กลางแสงเทียนสว่างไสวในค่ำคืนที่สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ภายในงานมีทั้งเสียงหัวเราะ คำสนทนา และเสียงปรบมือที่ดังก้อง ผู้คนจากหลากหลายวงการต่างเดินทางมารวมตัวกันในงาน “Spark of Freedom Charity Dinner” ซึ่งจัดขึ้นโดย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เพื่อระดมทุนและสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและทั่วโลก

ตลอดงานมีทั้งนักการเมือง ภาคธุรกิจ นักกิจกรรม นักวิชาการ นักกิจกรรม และเยาวชน ที่สนใจและมีพลังขับเคลื่อนงานเรื่องสิทธิมนุษยชน ทุกคนมาที่นี่ด้วยหัวใจเดียวกันคือการเห็นโลกที่ยุติธรรมและเท่าเทียม ที่ทุกคนไม่ว่าเพศใดหรือเชื้อชาติใดมีสิทธิและเสรีภาพที่เท่ากันได้ในวันใดวันหนึ่ง หรือเพียงแค่ไม่ถูกละเมิดสิทธิและชีวิตได้รับการดูแลตามสิทธิขั้นพื้นฐานระดับสากล
เสียงของผู้ถูกปิดปาก แต่ไม่เคยเงียบไปจากใจ
“ในค่ำคืนที่เราอยู่กันอย่างอบอุ่นนี้ ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเพื่อนๆ หลายคนที่ยังคงถูกคุมขังเพียงเพราะพวกเขาใช้สิทธิในการแสดงออก” เสียงจากปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่กล่าวเปิดงานนี้ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีทั้งพลังและความลึกซึ้งในความหมายของคำพูด ภายใต้บรรยากาศอันอบอุ่นและเป็นกันเอง เธอนึกถึงนักเคลื่อนไหวหลายคนที่สูญเสียอิสรภาพเพียงเพราะกล้าพูด กล้าแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาเชื่อมั่นว่าไม่ควรมีใครถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ตามหลักสากล

ปิยนุช ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทย เล่าถึงนักกิจกรรมที่ถูกดำเนินคดีจนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เธอเปรียบคนเหล่านี้ว่าเป็นเพื่อนๆ ของเธอ เพื่อนที่ถูกจับกุมขณะใช้สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพื่อนที่ถูกคุมขังทั้งที่ใช้สิทธิที่คนทุกคนควรได้รับ โดยเธอมองว่าการใช้สิทธิเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแลกมาด้วยการต่อสู้และการที่ทุกคนถูกดำเนินคดีและถูกจับกุมคุมขัง “เราไม่ลืมพวกเขา และเราจะไม่หยุดพูดเพื่อพวกเขา” เธอกล่าวท่ามกลางความเงียบสงัดภายในงาน ผู้ฟังทุกคนต่างซึมซับความหมายของคำพูดที่แสดงถึงความเชื่อมั่นและการยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม และเรื่องสิทธิมนุษยชนคงเป็นเรื่องที่ทุกคนตระหนักว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวได้ในวันใดวันหนึ่ง
คนธรรมดาที่สร้างจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่ขบวนการระดับโลก
ปิยนุชเล่าถึงจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล โดยเธอนำเรื่องราวมาจากบทความชื่อ “The Forgotten Prisoners” หรือ “นักโทษที่ถูกลืม” ของปีเตอร์ เบเนนสัน ทนายความชาวอังกฤษในปี 1961 ซึ่งเป็นบทความที่สะท้อนถึงความอยุติธรรมที่ผู้คนในหลายประเทศต้องเผชิญจากการถูกจับกุมและคุมขังโดยไร้เหตุผล เพียงเพราะพวกเขากล้าแสดงออกถึงความเชื่อ ความศรัทธา และความคิดเห็นของตัวเอง
“แอมเนสตี้จากกลุ่มเล็กๆ ที่เริ่มต้นด้วยการเขียนจดหมายเรียกร้องความยุติธรรม จนวันนี้กลายเป็นขบวนการระดับโลกที่มีผู้สนับสนุนกว่า 10 ล้านคน”
ระหว่างอยู่บนเวทีเธอกล่าวถึงความเติบโตขององค์กรที่มุ่งมั่นในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยไม่ยึดติดกับการเมือง บริษัทเอกชน นายทุน ศาสนา หรือความเชื่อใดๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเสียงของผู้คนที่ถูกละเมิดสิทธิจะไม่ถูกปิดเงียบ ที่ผ่านมาปิยนุชย้ำว่าการมีอยู่ของแอมเนสตี้แม้จะเต็มไปด้วยการเคลื่อนไหวเรียกร้อง จนทำให้ระหว่างทางมีความท้าทายและถูกคุกคามจากอำนาจอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำก็ยังดำเนินต่อไปได้ แอมเนสตี้ยังยืนหยัดมานานกว่า 60 ปี ที่ตอนนี้มีมากถึง 150 ประเทศทั่วโลกและดินแดน “ลวดหนามและกำแพงแห่งอคติไม่สามารถหยุดพวกเราได้” ปิยนุชย้ำถึงความมุ่งมั่นของแอมเนสตี้ในการต่อสู้เพื่อผู้คนที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ผู้คนที่เสียงของเขาไม่ดังพอหรือไม่มีเสียงในสังคม หากไม่มีแอมเนสตี้หรือองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนสังคมที่ทำเรื่องเหล่านี้
เส้นทางการต่อสู้ที่ยังไม่สิ้นสุดของแอมเนสตี้ ประเทศไทย
แม้จะต่อสู้มายาวนานหรือบางประเด็นยังไม่เป็นที่เข้าใจในสังคม แต่การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ ปิยนุชเล่าย้อนถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่คนรุ่นใหม่หลายคนต้องสูญเสียชีวิตหรือหลบหนีเข้าไปอยู่ในป่า เพียงเพราะพวกเขาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกทางการเมือง เหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้เธอพูดถึงการรณรงค์ระดับนานาชาติของแอมเนสตี้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับพวกเขา และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้แอมเนสตี้ยืนหยัดอยู่ในไทยถึงทุกวันนี้ “จากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สู่การชุมนุมปี 2563 เราไม่เคยลืมและไม่เคยหยุดหวัง”

ปิยนุช ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทย ยังพูดถึงการชุมนุมใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่พบว่าคนรุ่นใหม่ นักกิจกรรมเยาวชนเริ่มกล้าออกมาเคลื่อนไหวใช้สิทธิในการตั้งคำถามถึงการเสรีภาพและสิทธิของพวกเขาในการแสดงออก แม้ว่าทุกวันนี้ความท้าทายและการคุกคามจะยังคงอยู่ มีนักกิจกรรมถูกดำเนินคดี หลายคนถูกติดตาม คุกคาม หรือบางคนถอยหลังไปทำงานด้านอื่นแต่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชน แม้จะไม่มีเหตุการณ์ชัดเหมือนปี 2563 แต่เสียงของพวกเขาก็ยังคงดังก้องไปทั่วทั้งประเทศและโลก
การรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนที่ไม่มีวันหยุด

หนึ่งในแคมเปญสำคัญที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ได้ทำในประเทศไทยคือการรณรงค์ผ่านแคมเปญ “FREE RATSADON” เขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำ โดยมีจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมในการประท้วงปี 2563 ปัจจุบันแคมเปญนี้มีเว็บไซต์ที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงและเข้าใช้ได้ง่าย โดยเว็บไซต์นี้มีชื่อว่า freeratsadon.amnesty.or.th. ภายในไม่กี่วันหลังจากเปิดตัวเว็บไซต์ พบว่ามีผู้คนเขียนจดหมายส่งถึงเพื่อนในเรือนจำกว่า 5,000 ฉบับ โดยปิยนุชย้ำว่าการรณรงค์ของแอมเนสตี้เป็นเสียงที่รัฐไม่สามารถปิดกั้นได้
เธอยังเล่าถึงการทำงานร่วมกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกในการปกป้องสิทธิในการชุมนุมและการแสดงออก ประเทศไทยมีอีกแคมเปญหลักคือ Protect the Protest ปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วง ที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก การรณรงค์นี้เป็นการต่อสู้เพื่อให้สิทธิของผู้ชุมนุมยังคงดำเนินไปพร้อมกับการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับสากล
จุดเทียนเปล่งแสงแห่งความหวังในคืนที่มืดหม่น
ช่วงท้ายของงาน “Spark of Freedom Charity Dinner” ปิยนุชได้ชวนให้ผู้เข้าร่วมงานทุกคน ลุกขึ้นชูเทียนในมือ การใช้เทียนในงานครั้งนี้เพราะสำหรับแอมเนสตี้ เทียนเป็นสัญลักษณ์ของการส่งแสงแห่งความหวังไปทั่วโลก และเธอได้นำคำพูดของปีเตอร์ เบเนนสัน ผู้ก่อตั้งแอมเนสตี้ ที่ยังคงดังกึกก้องมาเป็นแรงบันดาลใจในค่ำคืนนี้เพื่อให้ผู้ร่วมงานทุกคนได้รู้ความหมายและเข้าใจแอมเนสตี้มากขึ้น
“แสงของเปลวเทียนนี้ไม่ได้ส่องเพื่อเรา แต่มันส่องเพื่อคนที่เรายังช่วยออกมาจากความมืดมิดไม่ได้” ปีเตอร์ เบเนนสัน ผู้ก่อตั้งแอมเนสตี้
งาน Spark of Freedom Charity Dinner ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการระดมทุนบริจาคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรวมพลังเพื่อความยุติธรรมและเสรีภาพ โดยแอมเนสตี้หวังว่าแสงเทียนที่ทุกคนชูขึ้นมาจะไม่ได้เป็นแค่แสงสว่างทางกายภาพที่ทำให้สถานที่มืดสว่างขึ้นเท่านั้น แต่คือแสงสว่างที่ส่องผ่านกำแพงแห่งความกลัวและการคุกคามของนักกิจกรรมและผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกคน
“ไม่ว่าความมืดจะครอบงำเรานานแค่ไหน แต่ตราบใดที่เรายังคงจุดเทียนแห่งเสรีภาพร่วมกัน ความมืดนั้นจะถูกลบเลือนไป” ปิยนุช ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ ประเทศไทย กล่าว

สุดท้ายค่ำคืน Spark of Freedom Charity Dinner นอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จและความพยายามในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของแอมเนสตี้ ยังเป็นการส่งสารถึงผู้ที่ถูกกดขี่ ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนว่า เสียงของพวกเขาไม่เคยถูกลืม แสงเทียนแห่งความหวังที่ส่องผ่านความมืดของแอมเนสตี้ ประเทศไทย คือการยืนหยัดร่วมกันเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่า โลกที่เต็มไปด้วยความยุติธรรม เสรีภาพ และความเท่าเทียมสำหรับทุกคน เพื่อมาทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน
มาร่วมสร้างคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกันแอมเนสตี้ ที่ผ่านมาเราปฏิเสธเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐ องค์กรทางการเมือง หรือบริษัทเอกชน เพื่อรักษาความเป็นกลางในการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนและยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมอย่างแท้จริง ทุกการสนับสนุนของคุณคือพลังในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของทุกชีวิตทั่วโลกที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน ผ่านบัญชีธนาคารได้ที่ สมาคมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี: 047-2-42617-5 หรือบริจาคออนไลน์ที่ https://bit.ly/3BhErXc มาทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน