“สิทธิมนุษยชนไม่เคยเกิดขึ้นเอง หากไม่มีใครลุกขึ้นตั้งคำถาม” สำหรับ เนี้ยบ ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง และสมาชิกแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย การเป็นนักกิจกรรมไม่ใช่เพียงบทบาทชั่วคราวในรั้วมหาวิทยาลัย แต่คือเส้นทางชีวิตที่เริ่มต้นจากการเห็นผู้หญิงมากมายต้องติดอยู่ในวงจรไร้ทางออกของการยุติการตั้งครรภ์ ประสบการณ์เหล่านั้นทำให้เธอเชื่อว่า สิทธิไม่ควรถูกกดทับให้อยู่ในเงามืดหรือถูกมองข้ามไป แต่ควรถูกยกขึ้นมาให้เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนเข้าถึงได้

“ตอนนั้นเราเป็นนักกิจกรรมอยู่แล้ว และมีกลุ่มเพื่อนที่ทำงานการเมือง แอมเนสตี้สำหรับเราเป็นองค์กรชื่อดังที่พูดเรื่องสิทธิได้ตรงไปตรงมา เราเลยคิดว่าการสมัครเป็นสมาชิกคือการสนับสนุนสิ่งที่เราเชื่อ”
ประโยคเรียบง่ายของ เนี้ยบ ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง ผู้ซึ่งเดินทางมาบนเส้นทางสิทธิมนุษยชนจากประสบการณ์ใกล้ตัวที่ฝังลึกในใจ เธอเล่าย้อนกลับไปถึงประเด็นแรกที่ทำให้เธอไม่อาจนิ่งเฉยได้ คือ ‘การยุติการตั้งครรภ์’ จากการได้เห็นผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญทางตันในชีวิตอย่างไร้ทางเลือก จึงทำให้เธอเชื่อมั่นว่าประเด็นนี้ไม่ควรถูกกดทับหรือถูกปิดบัง แต่ควรถูกยกขึ้นมาในฐานะสิทธิที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างปลอดภัย เพื่อทำให้เกิดการตระหนักถึงความไม่เป็นธรรมในสิทธินี้ นี่จึงกลายเป็นบันไดก้าวแรกที่พาเธอเข้าสู่เส้นทางการทำงานแบบเฟมินิสต์เพื่อสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เส้นทางการศึกษาและการท้าทายเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
เนี๊้ยบเริ่มต้นเส้นทางวิชาการที่คณะสื่อสารมวลชนที่เรียนควบคู่กับวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประสบการณ์ในตอนนั้นทำให้เธอตั้งคำถามต่อเศรษฐศาสตร์กระแสหลักว่าให้ความสำคัญกับทุนและกำไร มากกว่าคุณค่าของคุณภาพชีวิตและสิทธิแรงงาน จากนั้นทำให้เธอตัดสินใจทำวิทยานิพนธ์ศึกษาเรื่องการต่อรองค่าแรงของแรงงานข้ามชาติที่แม่สอด จังหวัดตาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เธอเดินเข้าสู่เส้นทางการทำงานกับแรงงานแพลตฟอร์มในเศรษฐกิจไม่เป็นทางการ (informal sector) ตั้งแต่เรื่องกลุ่มไรเดอร์ ไปจนถึงแม่บ้านที่ทำงานผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลในแอปต่างๆ เป็นต้นมา
“เราเห็นชัดเลยว่าเศรษฐศาสตร์กระแสหลักมันพูดเรื่องทุน เรื่องกำไรอย่างเดียว แต่ไม่พูดเรื่องชีวิตแรงงาน ไม่พูดถึงศักดิ์ศรีคนทำงานว่ามีสิทธิอื่นๆ ด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เราเข้ามาในวงการสิทธิมนุษยชนถึงทุกวันนี้”
เธอบอกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอขยายความสนใจจากสิทธิทางการเมือง มาสู่สิทธิทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของแรงงาน รวมถึงสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย หลังจากรับฟังประสบการณ์ถูกกดทับของคนรอบตัวจากการเกิดเป็นผู้หญิง และประสบกับการถูกคุกคามทางเพศด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมตัวตนจนนำไปสู่การทำให้เนี้ยบเข้ามาทำงานเต็มตัวกับมูลนิธิทำทาง
สิทธิที่สำคัญที่สุด สิทธิที่จะเป็นตัวเอง
เมื่อถามถึงสิทธิที่สำคัญที่สุดในชีวิต เนี้ยบตอบทันทีว่า “สิทธิที่จะเป็นตัวเอง” ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ของแอมเนสตี้ ประเทศไทย ที่ตัดสินใจมาเป็นหนึ่งในขบวนการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน เธอเน้นย้ำว่าทุกคนมีสิทธิในการเลือกเพศสภาพ การแต่งกาย ความเชื่อทางการเมือง ศาสนา และทางเลือกชีวิตที่ไม่ควรถูกตีตราว่าเป็นภัยคุกคามหรือสิ่งผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรมอันดีงามในประเทศ

เธอเชื่อว่าสิทธิมนุษยชนไม่ควรถูกทำให้เป็นเรื่องไกลตัว แต่ควรเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงขั้นต่ำ สิทธิของผู้หญิง สิทธิในการทำแท้งที่ปลอดภัย หรือสิทธิในการแสดงออกทางการเมือง สิ่งเหล่านี้คือผลลัพธ์ของการต่อสู้ที่สังคมควรตระหนัก
“ยกตัวอย่างสิทธิในการทำแท้ง ที่ผ่านมาเราเห็นผู้หญิงหลายคนที่ไม่มีทางออก เห็นเขาต้องอยู่กับความทุกข์ที่ไม่มีใครยื่นมือมาช่วย เราเองก็เคยมีประสบการณ์จากคนรอบตัวที่ทำให้เข้าใจว่ามันยากแค่ไหน การทำแท้งจึงไม่ควรถูกทำให้เป็นเรื่องต้องห้าม แต่ควรถูกมองว่าเป็นสิทธิ เป็นบริการที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างปลอดภัย”
บทเรียนจากรั้วมหาวิทยาลัย การท้าทายระบบโซตัส
ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยคือพื้นที่ที่เนี้ยบเริ่มออกมาเคลื่อนไหวและตั้งคำถามถึงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม เธอเคยลุกขึ้นต่อต้านวัฒนธรรมโซตัส (SOTUS) ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเฉพาะกิจกรรม ‘รับน้องขึ้นดอย’ ที่เธอเห็นว่ากระบวนการให้ได้มาซึ่งกิจกรรมวันขึ้นดอย เช่น การว้าก การควบคุมเครื่องแต่งกาย การบังคับระเบียบวินัยที่ไม่จำเป็น เป็นการละเมิดสิทธิของนักศึกษา
ในสังคมอุดมศึกษาไทยในรั้วมหาวิทยาลัย คำว่า SOTUS กลายเป็นเสมือนรากฐานที่ถูกปลูกฝังมายาวนาน SOTUS ย่อมาจาก Seniority (ความอาวุโส), Order (วินัย), Tradition (ประเพณี), Unity (ความสามัคคี) และ Spirit (จิตวิญญาณหรือความเสียสละ) เดิมทีระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและหล่อหลอมความผูกพันระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ในทางปฏิบัติเมื่อก่อนนั้น พบว่าระบบที่ควรเป็นเครื่องมือสร้างความสัมพันธ์กลับกลายเป็นโครงสร้างที่เปิดโอกาสให้รุ่นพี่ใช้อำนาจเหนือรุ่นน้อง
เนี้ยบเปิดเผยว่า หลายกรณีที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ตอนนั้น SOTUS ไม่ได้สร้างความสามัคคีอย่างที่ตั้งใจ แต่กลับลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ผ่านการบังคับ การกดดันทางร่างกายและจิตใจ หรือแม้แต่ความรุนแรงที่แฝงมาในรูปของ ‘ประเพณี’ การรับน้องจึงเต็มไปด้วยเงื่อนไขของการเชื่อฟัง มากกว่าเคารพกันและกัน

สำหรับ เนี๊้ยบ ผู้จัดการมูลนิธิทำทางในปัจจุบัน ช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยคือพื้นที่ที่เธอเลือกจะตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจนี้ เธอมองว่า SOTUS ไม่ได้เป็นเพียงการขัดขวางสิทธิการแสดงออกและการแสดงความคิดเห็นของนักศึกษา แต่ยังตอกย้ำว่าเป็นวัฒนธรรมที่ทำให้การละเมิดสิทธิถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติในรั้วมหาวิทยาลัย
“ตอนนั้นเราคิดว่า ถ้าเรายังนิ่งเงียบ มันก็จะถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติไปเรื่อยๆ อย่างน้อยการลุกขึ้นมาทำให้เกิดคำถามก็สำคัญ แม้จะถูกวิจารณ์ ถูกต่อต้าน แต่การโยนคำถามลงไปกลางสังคมดีกว่าการทำเป็นไม่เห็นอะไร”
จากการตั้งคำถามถึงระบบ SOTUS ที่ละเมิดสิทธิในตอนนั้น ทำให้เนี้ยบเริ่มทำแคมเปญ ‘หนีว้ากขึ้นดอย’ เพื่อเสนอว่ากิจกรรมอย่างรับน้องขึ้นดอยสามารถทำเป็นพื้นที่ของความสนุกและความสามัคคีในรูปแบบอื่นได้ โดยไม่จำเป็นต้องแลกมาด้วยการบังคับหรือการทำร้ายกัน เธอยอมรับว่าสุดท้ายความเคลื่อนไหวนี้แม้จะทำให้ต้องเผชิญแรงเสียดทานมหาศาล แต่ส่วนตัวมองว่ากลายเป็นหมุดหมายที่ดีและสำคัญในเส้นทางสิทธิมนุษยชนของเธอ และเป็นตัวอย่างของการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ที่ยืนยันว่า “สิทธิมนุษยชนเริ่มต้นได้แม้กระทั่งในรั้วมหาวิทยาลัย”
จากสมาชิกในรั้วมหาวิทยาลัยสู่สมาชิกในการทำงาน
การเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ของเนี้ยบได้เริ่มต้นขึ้นช่วงที่เธอกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในตอนที่เธอเป็นนักกิจกรรมที่โอบรับความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมต้องเริ่มจากการตั้งคำถาม เธอเล่าว่าแอมเนสตี้สำหรับเธอตอนที่ยังเรียนอยู่ เป็นองค์กรที่มีความเชื่อคล้ายกัน เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียง และเป็นพื้นที่ที่เธอเลือกเข้าร่วมโดยไม่ลังเลใจ เพราะเชื่อว่าควรสนับสนุนการเคลื่อนไหวที่มีหัวก้าวหน้ากว่าสังคมที่เป็นอยู่ในตอนนั้น
หลังจากเรียนจบและเว้นช่วงไปสักระยะหนึ่ง เนี้ยบกลับมาเป็นสมาชิกแอมเนสตี้อีกครั้งในช่วงที่เข้ามาทำงานกับมูลนิธิทำทาง จนได้มาเป็นผู้จัดการมูลนิธิทำทางจนถึงทุกวันนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจึงทำให้เธอมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับแอมเนสตี้โดยตลอด ผ่านการทำงานเคียงข้างกันในกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ เรื่อยมา
“มันเหมือนเราได้กลับมาเจอเพื่อนร่วมทาง ที่ไม่เพียงเห็นด้วยกับเราในเชิงหลักการ แต่ยังสนับสนุนทั้งกำลังใจและทุนเพื่อผลักดันกิจกรรมต่อไปได้จริง”
เมื่อเอ่ยถึงแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล องค์กรโลโก้รูปเทียนและมีสีเหลือง เนี้ยบจะย้ำซ้ำๆ แม้จะเรียนจบมาหลายปีแล้วก็ตามว่า “รู้จักแอมเนสตี้มาตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แอมเนสตี้เป็นองค์กรดัง” (หัวเราะ) แม้ในตอนนั้นเธอยังเข้าใจเพียงว่าที่นี่ทำงานเรื่องการเมืองเป็นหลัก แต่ชื่อของแอมเนสตี้คือสัญลักษณ์ของการยืนหยัดบนประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สังคมไทยยังไม่คุ้นชิน
เธอเล่าว่า ข่าวแรกที่ทำให้เธอจดจำแอมเนสตี้ได้คือการออกมาแสดงจุดยืนเรื่องโทษประหารชีวิตและการชุมนุมประท้วงของเยาวชนในปี 2563 จากทั้ง 2 เหตุการณ์ทำให้เธอคิดว่าข้อเสนอแนะของแอมเนสตี้มักจะไวกว่าเวลาของสังคมเสมอ พร้อมยกตัวอย่างว่า เรื่องการยกเลิกโทษประหารชีวิตและการทำแท้งปลอดภัยแม้จะต่อสู้กันคนละประเด็น แต่ถูกต่อต้านอย่างรุนแรงเหมือนกัน ซึ่งแอมเนสตี้ก็ยังยืนหยัดที่จะพูดเรื่องนี้ต่อ ไม่ต่างจากมูลนิธิทำทางและตัวเธอเอง ที่ยังเลือกสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและลดอคติต่อไป
“เราจำแอมเนสตี้ได้จากเรื่องโทษประหารชีวิต ไม่ใช่เพราะเขาโดนด่า แต่เพราะไม่ท้อแล้วยังทำต่อ เราเชื่อว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิตดีในหลายมิติ มันช่วยลดการกล่าวหาผิดคน มันเปิดทางให้สังคมแก้ทัศนคติได้มากกว่าตอบโต้ด้วยความรุนแรง และเราก็ชื่นชมที่แม้สังคมจะยังไม่เข้าใจ แต่แอมเนสตี้ก็ยังพูดต่อ เหมือนกับเรื่องทำแท้งปลอดภัย ต่อให้ยังมีอคติ แต่เราก็ต้องพูดต่อไป เพราะมันคือสิทธิของคน”
สำหรับเนี้ยบ สิ่งที่เธอเห็นชัดเจนจากแอมเนสตี้โดยใช้คำว่าความทรหดในการสื่อสารเรื่องที่มีความคิดเห็นหลากหลายในสังคม การไม่ยอมถอยเมื่อถูกต่อต้าน และการเลือกจะย้ำประเด็นสิทธิมนุษยชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าสังคมจะเริ่มตั้งคำถามและเปิดใจ
จากบุคคลสู่เครือข่ายสมาชิกแอมเนสตี้
ในฐานะผู้จัดการมูลนิธิทำทาง เนี้ยบเห็นการเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ไม่ใช่เพียงการถือบัตรหรือจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือรายปี แต่คือการได้อยู่ในเครือข่ายที่ทำงานร่วมกันจริง เธอยกตัวอย่างกิจกรรม Bangkok Abortion กิจกรรมเนื่องในวันยุติการตั้งครรภ์สากล (International Safe Abortion Day) ซึ่งมูลนิธิทำทางจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ 2565 งานนี้แอมเนสตี้คือหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักตลอดมา
“การเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ในรูปแบบพาร์ตเนอร์หรือองค์กร ไม่ใช่แค่ได้ทุนทำงานสิทธิ แต่เรารู้สึกว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของแอมเนสตี้ ไม่ใช่แค่การเป็นเจ้าของร่วมในเชิงทิศทางการทำงานอย่างเดียว แต่เป็นเจ้าของร่วมในพันธกิจบางอย่างที่เราทำ แอมเนสตี้ก็ต้องมาช่วยผลักดันไปด้วยกัน มันไม่ใช่แค่ได้ทุน Seed Fund แต่คือการสร้างภาคีเครือข่ายที่แข็งแรงขึ้นไปด้วยกันเรื่องสิทธิมนุษยชน”
“สำหรับองค์กรเล็กๆ ที่เบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างทำทาง การได้รับทั้งทุนและแรงสนับสนุนจากแอมเนสตี้ คือสิ่งที่ทำให้โครงการสามารถขยายผลได้จริงและไปไกลกว่าที่เคยทำได้ด้วยตัวเอง”
เมื่อพูดถึงข้อดีของการเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ทุกครั้ง เนี้ยบมักย้ำเสมอว่า คือการได้เพื่อนร่วมทางที่ไม่ต้องต่อสู้เพียงลำพังในเรื่องยากๆ หรือเรื่องที่สังคมต้องการการสื่อสารที่ไม่ขาดตอน แต่เป็นการสื่อสารที่ค่อยๆ ขยับความคิดให้คนคิดตาม แม้จะใช้เวลานานหรือมีแรงต้านอยู่บ้าง แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

“งานสิทธิมนุษยชนไม่มีใครทำได้คนเดียว ต่อให้เป็นองค์กรใหญ่ก็ไม่พอ การเป็นสมาชิกแอมเนสตี้เหมือนเราได้เดินไปด้วยกัน มีคนผลัก มีคนคอยรับฟัง จุดมุ่งหมายของเรากับแอมเนสตี้คือสังคมที่ดีขึ้น มันเลยไม่ใช่แค่การสนับสนุนองค์กร แต่คือการยืนยันว่าเราจะไม่ต่อสู้อย่างลำพัง”
“ใครที่ยังลังเล อยากชวนให้มาสมัครสมาชิกกับแอมเนสตี้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การบริจาค แต่คือการยืนอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เพื่อทำให้สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องจริงในชีวิตประจำวันของทุกคน” เรื่องราวของ เนี้ยบ ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทางและสมาชิกแอมเนสตี้ ประเทศไทย เป็นอีกภาพสะท้อนของการยืนหยัดเพื่อสิทธิ ตั้งแต่การลุกขึ้นตั้งคำถามในรั้วมหาวิทยาลัย ไปจนถึงการผลักดันประเด็นสิทธิในร่างกายของผู้หญิงและแรงงานในสังคมไทย เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยคนเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยเครือข่ายที่ร่วมแรงร่วมใจเดินไปด้วยกัน และนี่คือสิ่งที่แอมเนสตี้ประเทศไทยทำมาตลอด มาร่วมเป็นสมาชิกกับเรา โดยสมัครสมาชิกได้ที่ https://bit.ly/46YjjTG มาทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคนไปด้วยกัน