนนำ คงจะมีคนตาม เรามองแบบนี้มากกว่า ถึงจะต้องใช้เวลาสักหน่อยก็ตาม”
“จุดหมายของเราเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรก เราปักธงไว้ในใจแล้วว่าคุณสามารถมาอยู่ในจุดนี้ได้นะ แล้วค่อยๆ วาดจุดต่อไปจากเรา เราทำให้เห็นว่ามีคนกล้าทำแล้ว มีคนกล้ายืนหยัดในสิ่งที่เขาเชื่อและแสดงออกมาแบบนี้ เมื่อมีคนกล้าเริ่มแสดงจุดยืนของตัวเอง เขาอาจจะกล้าเปิดมากขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เราวางจุดไว้ตั้งแต่แรก”
การมีจุดยืนที่ชัดเจนไม่ได้หมายถึงความแข็งกร้าวเสมอไป ในทางกลับกันธีระพลค่อนข้างถ่อมตนอยู่พอตัว เขาเป็นคนเรียบง่าย มีใจเปิดกว้าง พร้อมรับฟังปัญหาของคนทุกกลุ่ม แม้จะพูดให้กำลังใจใครไม่เก่งนัก แต่เขาก็พร้อมส่งแรงใจช่วยเชียร์อยู่ห่างๆ และเฝ้าติดตามความเป็นไปของคนคนนั้นอยู่เสมอ เรียกได้ว่าหากได้เริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งใดแล้ว ชายคนนี้ก็พร้อมทุ่มอย่างสุดตัวเลยทีเดียว ดังจะเห็นได้จากความสนใจเรื่องของทนายอานนท์ นำภา และเหล่าผู้โดนคดีทั้งมาตรา 112 และมาตรา 110

“เรามองว่าพวกเขาไม่ควรโดนคดี ไม่ว่าจะเป็นทนายอานนท์ นำภา, ไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) ทุกคนไม่ควรโดนคดีกันหนักขนาดนี้ มันควรมีมาตรฐานที่เหมาะสม การที่พวกเขาโดนฟ้องร้องมันไม่มีมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมาย ในความคิดเรากระบวนการจัดการเรื่องพวกนี้ มันไม่มีมาตรฐานเลย ควรจะปรับปรุงแก้ไขได้แล้ว”
“อย่างบางเคสอาจรุนแรง ก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่บางเคสไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น คนที่โดนไม่สมควรโดน รวมๆ คือไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรม อย่างเคสของไผ่ที่แชร์โพสต์ คนแชร์เป็นพันแต่คนโดนจับแค่หลัก 10 คน ถ้ามาตรฐานเดียวกัน ใช้ดุลยพินิจเดียวกัน คนทั้งหมดที่แชร์ก็ต้องโดนหมด ทำไมโดนแค่ไม่กี่คน หรือว่าเอาต้นโพสต์ แล้วทำไมต้นโพสต์ไม่โดน ซึ่งมันดูไม่สมเหตุสมผล ไม่ยุติธรรม ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าทำไมถึงโดน หรือที่อานนท์พูดมันผิดตรงไหน ไม่มีใครแย้งได้ หรือมันกลายเป็นว่าแค่พูดถึงก็โดนแล้ว มาตรฐานอยู่ตรงไหน สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่าจะทำผิดตอนไหน ตอบไม่ได้”
ตอบไม่ได้
ไม่มีมาตรฐาน
ไร้ซึ่งความชัดเจน
ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ
คือสิ่งที่ธีระพลเน้นย้ำตลอดเวลาที่เราถามถึงกรณีผู้ถูกดำเนินคดี ภายใต้กฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ เราจึงถามต่อว่าสถานการณ์ในประเทศไทยยังพอมีความหวัง ที่จะเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นอยู่บ้างไหม
“เรายังมีความหวังอยู่เสมอ มีความหวังเลยทำอย่างนี้ต่อไปได้ เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำ มันย้อนมาคำเดิม คือ เปิดโอกาสให้คนได้เข้ามาแสดงออก เพราะเราเชื่อว่าเรามีความหวังอาจจะเป็นหวังเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นทีละนิด ซึ่งอาจจะเปลี่ยนชีวิตคนหนึ่งคน สองคน วันละคนหรือเดือนละคน แต่หนึ่งคนนั้นที่เดินเข้ามา เขาอาจจะต่อยอดไปเรื่อยๆ มันทำให้เขาเห็นอะไรอีกแบบหนึ่ง เขาอ่านหนังสือหนึ่งเล่ม เจอคนหนึ่งคน เดินชมนิทรรศการ เจอโปสการ์ด หรือเจอโปสเตอร์สักใบ ที่ทำให้เขาเห็นอะไรมากขึ้น มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนสังคมไปทีละนิด เราเชื่อว่าสุดท้ายความหวังมันยังมีอยู่”
“และยังคงหวังว่าสักวันมันจะดีขึ้นได้ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่อยากให้ทั้งโลกดีขึ้น เราอยากเห็นโลกในอุดมคติ โลกที่สงบสุข โลกที่ทุกคนมีสิทธิ-เสรีภาพที่พึงจะได้รับ ตามความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งก็หวังว่าที่แบบนี้ กิจกรรมแบบนี้ หรือสถานที่แบบนี้ มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนโลกเปลี่ยนสังคมทีละเล็กทีละน้อย มันอาจจะไม่ส่งผลในวันสองวัน เดือนสองเดือน อาจจะใช้เวลาอีกสัก 10 ปีถึงจะเห็นผล แต่เราก็เชื่อว่ามันยังมีความหวังอยู่ ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะเชื่อว่ามันยังมีความหวัง”
Freedom Beyond Wall กำลังใจข้ามกำแพง
ล่าสุด ธีระพลเปลี่ยนพื้นที่ชั้นสองของ dot.b ให้กลายเป็นนิทรรศการ Freedom Beyond Walls กำลังใจข้ามกำแพง ซึ่งเกิดขึ้นจากความร่วมมือกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย เพื่อส่งต่อเสียงและกำลังใจจากโลกภายนอกไปยังผู้ต้องขังทางการเมือง ที่กำลังรอวันได้อิสรภาพคืนมาอีกครั้ง
กิจกรรมที่จัดเรียบง่าย คือให้ผู้มาเยี่ยมชมเขียนโปสการ์ดและจดหมาย ส่งไปถึงเพื่อนผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำ ข้อความเหล่านั้นจะถูกนำไปแขวนเรียงรายตามผนังร้าน เปรียบเสมือนบทสนทนาที่คนจากโลกภายนอก พยายามส่งไปยังคนที่อยู่หลังกำแพง

ภายในห้องมีโต๊ะไม้เรียบๆ วางโปสการ์ดเปล่าไว้พร้อมปากกา ให้ผู้เข้าชมได้เขียนข้อความถึงเพื่อนผู้ต้องขัง ไม่มีแบบฟอร์มหรือคำบังคับให้เขียนอะไร จะเขียนว่า “คิดถึง” “เข้มแข็งไว้นะ” หรือจะปล่อยให้เขียนด้วยลายมือสั่นๆ เป็นถ้อยคำแทนใจก็ได้ทั้งนั้น เพราะในความเงียบบริเวณชั้นหนึ่งของร้าน dot.b เพียงแค่เสียงปากกาที่ขีดลงบนกระดาษก็ดังพอจะสะเทือนไปทั้งหัวใจ
ขณะที่ผนังอีกด้านภายในห้อง จะถูกปกคลุมด้วยโปสการ์ด 75 ใบ ซึ่งออกแบบโดยเยาวชน ศิลปิน และผู้คนทั่วไปที่อยากพูดเรื่องเสรีภาพ บางใบวาดท้องฟ้าที่รอวันปลอดฝน บางใบเป็นมือที่ยื่นออกมาจากกำแพง และบางใบพูดถึงความเงียบ ทุกใบคือการตีความเสรีภาพในแบบตัวเอง และแสดงให้เห็นถึงความหวังที่ไม่อาจมีใครมาทำลาย
“เราไม่เคยได้สัมผัสกับเพื่อนผู้ต้องขังโดยตรง เลยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลกับเขามากน้อยแค่ไหน เราไม่เคยเป็นคนยื่นโปสการ์ดหรือจดหมายให้เขาเอง ไม่เคยเห็นสีหน้าหรือปฏิกิริยาตอนเขาได้อ่าน เราเลยไม่รู้จริงๆ ว่ามันเป็นอย่างไร”
“เป็นสิ่งที่ค้างอยู่ในใจมาตลอด เราอยากรู้ว่าสิ่งเล็กๆ ที่เราทำ มันช่วยพวกเขาได้จริงไหม เราอยากให้ข้อความเหล่านั้นกลายเป็นแรงกระเพื่อมที่ส่งไปถึงคนข้างใน และทำให้คนข้างนอกเห็นว่าสิ่งที่เราทำ มันมีความหมายกับชีวิตของเขาในเรือนจำจริงๆ นั่นแหละคือเหตุผลที่เราสนับสนุนให้ใช้พื้นที่ของร้าน เป็นสถานที่จัดนิทรรศการนี้”
อย่างที่ธีระพลบอก นิทรรศการนี้ไม่ได้ต้องการให้ใครมา ‘ดู’ แต่เชื้อเชิญให้ ‘มีส่วนร่วม’ เปลี่ยนจากคนนอกที่แค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาทางสังคม ผ่านงานศิลปะในฐานะภาษาสากล ซึ่งจะช่วยส่งต่อกำลังใจในฐานะการกระทำเล็ก ๆ ที่จับต้องได้

Freedom Beyond Walls จึงไม่ใช่เพียงนิทรรศการศิลปะหรือกิจกรรมขององค์กรสิทธิมนุษยชน หากแต่เป็นการทบทวนว่าความเป็นมนุษย์และเสรีภาพยังคงเป็นเรื่องของทุกคน แม้จะถูกกั้นด้วยกำแพงก็ตาม และหากใครเดินทางมาที่ร้าน dot.b พาร์ตเนอร์ ช็อป แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ไม่ได้ในตอนนี้ สามารถร่วมเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำไปกับแอมเนสตี้ได้ที่เว็บไซต์ https://freeratsadon.amnesty.or.th/
“เราอยากให้นิทรรศการนี้ ทำให้คนที่ไม่เคยรับรู้ ได้รับรู้เพิ่มมากขึ้น อย่างที่บอกว่าจำนวนคนมาชมอาจจะไม่เยอะ อาจจะแค่คนสองคน แต่มันก็เพิ่มการรับรู้ คนสองคนนั้นอาจจะนำไปบอกต่อ มีการสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งที่เราทำขึ้นมาทีละน้อยนี่แหละ เราเชื่อว่าสักวันมันจะเปลี่ยนการรับรู้ของสังคมได้”
“อยากเชิญชวนให้มาชมนิทรรศการ เราตั้งใจเป็นพื้นที่ที่เปิดให้ทุกคนได้แสดงออกทางความคิด ถ้ายังไม่เคยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ในสังคมเรา คนที่เขาโดนความอยุติธรรมโถมเข้าใส่ อยากให้ลองมาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง แล้วก็มาลองส่งเสียง มาลองช่วยซัพพอร์ตคนที่เจอเรื่องพวกนี้ เพราะเราทุกคนมีโอกาสตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันได้ นี่คือเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ในสักวันหนึ่ง อาจจะเกิดขึ้นคนใกล้ตัว หรือเกิดกับตัวคุณเองก็ได้”
“แม้ว่าบางคนเขาไม่เคยเจอปัญหา เป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยเจอปัญหาอะไรเลย มันก็มี แต่ก็จะมีคนที่ซวย คนธรรมดาที่ซวย คนไม่ธรรมดาที่ไม่ซวย แต่ก็โดนเล็ง กลายเป็นว่าขึ้นอยู่กับคุณเป็นใคร คุณพูดเรื่องอะไร คุณจะโดนเมื่อไหร่ เพราะมันไม่มีมาตรฐานว่าเราทำอย่างนี้ได้หรือไม่ได้”
หนังสือหนึ่งเล่มที่สะท้อนสิทธิมนุษยชนในแบบ dot.b
มนุษยทำ (Human Acts)
ฮัน คัง (Han Kang) นักเขียนชาวเกาหลีใต้ เจ้าของรางวัลโนเบล ประจำปี 2024
มนุษยทำ (Human Acts) เป็นหนังสือ 3 ภาษา นั่นคือ เกาหลี อังกฤษ และไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกที่เกาหลีใต้เมื่อปี 2014 ถูกนำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษในอีก 3 ให้หลัง และเดินทางมาสู่มือผู้อ่านชาวไทยในปี 2025 โดยสำนวนแปลของ อภิชญา บุญรินทร์
ธีระพลเปรียบหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า หากใครได้อ่านคงนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (Black May) ของประเทศไทย ถึงจะคนละเหตุการณ์ คนละช่วงปี และยังห่างไกลคนละประเทศ แต่การจัดการของรัฐบาลกลับมีลักษณะคล้ายกันอย่างน่าประหลาด

ในหนังสือบรรยายเหตุการณ์สังหารหมู่ควังจูในปี 1980 บอกเล่าถึงความรุนแรงที่รัฐบาลในยุคเผด็จการทหารกระทำต่อประชาชน โดยผู้เขียนได้เลือกเล่าเรื่องผ่านสายตาของผู้สูญเสีย พาคนอ่านดำดิ่งไปยังความสิ้นหวัง ธีระพลยังบอกอีกว่า นวนิยายเล่มนี้ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางถึงสำนวนการเขียน เพราะแต่ละบรรทัดที่เธอบรรยาย ผู้อ่านสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวด หนักอึ้งในอก และรู้สึกหดหู่มากขึ้นทุกครั้งที่พลิกหน้าถัดไป ซึ่งตรงตามชื่อเรื่องที่ถูกนำมาแปลเป็นภาษาไทยได้อย่างทรงพลังว่า มนุษยทำ
หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงนวนิยายต่างประเทศที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ แต่เป็นเหมือนกระจกบานหนึ่งที่สะท้อนภาพสังคมโลกในแง่มุมที่เรามักหลีกเลี่ยงจะมอง และบางครั้ง มันอาจสะท้อนภาพของประเทศไทยให้เรามองเห็นตัวเองชัดขึ้นด้วยเช่นกัน
dot.b จึงตั้งใจทำหน้าที่เป็นพื้นที่เล็กๆ ที่กล้าวางกระจกบานนั้นไว้ ให้ทุกคนได้ลองมอง และสะท้อนกลับมายังสังคมที่เราเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในปัจจุบัน




