นักเคลื่อนไหวในเครื่องแบบราชการ: เสียงเล็กๆ ที่ไม่เคยเงียบ

เราไม่มีอาวุธอะไร นอกจากคำพูด” 

ออฟ ผู้บริจาคแอมเนสตี้ ประเทศไทย — 

ในห้องทำงานขนาดกะทัดรัดแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง มีโต๊ะไม้เรียบๆ ที่ดูไม่ต่างจากโต๊ะราชการทั่วประเทศ หากแต่มุมหนึ่งของโต๊ะนั้นมีปฏิทินของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ปรากฏอยู่โดยไม่มีวันเคลื่อนย้าย นั่นอาจเป็นเพียงรายละเอียดเล็กๆ ในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับ “ออฟ” ข้าราชการไทยวัยกลางคนคนหนึ่ง ปฏิทินนั้นคือสัญลักษณ์แห่งความภูมิใจเล็กๆ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าแม้ในเครื่องแบบราชการ จะไม่อาจส่งเสียงได้เต็มที่ แต่เขาเลือกยืนข้างเสรีภาพอย่างไม่ลังเล 

“ผมเรียกตัวเองว่าเป็นนักเคลื่อนไหวที่อยู่ข้างหลังครับ” 
“เพราะความเป็นข้าราชการทำให้ออกหน้าเรียกร้องอะไรไม่ได้ แต่การเป็นผู้บริจาคให้แอมเนสตี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าเราก็มีส่วนอยู่ในขบวนนี้เหมือนกัน” 

ออฟเป็นผู้บริจาครายเดือนให้แอมเนสตี้ ประเทศไทยมาราวสองปีแล้ว เสียงของเขาไม่ได้อยู่บนเวที ไม่ปรากฏในบทสัมภาษณ์ ไม่ถูกพูดถึงในสื่อกระแสหลัก เขาไม่ปรากฏตัวในการชุมนุม ไม่มีภาพชูสามนิ้ว ไม่มีวิดีโอเรียกร้องการปฏิรูปใดๆ บนโซเชียลมีเดีย แต่เขามี “เข็มกลัดรูปอานนท์ นำภา” ติดที่กระเป๋าเสื้อ และมีเงิน 300 บาทที่บริจาคให้กับแอมเนสตี้ ประเทศไทย องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในทุกเดือน 

“แค่พกเข็มกลัดรูปทนายอานนท์ นำภา ไปทำกิจกรรมอะไรหลายๆ อย่าง เพียงแต่ไม่ได้พูดอะไรเยอะ แค่พกให้รู้ว่าผมอยู่ข้างเขา บอกตรงๆ เป็นข้าราชการไทยไม่ง่าย ถ้าอยากรอดก็ต้องรู้วิธีที่จะอยู่ให้ได้” 

เสียงเบาๆ ในระบบที่ไม่อนุญาตให้ส่งเสียง 

เมื่อถามว่าเพราะอะไรถึงเริ่มสนใจแอมเนสตี้ คำตอบของออฟไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่มีเหตุการณ์พลิกผันในชีวิตที่น่าตื่นเต้น หรือมีแรงบันดาลใจอะไรจากการอ่านหนังสือปกแข็งหนาเตอะจนได้มาอยู่ในขบวนการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน เขาเพียงแค่เลื่อนหน้าจอบนเฟซบุ๊กในโซเชียลมีเดีย แล้วสะดุดตากับโพสต์หนึ่งของแอมเนสตี้ในช่วงปี 2563 ปีที่การเมืองร้อนระอุ เยาวชนลุกขึ้นมาเรียกร้องเสรีภาพ และคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ กลายเป็นถ้อยคำต้องห้ามในหลายพื้นที่ของราชการไทย โดยเฉพาะการพูดถึงเรื่องการชุมนุมประท้วง 

“เห็นการเคลื่อนไหวเด็กและเยาวชนตอนนั้น แล้วรู้สึกว่าแอมเนสตี้คือเสาหลักให้คนที่พูดไม่ได้ เหมือนเรา” 

แม้เขาจะเลือกเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิมนุษยชนในรูปแบบที่ตัวเองประเมินแล้วว่า ทำแบบนี้แล้วจะปลอดภัยด้วยการเป็นผู้บริจาคแอมเนสตี้ ประเทศไทย แต่สำหรับเขา…ในการทำเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าเขาจะนิ่งเฉยหากพบเห็นใครถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ออฟเชื่อว่าความเงียบของคนธรรมดานั้นไม่ควรเป็นความยอมจำนน หากแต่เป็นการเลือกวิธีส่งเสียงในแบบของตัวเอง แบบที่ระบบราชการไทยยังอนุญาตให้หายใจได้ เขาคิดว่าทางนี้ดีที่สุดในชีวิตช่วงนี้ของเขา 

“ไม่ใช่ทุกคนที่ตะโกนถึงความอยุติธรรมต้องอยู่หน้าเวทีเสมอไปครับ บางคนแค่แชร์ บางคนแค่บริจาค หรือบางคนอย่างผม แค่พกเข็มกลัดเดินในที่สาธารณะ” 

กฎหมายพูดไม่ได้ แต่ใจยังพูดได้ 

ออฟให้ความสนใจกับสิทธิในการแสดงออกโดยเฉพาะเรื่อง SLAPP หรือ “การฟ้องปิดปาก” เขาตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในประเทศที่คนธรรมดาถูกฟ้องร้องเพียงเพราะตั้งคำถามกับงบประมาณของรัฐ หรือเพียงแค่แชร์ความเห็นบนโซเชียล 

“ถ้าประชาชนพูดไม่ได้ แล้วจะเหลืออะไรไว้ปกป้องตัวเอง” 
“ความยุติธรรมไม่ควรเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจในการทำให้คนกลัว” 

“ผมเชื่อว่าถ้าประชาชนมีสิทธิพูด มีสิทธิเห็นต่าง สังคมจะไม่พัง เราจะช่วยกันดูสิ่งที่ถูกหรือผิดได้ โดยไม่ต้องกลัวโดนฟ้อง ถ้าผู้มีอำนาจไม่เห็นด้วย ก็แค่ตอบ ไม่ใช่เอากฎหมายมาฟาดให้เขากลัวและไม่กล้าทำ” 

ตัวอย่างหนึ่งที่เขายกมาคือกรณีของผู้แทนราษฎรที่ออกมาตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานประกันสังคม แล้วถูกฟ้องกลับด้วยข้อหาหมิ่นประมาท ออฟมองว่านี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าเสรีภาพในการพูดกำลังถูกจำกัดโดยอาวุธทางกฎหมาย 

“ผมไม่ได้ต้องการเรียกร้องอะไรยิ่งใหญ่หรอกครับ แค่คนธรรมดาเห็นต่างได้โดยไม่ต้องถูกฟ้องก็คงเพียงพอแล้ว” 

300 บาทต่อเดือน กับสิทธิในการยืนข้างความถูกต้อง 

ออฟเริ่มบริจาคให้แอมเนสตี้ในช่วงที่องค์กรเปิดรับผู้สนับสนุนรายเดือนขั้นต่ำ 500 บาท แต่เขาขอจ่ายแค่ 300 บาท เขาใช้ประโยคที่ว่า…“เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมพอจะไหวครับ” เขาเล่าอีกว่าไม่ใช่แค่บริจาคแล้วจบ เขายังติดตามการทำงานขององค์กรภาคประชาชนอื่นๆ อย่าง iLaw และเคยร่วมเป็นอาสาสมัครสังเกตการณ์การเลือกตั้ง และในห้องนอนของเขายังมีหนังสือ “Never Stop: คนและคดียังไปต่อ” วางอยู่ข้างเตียง เล่มที่รวบรวมคดีมากกว่า 200 คดีของคนธรรมดาที่ไม่ยอมหยุดเรียกร้องสิทธิเสรีภาพแม้จะต้องแลกด้วยคุก 

“ผมเชื่อว่าถ้าคนธรรมดาอย่างเรายังไม่ยอมจำนน โลกก็ยังมีหวังเรื่องสิทธิมนุษยชน” 

ความหวังที่ไม่ต้องการเวที 

ความฝันของออฟไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงประเทศในทันที ไม่ใช่การได้ไปปราศรัยกลางถนน หรือการลงสมัครรับเลือกตั้ง หากแต่เป็นเพียง “พื้นที่เล็กๆ ให้คนได้พูด โดยไม่กลัวว่าจะถูกฟ้องหรือถูกคุกคาม” เขาเชื่อว่าเพียงแค่ให้คนธรรมดาได้แสดงความเห็นอย่างไม่ต้องกลัว โลกก็จะค่อยๆ ขยับไปข้างหน้า 

“เราไม่ต้องทำอะไรยิ่งใหญ่ แค่ไม่ยอมจำนนก็พอ” 

แม้จะอยู่ในเครื่องแบบ แม้จะอยู่ในระบบที่ตีกรอบทุกการเคลื่อนไหว ออฟยังคงเลือกอยู่ข้างเสรีภาพในแบบที่เขาทำได้ และแม้จะเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งในลำปางที่บริจาคเงิน 300 บาทต่อเดือน แต่สำหรับโลกของสิทธิมนุษยชน เขาคือ “นักเคลื่อนไหวในเงา” ที่ส่งเสียงเบาๆ ด้วยความมั่นคงและมีเป้าหมาย และหากคุณกำลังอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วรู้สึกถึงความสั่นไหวบางอย่างในใจ ออฟอยากชวนคุณร่วมเป็นพลังเล็กๆ ที่ไม่ยอมจำนนเช่นกัน 

ร่วมเป็นพลังเงียบที่ยืนข้างความถูกต้อง บริจาคสนับสนุนภารกิจแอมเนสตี้ ประเทศไทย ผ่านบัญชี สมาคมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 047-2-42617-5 หรือบริจาคออนไลน์ได้ที่: https://bit.ly/4dUfvUK หรืออยากร่วมเป็นสมาชิกธรรมดากว่า 10 ล้านคนทั่วโลก ที่เชื่อในสิทธิมนุษยชน สมัครได้ที่: https://bit.ly/4kEJSkL 

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน