Amnesty International
‘ผศ.กานตชาติ เรืองรัตนอัมพร’ อาจารย์ประจำกลุ่มวิชาภาพยนตร์และภาพถ่าย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในกรรมการรางวัลสื่อมวลชนเพื่อสิทธิมนุษยชน (Media Awards 2024) ในกลุ่มภาพถ่ายหัวข้อ สิทธิมนุษยชน จัดโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เชื่อว่าภาพถ่ายไม่ใช่แค่การเก็บบันทึกเหตุการณ์ในอดีตเท่านั้น หากแต่เป็นการถ่ายทอดความจริงที่คลุกเคล้าไปด้วยความรู้สึกขณะลั่นชัตเตอร์ของผู้ถ่าย และเรื่องราวที่สลับซับซ้อนภายในเสี้ยววินาทีขณะนั้น สิ่งเหล่านี้คือพลังในการสื่อสารถึงความเป็นจริงในสังคมที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็นก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ใครอาจมองว่าไกลตัวอย่าง ‘สิทธิมนุษยชน’

กานตชาติรับหน้าที่คณะกรรมการตัดสินประกวดภาพถ่ายหัวข้อสิทธิมนุษยชน เพราะมีความเชี่ยวชาญในการตีความภาพถ่ายที่ใช้ศาสตร์และศิลป์ในการพิจารณาว่าภาพนั้นถ่ายด้วย ‘หัวใจ’ และมองลึกลงไปถึง ‘เนื้อหา’ ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญ ภาพถ่ายสำหรับกานตชาติ กรรมการ Media Awards เขาไม่ได้มองแค่องค์ประกอบโดยรวมของภาพถ่ายว่าถูกต้องสวยงามเพียงอย่างเดียว ดังนั้นภาพถ่ายทุกภาพที่ผ่านสายตาการตัดสินของเขา คนที่อยู่หลังกล้องถ่ายภาพจะต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์โดยที่ไม่ได้มองว่าบุคคลหรือแวดล้อมที่กดชัตเตอร์ลงไป เป็นเพียงแค่เพียงวัตถุที่จะถูกเก็บเข้ามาอยู่ในพอร์ตแสดงผลงานของตัวเองเท่านั้น
“การประกวดภาพถ่ายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องการเมืองเท่านั้น สิทธิมนุษยชนแฝงอยู่ในทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่สิทธิในการหายใจในอากาศบริสุทธิ์ สิทธิในการได้รับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สิทธิในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงสิทธิในการใช้ชีวิตในสังคมอย่างปลอดภัย”
ในฐานะคณะกรรมการ กานตชาติจึงอยากเห็นภาพถ่าย ‘สิทธิมนุษยชน’ ในมิติอื่นๆ นอกเหนือจากการเมืองหรือภาพของการประท้วงเพียงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างเดียว เขามองว่าภาพถ่ายเป็นสื่อที่สามารถบันทึกเวลา เป็นหลักฐานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ภาพถ่ายเกิดมาเพื่อสังคมโดยตัวของภาพเอง
“ภาพถ่ายคือคุณค่าของความเป็นสื่อที่เชื่อว่าสามารถบันทึกข้อเท็จจริงได้” กานตชาติเล่าถึงความสำคัญของภาพถ่ายว่าหมุดหมายของการลุกขึ้นมาจับกล้องตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของเขา เกิดมาเพื่อบันทึกเหตุการณ์ ณ ห้วงเวลานั้น เก็บลงกล่องแห่งความทรงจำ สำหรับเขา “ภาพถ่ายจึงเกิดมาเพื่อสังคมตั้งแต่แรก” ขณะที่ในปัจจุบันการถ่ายภาพทำได้ง่ายขึ้น เขามองว่าสิ่งนี้ทำให้ผู้คนเปลี่ยนมาบันทึกเรื่องสำคัญของแต่ละคนและแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทนการเขียนหรือจดไว้ในความทรงจำ ทำให้ภาพถ่ายจึงถูกส่งต่อได้ง่ายและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้ภาพถ่ายนั้นมีพลังแต่จะเป็นพลังบวกหรือพลังลบสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับคนถ่ายที่นอกจากใช้หัวใจทำงานในเรื่องเนื้อหาก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย
ดังนั้นจากคำกล่าว ‘ภาพหนึ่งภาพแทนความหมายได้หมื่นคำ’ (A Picture is Worth a Thousand Words) จึงเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงแต่อย่างใดสำหรับเขาในมุมมองของหนึ่งในกรรมการ Media Awards กลุ่มภาพถ่ายเพื่อสิทธิมนุษยชน
“ภาพถ่ายมีพลังแต่มันก็มีจุดอ่อนของคำว่าภาพหนึ่งภาพตีความหมายแทนหมื่นคํา เพราะจริงๆ แล้ว ตัวช่างภาพต้องเรียนรู้ที่จะแปลงหมื่นคําเป็นหนึ่งภาพก่อน ถ้ากระบวนการตรงนี้ไม่รอบคอบ ไม่ถี่ถ้วน ก็มีโอกาสเกิดการตีความเป็นอื่น เพราะจุดอ่อนธรรมชาติของภาพถ่าย ข้อหนึ่งก็คือเปิดช่องให้เกิดการตีความได้หลากหลาย แม้ภาพถ่ายจะเป็นสื่อสัญลักษณ์ได้ก็จริง แต่ทุกอย่างที่ปรากฏในภาพเป็นได้ทั้งตัวแทนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อาจไม่ใช่เหตุการณ์จริงทั้งหมด เราไม่สามารถที่จะเอาคนสองคนที่ตีกันหรือมีปัญหามาหยุดไว้ที่ภาพเดียวได้ในบางครั้ง”
ภาพถ่ายกับความเป็นมนุษย์: การถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองของสิทธิ
กานตชาติ มีมุมมองเกี่ยวกับภาพถ่ายอีกมุมที่น่าสนใจว่า “ภาพถ่ายแต่ละใบไม่ต่างจากงานศิลปะ” เพราะภาพแต่ละภาพสามารถถ่ายทอดแง่มุมใดออกมาก็ได้ตามแต่ใจปรารถนาของคนถ่าย แต่สิ่งที่เขายึดเป็นหลักปฏิบัติมาโดยตลอดคือ ภาพถ่ายที่ถูกถ่ายทอดออกมาไม่ว่าจะเป็นภาพข่าว สารคดี หรือภาพเล่าเรื่องในรูปแบบไหนก็ตาม ภาพเหล่านั้นต้องอยู่ในกรอบของจริยธรรม และไม่ละเมิดหรือล่วงล้ำสิทธิของใคร
เขายกตัวอย่างให้เห็นภาพ โดยพูดถึงเรื่อง ศิลปะการประท้วง (Protest Art) ว่าคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการที่คนธรรมดาในสังคมหรือเราอาจเรียกว่าคนตัวเล็กนั้นถูกริดลอนสิทธิและเสรีภาพ จึงทำให้พวกเขารวมพลังกันเพื่อเรียกร้องบางอย่างจากสังคมที่กดขี่ขูดรีด ผ่านการส่งเสียงเล็กๆ ให้ผู้มีอำนาจหรือเรียกอีกอย่างว่าชนชั้นปกครองเห็นถึงความทุกข์ต่อสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้ภาพถ่ายต้องแสดงถึงความรุนแรง ต้อง call for action หรือเชิญชวนให้เกิดแนวร่วมเพื่อเรียกร้องอะไรบางอย่างในสังคม
“แม้จะมีการเรียกร้องอะไรก็ตาม แต่ถ้าเป็นภาพข่าวเราต้องคิดถึงผลกระทบทางสังคม และประเมินว่ารูปนี้แรงไปหรือเปล่า ที่ผ่านมาเรามีหลักการปฏิบัติและกรอบจริยธรรมครอบไว้อยู่ แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีมุมมอง แนวความคิดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวิธีการเล่าเรื่อง เพราะภาพถ่ายบางทีมันเป็นปัจเจกไม่มีอะไรถูกอะไรผิด คุณจะเล่าแบบไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราต้องคุยกันอย่างจริงจัง คือความรับผิดชอบต่อคอนเทนต์”
‘ความรับผิดชอบ’ คือหนึ่งในเกณฑ์การตัดสินของกานตชาติ ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาภาพถ่ายส่งเข้าประกวดของแอมเนสตี้ ประเทศไทย ประจำปี 2567 จากทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่
1. ภาพถ่ายสามารถสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน
2. ภาพถ่ายสามารถสะท้อนมุมมองของผู้ถ่ายภาพในเชิงสร้างสรรค์
3. ภาพถ่ายมีคุณค่าและความงามในเชิงศิลปะ
หากพิจารณาจากหลักเกณฑ์ข้างต้นจะเห็นว่า การตัดสินภาพถ่ายในการประกวดสิทธิมนุษยชนนั้นไม่ได้ยึดถือเพียงความงามของภาพเท่านั้น แต่เน้นไปยังเนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องเป็นหลักด้วยว่า ภาพที่ต้องการสื่อสารออกมานั้นจะถ่ายทอดเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอเรื่องสิทธิมนุษยชนได้อย่างครบถ้วนหรือไม่ ฉะนั้นการส่งผลงานเข้าประกวดในปีนี้ กานตชาตินอกจากอยากเห็นภาพเล่าเรื่อง (Photo Story) ที่สวยงามและถ่ายทอดด้วยหัวใจของคนถ่ายแล้ว เขาอยากเห็นการบรรยายใต้ภาพที่เรียงร้อยได้อย่างลงลึกในการเล่าเรื่องผ่านภาพชุดด้วย
“ตอนที่ผมทําวิจัยมีพี่ช่างภาพคนหนึ่งเขาพูดไว้ว่า งานด้านนี้เราใช้ศิลปะได้หมดแต่ให้จําไว้ว่าศิลปะเป็นเหมือนพาหนะที่พาเราไปสู่คอนเทนต์ เขาเปรียบเทียบศิลปะการถ่ายภาพกับรถยนต์ คุณจะขับซูเปอร์คาร์ คุณจะขับรถบรรทุก คุณจะขับรถเก๋ง มันคือรถเหมือนกันหมด แต่รถนั้นสวย รถนั้นแข็งแรง รถนั้นคล่องตัวไหมไม่รู้ แต่มันพาผู้โดยสารไปถึงเป้าหมายหรือคอนเทนต์ได้หรือไม่ อันนี้คือสิ่งสําคัญ”
แรงบันดาลใจจากหลังเลนส์: เมื่อศิลปะและความเป็นมนุษย์หลอมรวมเป็นหนึ่ง
ภาพเล่าเรื่อง (Photo Story) คอนเทนต์สำคัญที่สุด นี่คือสิ่งที่กานตชาติย้ำมาโดยตลอด เพราะสำหรับเขาแม้ภาพบางภาพจะดูสวยงาม แต่ถ้าเนื้อหาการเล่าเรื่องหรือคอนเทนต์สื่อสารข้อเท็จจริงไปไม่ถึงคน หรือไม่ตรงประเด็นที่ต้องการสื่อ สำหรับเขาแม้ว่าภาพจะสวยแค่ไหนก็ไม่สามารถชนะใจกรรมการได้ และแน่นอนว่าในการประกวดภาพถ่ายครั้งนี้ของแอมเนสตี้ ประเทศไทย ไม่ได้มุ่งเน้นให้รางวัลแค่กับช่างภาพมืออาชีพหรือสื่อมวลชนเท่านั้น กรรมการทุกคนอยากเห็นคนทั่วไปรวมถึงเยาวชนที่สนใจประเด็นสิทธิมนุษยชน ลงสนามแข่งขันด้วยเช่นกัน และภาพถ่ายสิทธิมนุษยชนจะต้องมีการเล่าเรื่องที่ทรงพลังประกอบชุดภาพถ่ายด้วย
“เราเห็นรูปสวยเยอะแล้ว แต่สิ่งที่เราอยากเห็นคือคอนเทนต์ที่มันตอบโจทย์การประกวดคือเรื่องสิทธิมนุษยชน มันอาจจะเป็นการแสดงตัวอย่างที่ดีก็ได้ แสดงปัญหาก็ได้ อันนี้แล้วแต่ไม่ติด”
นอกจากนี้ภาพถ่ายสิทธิมนุษยชนสำหรับกานตชาติ ไม่ใช่แค่การจะตีแผ่แต่ความทุกข์ยากหรือปัญหาของมนุษย์แค่ด้านเดียว เขายืนยันว่าภาพถ่ายสามารถทำให้เห็นประกายแห่งความหวังหรือสื่อสารพลังงานที่ดีๆ ผ่านภาพถ่ายได้เช่นกัน
“เมื่อปีก่อน 2566 จำได้ว่ามีภาพจากโครงการจ้างวานข้าของมูลนิธิกระจกเงา ภาพของเขาทำให้ชีวิตคนๆ หนึ่งกลับมายืนอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี เรื่องโชคดี หรือการฟื้นฟูต่างๆ นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทําได้เหมือนกัน”
หากส่งภาพชุด (Photo Story) เข้าประกวด กานตชาติอยากให้ช่างภาพใช้เวลาจัดเรียงลำดับรูปก่อน-หลัง และขัดเกลาคำบรรยายใต้ภาพให้แหลมคมอีกสักหน่อยก่อนส่งผลงานเข้ามา เพื่อให้กรรมการได้เห็นถึงสิ่งที่ผู้เข้าประกวดต้องการสื่อได้อย่างลึกซึ้ง มากกว่าการใช้ตาเพ่งพินิจเนื้อหาผ่านรูปถ่ายเพียงอย่างเดียว โดยเขาย้ำว่าการลำดับรูปที่ดีและใส่รายละเอียดการเล่าเรื่องใต้ภาพให้ชัดเจน จะเป็นอีกจุดสำคัญที่ทำให้คนที่พบเห็นไม่ใช่แค่กรรมการเข้าใจในประเด็นได้ดีขึ้น “การเลือกรูปเหมือนกับการตัดต่อภาพยนตร์” กานตชาติเปรียบเทียบ
“เราต้องมีฉากเปิด ต้องมีจุดสุดยอดของภาพหรือ จุด climax คือง่ายๆ ต้องมีจุดคลี่คลายและต้องมีจุดจบ นี่คือโจทย์สำคัญที่คนถ่ายภาพต้องทำการบ้านโดยตอนจบของภาพและเนื้อหาที่เล่าเรื่องจะเป็นการเล่าเรื่องปลายเปิดหรือปลายปิดก็ได้ สมมติบางปัญหามันยังไม่ถูกแก้ไข แต่เปิดประเด็นแล้วคนดูจะรู้สึกยังไงอันนี้อยู่ที่เลนส์ของคนถ่ายและการเล่าเรื่อง”
“การจดจําเป็นเรื่องสําคัญของภาพถ่าย เราจะไม่ดูแล้วลืม เราจะดูแล้วจํา” กานตชาติย้ำเรื่องนี้เพราะฉะนั้นใครที่ทํางานด้านนี้ สำหรับเขามองว่าภาพเปิดและภาพปิดเป็นเรื่องสําคัญ และยิ่งถ้าเข้าใจในเรื่องของเนื้อหาและคอนเทนต์ ภาพถ่ายจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ฉะนั้นก่อนลงพื้นที่หรือระหว่างลงพื้นที่ นอกจากใช้กล้องถ่ายภาพแล้ว การทำความเข้าใจในบริบทพื้นที่ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน
“เคล็ดไม่ลับในการจัดเรียงภาพชุดสำหรับส่งประกวดในงาน Media Awards เพิ่มเติมอีกว่าเนื้อหาหรือคอนเทนต์จะเป็นตัวบอกว่าจะเล่าเรื่องยังไงและสามารถจัดเรียงในรูปแบบใดได้บ้าง ดังนั้นการทำการบ้านอย่างหนักก่อนถ่ายภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น”
ส่วนคำถามที่ว่าการเล่าเรื่องผ่านชุดภาพถ่าย แตกต่างจากภาพเดี่ยวอย่างไร กานตชาติให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า ภาพเล่าเรื่อง (Photo Story) เกิดขึ้นบนพื้นฐานง่ายๆ นั่นคือไม่สามารถเล่าเรื่องผ่านภาพถ่ายใบเดียวได้ ประจวบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปยิ่งทำให้คนต้องการเสพความหมายของภาพมากกว่ารูปหนึ่งใบ
“ในยุคที่การปริ้นติ้งหรือการมีสื่อสิ่งพิมพ์รูปแบบต่างๆ กลายเป็นเรื่องปกติ ภาพถ่ายเพียงใบเดียวอาจไม่พอที่จะสื่อสารได้อย่างครบถ้วน เพราะนอกจากบริบทและความหมายแล้ว การมองภาพถ่ายเพียงมุมเดียวหรือใบเดียว ก็อาจไม่เพียงพอในการสื่อสาร”
กานตชาติยังบอกอีกว่าการทำรูปภาพเล่าเรื่องให้ได้ภาพชุดที่มีพลังสำหรับเขา จะต้องมีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1. ภาพถ่ายจะต้องช่วยสร้างความมั่นใจและเพิ่มความเข้าใจของช่างภาพในการเล่าเรื่อง
2. ภาพถ่ายจะต้องทำให้เห็นมิติของเรื่องราวที่สะท้อนผ่านภาพถ่ายได้ชัดเจน
3. เนื้อหาจะต้องเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ภาพถ่ายอีกเท่าทวีคูณ
4. เนื้อหาจะต้องร้อยเรียงความจริง ไม่สามารถดัดแปลงหรือปลอมแปลงขึ้นมาได้
“ภาพชุดแทบจะเป็นมาตรฐานใหม่ไปแล้ว เพราะว่าตอนนี้คนไม่ต้องการเห็นรูปเดียว และการเห็นรูปมากกว่าหนึ่งรูปสามารถเล่าได้มากกว่า ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและมีพลังได้มากกว่า จะทำให้ตรวจสอบได้ง่ายกว่าและยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า”
จากจิตวิญญาณสู่โมเดลธุรกิจ: การสร้างเส้นทางยั่งยืนในอุตสาหกรรมภาพถ่าย

นอกจากมุมมองเรื่องภาพถ่ายส่งเข้าประกวดแล้ว เขายังให้คำแนะนำกับคนที่ต้องการอยู่ในอุตสาหกรรมภาพถ่ายได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย เพราะปัจจุบันอาชีพช่างภาพมีความหลากหลายกว่าที่คิด และคนที่หันมาถ่ายภาพในทุกวันนี้ก็ได้แทรกตัวอยู่ในทุกเหตุการณ์ สิ่งเหล่านี้นอกจากตอกย้ำการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในวงการภาพถ่าย ยังสะท้อนให้เห็นความสำคัญของชีวิตมนุษย์ที่สามารถสื่อสารผ่านภาพถ่ายมาได้อย่างยาวนาน
“อุตสาหกรรมภาพถ่ายที่ต้องวิเคราะห์หรือเลือกจุดยืนให้อยู่ได้ในระยะยาว” กานตชาติบอกว่าปัจจุบันจะเห็นช่างภาพถ่ายภาพงานแต่ง ช่างภาพรับปริญญา ช่างภาพข่าว ช่างภาพองค์กร ช่างภาพประจำกองประกวดต่างๆ หรือแม้แต่ช่างภาพงานศพ จากที่พูดมาจะเห็นว่ามีความหลากหลายมากขึ้น แต่ละคนมีลายเซนต์ของตัวเอง ซึ่งนี่สื่อให้เห็นว่าการถ่ายภาพคืออาชีพที่จะถ่ายทอดทั้งความสุขและเศร้าออกมาในรูปแบบภาพนิ่งได้หลากหลายไม่ได้มีแค่เพียงหนึ่งภาพเท่านั้น และยิ่งเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลจนทำทุกคนสามารถถ่ายภาพได้อย่างทั่วถึง สำหรับเขาวงการถ่ายภาพย่อมมีการแข่งขันสูงลิ่วตามมา จึงเป็นข้อท้าทายสำหรับช่างภาพในทุกวันนี้
“ทุกวันนี้ การเป็นช่างภาพไม่ใช่แค่มีใจรักอย่างเดียวแล้วจบ เราต้องมีการวางแผนอย่างดี ต้องทำการบ้าน ต้องเข้าใจอุตสาหกรรมภาพถ่ายว่ามีแหล่งทุนอยู่ที่ไหนและเรายืนอยู่ในจุดไหนของวงการ รวมถึงต้องรู้ว่าผู้ที่สนับสนุนทุนให้ความสนใจอะไรบ้าง และตีโจทย์ให้แตก สรุปง่ายๆ คือเราต้องคิดว่าการถ่ายภาพก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องมีการวางแผนการตลาด เพราะในยุคนี้ ภาพข่าวหรือภาพใดๆ ก็ตามที่มีการแข่งขันสูง เราต้องมองว่ามันเป็นธุรกิจและหาวิธีจัดการแหล่งทุนให้ได้”
กานตชาติ มองว่าช่างภาพแต่ละคนมีแนวทางในการสร้างโมเดลธุรกิจ (Business Model) ที่แตกต่างกัน เขายกตัวอย่างชีวิตของเขาเองว่า ในปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ประจำ โดยการถ่ายภาพเป็นงานเสริม เพราะเขามีรายได้หลักจากการเป็นอาจารย์ ซึ่งสำหรับเขา นี่คืออีกหนึ่งโมเดลธุรกิจ อีกโมเดลที่เขากล่าวถึงคือการที่สื่อบางรายเริ่มหันไปหารายได้จากช่องทางอื่นเพื่อนำมาสนับสนุนการทำสื่อของตนเอง ซึ่งโมเดลนี้มีข้อดีในแง่ที่ว่าสามารถหลีกเลี่ยงการ “ปนเปื้อน” หรือการถูกแทรกแซงและควบคุมจากแหล่งทุนได้
“การถ่ายภาพสำหรับบางคนคือการหาทางทำงานที่หาเงินควบคู่ไปกับการทำงานตามอุดมการณ์และจิตวิญญาณ ทํายังไงให้มันไปด้วยกันได้ ผมว่าไม่ว่าโมเดลไหน ถ้าคุณทําแล้วมีความสุข คุณอยู่ได้ และไม่เดือดร้อนใคร อันนี้คือทำได้เลย”
สิ่งที่เล่ามาข้างต้นจะเห็นว่าคำว่าช่างภาพสำหรับเขา จึงไม่ใช่แค่คนอยู่หลังกล้องแล้วกดชัตเตอร์เพียงอย่างเดียว แต่ช่างภาพคือคนที่ต้องหาโมลเดลธุรกิจของตัวเองให้เจอ ต้องรู้จังหวะ เข้าใจความเป็นมนุษย์ และให้ความสำคัญกับสิทธิของคนเหล่านั้นด้วย
“การทำงานด้านนี้ สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือ เรามักจะไปถ่ายคนที่ตกทุกข์ได้ยากหรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่าเรา ถ้าคุณไปถ่ายโดยไม่เข้าใจเลย มันอาจเกิดภาวะที่เรียกว่า ‘exotic subject’ หรือ ‘human zoo’ คือการมองคนเป็นวัตถุ หรือที่เรียกว่า ‘seeing object’ ซึ่งผมว่ามันผิดทิศผิดทางไปมาก”
ภาพถ่ายที่มากกว่าการบันทึก: เลนส์ที่ถ่ายทอดความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ
กานตชาติ ย้ำว่าช่างภาพควรจำไว้เสมอว่า บางวันที่ออกไปถ่ายภาพแล้วอาจไม่ได้รูปที่ต้องการ ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีวันข้างหน้าที่จะกลับไปถ่ายได้อีก โดยเฉพาะหากไม่ใช่ข่าวสถานการณ์เร่งด่วน แต่เป็นงานภาพถ่ายเชิงคุณภาพหรือสารคดี เขาแนะนำว่าอยากให้ช่างภาพคิดถึงการถ่ายภาพเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และสื่อสารประเด็นที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ความเป็นมนุษย์ ความเข้าใจผู้อื่น และความเห็นอกเห็นใจ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าทักษะในการถ่ายภาพเก่งและสวยเพียงอย่างเดียว
ท้ายที่สุดแล้วงาน Media Award การได้มาซึ่งภาพแต่ละใบจะต้องเริ่มจากการเข้าใจแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ เมื่อช่างภาพมีความเข้าใจและเห็นใจต่อผู้คน ภาพถ่ายจะไม่ใช่แค่การบันทึกเหตุการณ์ แตจะทำหน้าที่เป็นหน้าต่างเปิดเผยความรู้สึกสะท้อนชีวิตในมุมที่ลึกซึ้งและงดงามกว่าตาเห็น
หากคุณเป็นผู้ที่หลงใหลในศิลปะการถ่ายภาพและต้องการส่งผ่านความรู้สึกและอุดมการณ์ที่มีต่อสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ขอเชิญชวนให้คุณเข้าร่วมการประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ “สิทธิมนุษยชน” เปิดโอกาสให้ภาพของคุณได้กลายเป็นสื่อกลางในการเล่าเรื่องราวที่ทรงพลัง สร้างความตระหนักรู้ และจุดประกายความเข้าใจในประเด็นสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) ซึ่งได้รับการประกาศใช้โดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 ถือเป็นหลักการที่สำคัญในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ แม้ว่าโลกของเรายังเผชิญกับความรุนแรงและความอยุติธรรมในทุกวัน แอมเนสตี้ยังคงยืนหยัดทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในการสร้างสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรม
ภาพถ่ายของคุณอาจเป็นดั่งแสงสว่างที่ส่องไปยังประเด็นที่ถูกละเลย อาจเป็นพลังที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนมากมาย หากคุณเป็นช่างภาพมืออาชีพหรือผู้ที่รักในการถ่ายภาพ โอกาสนี้คือพื้นที่ให้คุณได้สื่อสารความรู้สึกและอุดมการณ์ของคุณอย่างอิสระผ่านมุมมองเลนส์กล้อง
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนความเป็นมนุษย์และส่งเสริมความเข้าใจในสิทธิมนุษยชนให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) และร่วมส่งภาพถ่ายของคุณเข้าประกวดได้ที่: https://www.amnesty.or.th/our-work/hre/udhr/
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ชวนช่างภาพทุกคนมาร่วมขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนผ่านภาพถ่าย เพราะเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน