Amnesty Regional Meet Up: ดูหนัง-ฟังเรื่องสิทธิ No Other Land ที่ ม.อ.หาดใหญ่ เปิดวงคุยสิทธิมนุษยชนอิสราเอล – ปาเลสไตน์

เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2568 ห้องเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ถูกจัดให้เป็นห้องฉายหนังชั่วคราวพร้อมเปิดเวทีสนทนาในกิจกรรม “Amnesty Regional Meet Up: ดูหนัง – ฟังเรื่องสิทธิมนุษยชน” งานนี้จัดโดย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับ Documentary Club, คณะนิติศาสตร์ ม.อ. หาดใหญ่ และ คณะรัฐศาสตร์ ม.อ. ปัตตานี ภายในงานมีการฉายสารคดี No Other Land – ใครจองแผ่นดินนี้ ก่อนเปิดวงคุยแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์หลากหลายแง่มุม

พุทธณี กางกั้น ประธานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เล่าในวงคุยว่า แอมเนสตี้ทำงานด้วยมาตรฐานกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL) ในการประเมินสถานการณ์อิสราเอล – ปาเลสไตน์ที่ขยับความรุนแรงจนเข้าลักษณะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เธอย้ำว่านี่ไม่ใช่การเลือกข้างของแอมเนสตี้ แต่คือการยืนอยู่ข้างหลักกฎหมายสากลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

“สารคดีเรื่องนี้พาเรากลับไปสู่หลักการพื้นฐานที่สุดของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (IHL)  พื้นที่พลเรือนต้องปลอดภัยเสมอ โรงเรียน โรงพยาบาล หรือสถานที่พักพิง ไม่ควรถูกโจมตีในยามสู้รบหรือสงคราม นี่ไม่ใช่แค่ความเห็น แต่เป็นพันธกรณีทางกฎหมายที่รัฐทุกประเทศต้องปฏิบัติตาม”

หากถามว่าแอมเนสตี้ยืนอยู่ตรงไหน คำตอบคือเรายืนอยู่ข้างสิทธิมนุษยชน ทุกครั้งที่พบการละเมิดสิทธิ เราจะใช้เสียงของเราเรียกร้องให้หยุดการละเมิด และผลักดันให้ผู้กระทำผิดต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น”

พุทธณี อธิบายเพิ่มเติมว่า สารคดีเรื่องนี้สอดคล้องกับผลการสืบสวนของแอมเนสตี้ ที่พบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะเด็กจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งที่พวกเขาไม่มีสิทธิเลือก ไม่มีโอกาสป้องกันตนเองได้เลย ที่ผ่านมา องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลหลายแห่ง รวมถึงแอมเนสตี้ ตรวจสอบและพบว่ามีพฤติการณ์อย่างน้อย 3 ประการ ที่เข้าเกณฑ์อาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ได้แก่ 

  1. การสังหารสมาชิกของกลุ่ม มีการโจมตีทางอากาศและปฏิบัติการทางทหารที่คร่าชีวิตพลเรือนจำนวนมากในโรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์พักพิง และพื้นที่อพยพ
  2. การก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายและจิตใจ เด็กจำนวนมากถูกตัดขาดจากอินซูลินและโภชนาการ หญิงตั้งครรภ์เข้าไม่ถึงการดูแลทางการแพทย์ ครอบครัวจำนวนมากต้องเฝ้าดูลูกๆ อดอาหารและเสียชีวิต ขณะที่มีผู้ถูกจับกุมและทรมานโดยไม่เปิดเผยที่อยู่
  3. การจงใจทำให้เงื่อนไขชีวิตไม่อาจดำรงอยู่ได้ การปิดล้อม การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและอาหาร การขัดขวางความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม และการบังคับอพยพซ้ำซาก ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามลดทอนความเป็นมนุษย์อย่างเป็นระบบ

พฤติการณ์เหล่านี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายของการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในระดับสากล ซึ่งจำเป็นต้องถูกยุติและตรวจสอบความรับผิดอย่างเร่งด่วน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งทางการเมือง แต่คือการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจน แอมเนสตี้จึงเรียกร้องให้มีการดำเนินการดังต่อไปนี้ 

  1. หยุดยิงทันที และยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา ยกเลิกการปิดล้อมทุกมิติ เปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงผู้คนได้อย่าง เสรี ปลอดภัย ไร้เงื่อนไข ทั้งอาหาร น้ำ การแพทย์ เชื้อเพลิง และการอพยพฉุกเฉินตามหลักมนุษยธรรม
  2. ยุติการยึดครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติ (อัปปาไทด์ ) ปฏิบัติตาม คำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ที่ระบุชัดเจนว่าการยึดครองดังกล่าว ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และการจัดระเบียบแบบอัปาร์ไธด์เป็น อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ต้องดำเนินการแก้ไขเชิงโครงสร้าง มิใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า
  3. ฟื้นฟูฉนวนกาซาและเยียวยาผู้คนโดยไม่บังคับอพยพ การกอบกู้โครงสร้างพื้นฐาน บริการสาธารณะต้องเดินหน้าอย่างมี ส่วนร่วมจากภาคประชาสังคมปาเลสไตน์ เคารพสิทธิในการกลับคืนถิ่นฐาน ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของผู้รอดชีวิต ไม่ผลักให้ต้องย้ายถิ่นซ้ำซาก
  4. จัดตั้งกลไกการเยียวยาและค่าชดเชยที่ครบถ้วน ครอบคลุมการ คืนสภาพ (Restitution) การ ชดเชย (Compensation) การ ฟื้นฟู (Rehabilitation) การ สร้างใหม่ (Reconstruction) และ หลักประกันว่าจะไม่เกิดซ้ำ (Guarantees of non-repetition) โดยมีกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการมีส่วนร่วมของผู้เสียหายอย่างมีความหมาย
  5. สนับสนุนความรับผิดทางกฎหมายในระดับสากล เดินหน้ากระบวนการต่อ ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และกลไกระหว่างประเทศอื่นๆ ต่อความผิดฐาน ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อัปาร์ไธด์ และอาชญากรรมจากการยึดครองทางทหาร เพื่อยุติวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด และส่งสัญญาณว่าความยุติธรรมข้ามพรมแดนยังทำงานได้จริง
  6. เพิ่มแรงกดดันให้ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และหยุดการสนับสนุนการละเมิดทุกรูปแบบ รวมถึงการ งดค้าขาย/การลงทุน/การส่งออกอาวุธ หรือเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกใช้ละเมิดสิทธิ ตลอดจนทบทวนความร่วมมือที่เอื้อต่อการทำผิดซ้ำ สร้างมาตรการคว่ำบาตรแบบเจาะจง (Targeted measures) ที่ยึดหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

“อย่าคิดว่าเราไม่มีอำนาจ เราทุกคนมีอำนาจของตัวเอง คำถามที่เรากล้าถาม การลงชื่อหนึ่งครั้ง การส่งต่อความรู้หนึ่งครั้ง ล้วนเป็นแรงกดดันเชิงสาธารณะ เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่เราทำได้วันนี้ จากนั้นเรื่องใหญ่ๆ จะค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงเอง”

ขณะที่ นนทวัฒน์ นำเบญจพล ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี ชวนถอดภาษาภาพที่หนังเรื่องนี้ใช้ เขาเล่าถึงการทำงานแบบ ฝังตัว (Immersion) ที่ต้องแลกด้วยเวลา ความไว้ใจและความเหนื่อยล้าระยะยาว แต่กลายเป็นสิ่งที่สะสมจนเป็นหลักฐานทางอารมณ์ของตัวละคร

“ความจริงที่เกิดขึ้นในหนังสารคดีเรื่องนี้ไม่เดินมาหาเราในวันแรก แต่ค่อยๆ ปรากฏผ่านรายละเอียดเล็กๆ ผ่านทางสีหน้าที่โทรมลง การหลับในรถ การถอนหายใจ สิ่งเหล่านี้เล่าเรื่องการเสื่อมถอยของความหวังได้ดังกว่าบทพูดยาวๆ”

ภาพจำนวนมากใน No Other Land ถูกถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือ ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่เพราะโทรศัพท์คือเครื่องมือเดียวที่สามารถหยิบขึ้นมาถ่ายได้ทันในสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ นนทวัฒน์ยังชี้ให้เห็นถึงมุมมองที่คู่ขนานกันของผู้กำกับทั้ง 2 คน ผ่านแนวคิดเรื่อง “คนนอก” และ “คนใน” ที่ร่วมกันทำให้หนังเรื่องนี้มีความหมายมากขึ้น ทั้งจากประสบการณ์จริง อารมณ์ ความรู้สึก และสัญลักษณ์บางอย่างที่สื่อว่า เรื่องนี้ไม่ควรถูกมองข้าม แม้ผู้ชมจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งนั้นด้วยก็ตาม

“ถ้าต้องมัวแต่ยกกล้องใหญ่ขึ้นมาจัดเตรียม ภาพจากเหตุการณ์จริงก็คงหายไปแล้ว ภาพที่ถ่ายด้วยมือถือจึงกลายเป็นทั้งหลักฐาน ความทรงจำ และส่วนหนึ่งของการต่อสู้ไปพร้อมกัน ทุกวันนี้การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียทำให้ภาพเหล่านี้ทรงพลังไม่แพ้อาวุธ สำหรับผู้คนที่ถูกกดทับ โทรศัพท์มือถือคืออาวุธเพียงชิ้นเดียวที่พวกเขามีจริงๆ”

“มีฉากหนึ่งที่ผู้กำกับ 2 คนคุยกันว่าจะออกจากพื้นที่เมื่อไหร่ ฉากนั้นทำให้เห็นทันทีว่าคนหนึ่งสามารถกลับบ้านได้ตลอดเวลา ในขณะที่อีกคนไม่มีเสรีภาพแบบนั้น มันเหมือนกับคนที่เรียนจบกฎหมายในเมืองนี้ แต่สุดท้ายกลับต้องไปทำงานก่อสร้าง สิ่งนี้ย้ำให้เห็นว่า ‘อิสรภาพ’ ไม่ได้มีความหมายเหมือนกันสำหรับทุกคน และเมื่อเกิดความขัดแย้ง ผลกระทบก็ขยายไปในหลายด้านของชีวิตผู้คน”

ดร.ยาสมิน ซัตตาร์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี พาผู้ฟังถอดความคิดผ่านสารคดี No Other Land และข่าวที่รายงานสถานการณ์อิสราเอล – ปาเลสไตน์ เธอเริ่มต้นด้วยการชวนให้ทุกคนถอยออกจากกรอบความเข้าใจแบบ “สองขั้ว” ที่มักมองว่าเป็นเรื่องยิวปะทะมุสลิม พร้อมชี้ให้เห็นว่าความจริงนั้นซับซ้อนและหลากหลายกว่านั้นมาก สารคดีเรื่องนี้ไม่เพียงพาผู้ชมเข้าไปอยู่ท่ามกลางฉากการยึดครองที่เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ยังเปิดให้เห็นโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ การเมือง และกฎหมายที่ซ้อนทับกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วคน โดย ดร.ยาสมิน ชวนมองผ่าน 3 คำสำคัญ ดังนี้

People ผู้คนที่หลากหลายกว่าข่าวที่ถูกสื่อสาร ยาสมินอธิบายว่า สารคดีเรื่องนี้พาเราไปเห็น “ผู้คนจริงๆ” ที่มีความหลากหลายเกินกว่าภาพจำแบบง่ายๆ ว่าเป็นเรื่องของ “ยิวปะทะมุสลิม” ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากชาวยิวทั้งหมด แต่มีรากมาจากกลุ่มไซออนนิสต์สุดโต่งที่เริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยความเชื่อว่าพื้นที่ปาเลสไตน์คือดินแดนพันธสัญญาที่พระเจ้าประทาน และต้องฟื้นรัฐอิสราเอลขึ้นมาใหม่ ขณะเดียวกัน ในสังคมยิวเองก็ไม่ได้มีเสียงเดียว ยังมีชาวยิวจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดครองหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ส่วนฝั่งปาเลสไตน์ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวเช่นกัน เพราะประกอบด้วยทั้งคริสเตียนและมุสลิม รวมถึงมีหลายแนวคิดทางการเมืองปะปนกัน ยาสมินจึงย้ำว่า ความขัดแย้งนี้เป็น การเมืองที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ มากกว่าจะเป็นสงครามศาสนาตรงไปตรงมา

Place สถานที่ที่ถูกกำหนดและถูกลบ จากเรื่อง “ผู้คน” ยาสมินพาเราไปต่อที่ ชุมชนชาวปาเลสไตน์ในเขตมาซาเฟอร์ ยาตตา หนึ่งในพื้นที่ถ่ายทำของสารคดี ที่แม้จะดูเป็นเพียงจุดเล็กบนแผนที่ แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมอันยาวนาน ยาสมินเล่าว่า ดินแดนนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน ก่อนที่อังกฤษจะเข้ามาหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 พร้อมแนวคิดอันอันตรายที่เรียกว่า “Land Without People” มองว่าพื้นที่นี้เป็นที่ว่างเปล่า ทั้งที่ในความจริงมีผู้คนอาศัยอยู่มานาน มีเหรียญกษาปณ์ เอกสาร และหลักฐานทางวัฒนธรรมยืนยันมากมาย แนวคิดนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่อังกฤษฝังไว้ และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการอพยพครั้งใหญ่เพื่อนำชาวยิวที่เคยถูกกดขี่ในยุโรปกลับเข้ามาในดินแดนนี้ ขณะเดียวกันก็ผลักดันให้ชาวปาเลสไตน์ออกจากบ้านเกิดของตนเอง และในปี 1947 การประกาศจัดตั้งรัฐอิสราเอลได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองไปตลอดกาล จุดชนวนให้เกิดสงครามกับชาติอาหรับและทำให้ชาวปาเลสไตน์ถูกผลักออกจากถิ่นฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

Period ช่วงเวลาและการเมืองโลกที่กำหนดความรุนแรง ยาสมินยังชวนมองเรื่อง เวลา ผ่านสารคดีเรื่องนี้ว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไฟความรุนแรงไม่เคยมอด สารคดีถูกถ่ายทำต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปี ตั้งแต่ปี 2019 แต่สิ่งที่สื่อสารออกมากลับเชื่อมโยงกับช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่หลายคนเพิ่งเริ่มสนใจหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2023 วันที่คนไทยจำนวนหนึ่งหันมาให้ความสนใจเพราะมีแรงงานไทยเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ยาสมินย้ำว่า เหตุการณ์นั้น ไม่ใช่จุดเริ่มต้น แต่เป็นเพียงคลื่นลูกหนึ่งของความรุนแรงที่ดำเนินต่อเนื่องมาแล้วหลายทศวรรษ ทุกระลอกของความตึงเครียดมักเกี่ยวพันกับการเมืองโลก โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐอเมริกา เช่น ในยุค โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เปิดทางให้อิสราเอลขยายอาณานิคมอย่างชัดเจนที่สุด ส่วนรัฐบาล โจ ไบเดน แม้จะมาจากพรรคเดโมแครต ก็ยังคงสนับสนุนอิสราเอลในหลายมิติ ขนานไปกับบทบาทของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ที่ใช้โอกาสนี้ผลักดันการยึดครองต่อเนื่อง ทำให้ไฟความตึงเครียดในภูมิภาคไม่เคยดับลงเลย

และเมื่อวางกรอบประวัติศาสตร์ การเมือง และภูมิศาสตร์แล้ว ยาสมินได้พาผู้ฟังเข้าสู่ แว่นขยาย 4 คำสำคัญ เพื่ออ่านข่าวและสารคดีให้เชื่อมโยงกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมสากล เธอเริ่มจาก Settlement คือการขยายนิคมที่เกิดขึ้นแทบทุกครั้งหลังความรุนแรง ทำให้พื้นที่อยู่อาศัยหดเล็กลงและบีบให้ผู้คนต้องอพยพ กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ในเรื่องสิทธิในชีวิต เสรีภาพ ความมั่นคง และการมีมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม ตลอดจนกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่รับรองสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่คุ้มครองสิทธิในที่อยู่อาศัยและทรัพยากรในการดำรงชีวิต

ต่อมาคือ Apartheid การแบ่งแยกคนให้ไม่เท่าเทียม เห็นได้จากถนนที่แยกเส้นทางเดินทาง การสัญจรที่ถูกจำกัด และกำแพงที่แบ่งเขาและเรา ทั้งหมดนี้สื่อสารให้เห็นถึงความขัดแย้งในหลักกฎหมาย UDHR มาตรา 2 และ 7 ที่คุ้มครองความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึง อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ (CERD) ที่ห้ามการแบ่งแยกอย่างเป็นระบบ คำที่ 3 คือ Lives ชีวิตที่ถูกทำให้เล็กลง เธอชี้ว่าความรุนแรงไม่เพียงพรากร่างกายแต่ยังกัดกินจิตใจและพื้นที่ดิจิทัล ตั้งแต่โรงเรียน โรงพยาบาลที่ไม่ปลอดภัย ไปจนถึงการถูกสอดส่องบนโซเชียลมีเดียจนแม้แต่การโพสต์โซเชียลมีเดียธรรมดาก็กลายเป็นความเสี่ยง ส่งผลให้เกิดบาดแผลระยะยาว เช่น ภาวะบาดเจ็บทางจิตใจ (PTSD) ที่สืบเนื่องจากการใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่มั่นคงเรื้อรัง และคำสุดท้าย Resistance การไม่ยอมจำนน ตั้งแต่ก้อนหินหน้ารถถัง กล้องมือถือที่บันทึกภาพ ไปจนถึงการล็อบบี้บนเวทีนานาชาติ แก่นร่วมคือไม่ยอมให้เรื่องนี้เงียบ เพราะเสียงคืออาวุธเพียงไม่กี่อย่างที่ผู้ถูกกดทับยังพอจะใช้ต่อสู้ได้

ยาสมินทิ้งท้ายว่าสถานการณ์ในอิสราเอล – ปาเลสไตน์กำลังถูกตัดสินโดยศาลหรือกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ใช่ของประชาชน เธอบอกว่านี่คือโจทย์ใหญ่ของนิติรัฐและกฎหมายระหว่างประเทศว่าใครกันที่มีอำนาจ ในการนิยามคำว่าบ้านนั้นเป็นของใคร และเราจะบังคับใช้กฎหมายอย่างไรให้เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้จริง 

“ในยุคที่ข้อมูลไหลท่วมท้น สิ่งสำคัญไม่ใช่การเชื่อทันที แต่คือการหาความจริงด้วยตัวเอง ใช้ทุกเครื่องมือที่มีเพื่อประเมินและตัดสินใจว่า เราจะยืนอยู่ตรงไหน และจะส่งเสียงอย่างไร เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความรุนแรงอยู่ได้ก็ด้วยความเมินเฉยของพวกเราเอง”

“วางการบ้านให้ทุกคนกลับไปคิดต่อ ก่อนจะเชื่ออะไร หาข้อมูลก่อน อย่าเชื่ออัลกอริทึมอย่างเดียว แล้วถามตัวเองว่าเราจะยืนตรงไหน จะส่งเสียงอย่างไร เพื่อไม่ให้ความรุนแรงอยู่ได้ด้วยความเงียบของเรา”

หลังหนังจบนักศึกษาคนหนึ่งเล่าถึงฉากที่ทหารบุกเข้าไปในหมู่บ้าน เด็กตัวเล็กๆ ขอลูกโป่งจากผู้กำกับหนังเรื่องนี้ แล้วกล้องแพนช้าๆ ตามลูกโป่งที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะหายลับออกนอกเฟรม เขาสะท้อนว่าแม้แต่อิสรภาพเล็กๆ ของเด็กยังล่องหนไปต่อหน้า เหมือนกับลูกโป่งที่สื่อสารผ่านในหนัง ขณะที่อีกคนพูดถึงฉากที่ชายคนหนึ่งถูกยิงต่อหน้าพ่อแม่ จนเห็นเลือดที่มือเขาไหลช้าๆ ท่ามกลางฝุ่น เขาใช้คำว่าฉากนั้นทำให้ขนลุกเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตัวละครที่สร้างบทขึ้นมา แต่คือความจริงที่อยู่ตรงหน้า และถ้าทั้ง 2 ผู้กำกับไม่ถ่ายและนำมาเรียบเรียง คงจะไม่มีใครเห็นความจริงที่เกิดขึ้น และนักศึกษาคนสุดท้ายบอกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสารคดีเรื่องนี้ เหมือนทำให้เราลืมบ้านของตัวเอง ทั้งที่บ้านเป็นสิทธิในที่อยู่อาศัยของผู้คนทุกคนตั้งแต่เกิด

ในช่วงท้ายผู้เข้าได้ร่วมกันทำ Take Action เพื่อยืนหยัดเคียงข้างผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ หยุดยิงทันที, ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, และแคมเปญล่าสุด “Let Children Live” ที่แอมเนสตี้ร่วมกับ Save the Children เรียกร้องให้เด็กๆ ในกาซาได้เติบโตและมีชีวิตอย่างปลอดภัยเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ไม่ใช่แค่การฉายภาพยนตร์สารคดี แต่คือส่วนหนึ่งของความพยายามสื่อสารของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ในการสร้างและขยายฐานเครือข่ายนักกิจกรรม สมาชิก และผู้สนับสนุนในภูมิภาค ผ่านโครงการ “Amnesty Regional Meet Up” เพื่อทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้สาธารณะที่เชื่อมโยงนักศึกษาและเครือข่ายภาคใต้ รวมถึงภูมิภาคอื่นๆ ทั่วประเทศไทย

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน