ในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมของทุกปี ผู้คนหลายแสนคนทั่วโลกร่วมกันเขียนจดหมายมากมายเพื่อผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จดหมายหลายฉบับถูกส่งถึงผู้ถูกละเมิดสิทธิโดยตรง ขณะที่จดหมายอีกจำนวนมากก็ถูกส่งไปยังรัฐบาลของประเทศที่เกี่ยวข้องนั้นๆ
ในปี 2562 ผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ ทั่วโลกได้ทำให้สถิติใหม่ให้กับกิจกรรม “Write for Rights” สูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ โดยมีผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนร่วมกันส่งข้อความไม่ว่าจะเป็นจดหมาย อีเมล ทวีต และผ่านช่องทางอื่นๆ อีกมากมาย สูงถึง 6,609,837 ข้อความโดยในแต่ละปีมีผู้สนับสนุนจาก ทั่วโลกร่วมกันส่งจดหมายเพื่อกดดัน รัฐบาลประเทศต่างๆ ให้ยุติการละเมิด สิทธิมนุษยชนและนำความยุติธรรมมาสู่ผู้ได้รับผลกระทบ และการเขียนจดหมายหรือข้อความเพื่อส่งไปให้กำลังใจผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและครอบครัวโดยตรง เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่าไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง ซึ่งกิจกรรมนี้จัดต่อเนื่องมานานกว่า 18 ปีแล้ว
เสียงของคุณช่วยพวกเขาได้อย่างไร?
ลำพังเสียงของคุณคนเดียวอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ไม่มากนัก แต่ Write for Rights พิสูจน์แล้วว่าเมื่อเสียงของคนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมกัน รัฐบาล ประเทศต่างๆ จะไม่สามารถเพิกเฉยต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อีกต่อไป ส่วนผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิเองก็จะมีความหวังในการต่อสู้มาก ขึ้นจนได้รับความยุติธรรมในที่สุด ข้อความต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ ประเทศไทยมีส่วนในการรณรงค์ช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“ขอบคุณผู้บรรดาผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ทุกคน การรณรงค์ของพวกคุณประสบความสำเร็จจนทำให้ฉันได้รับการปล่อยตัวเรามาถึงจุดนี้ได้ เมื่อทุกคนร่วมมือกัน”
ได้รับการปล่อยตัวปลายปี 2556 เธอถูกจับกุมหลังเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านการบังคับไล่รื้อชุมชนแล้วถูกยัดข้อหาเท็จ ถึงแม้ข้อหานั้นจะยังคงอยู่แต่ตอนนี้เธอได้รับการปล่อยตัว้กลับบ้าน

“จดหมายจากคุณทำให้ผมและภรรยาเข้มแข็งขึ้น ทำให้เรารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เราไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากเรียกร้องความยุติธรรมให้เรา”
ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2559 หลังติดคุกนานกว่า 4 ปี จากการถูกตำรวจทรมานให้รับสารภาพในคดีฆาตกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ หลังถูกกดดันจากทั่วโลก ทางการฟิลิปปินส์สืบสวนคดีอีกครั้ง สุดท้ายตำรวจที่ทรมานเขาถูกตัดสินจำคุก

“เมื่อฉันได้รับจดหมายมีข้อความว่า ‘ฉันไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง’ มันทำให้ฉันรู้สึกดีมากๆ น่าตื่นเต้นที่รู้ว่ามีคนสนใจในสิทธิของคนอื่นอยู่ แม้พวกเขาจะไม่ได้รู้จักฉันเลยด้วยซ้ำ”
ได้รับการยกฟ้องและปล่อยตัวเมื่อปี 2559 หลังถูกตำรวจนอกเครื่องแบบลักพาตัว ทรมานและข่มขืนรวมกว่า 15 ชั่วโมง เพื่อบังคับให้เธอสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมสามี

“จดหมายของพวกคุณไม่ใช่เพียงแค่จดหมาย แต่เป็นของขวัญและพลังใจอันยิ่งใหญ่สำหรับทั้งนักศึกษาและอนาคตของเมียนมา…ฉันเริ่มตระหนักแล้วว่า โลกกำลังเฝ้ามองและให้กำลังใจพวกเรา นั่นทำให้พวกเราไม่ได้โดดเดี่ยว”
ได้รับการยกฟ้องและปล่อยตัวเมื่อปี 2559 หลังถูกจับพร้อมเพื่อนนักศึกษาอีกกว่า 100 คน จากการออกมาประท้วงต่อต้านพ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ที่มีเนื้อหากดขี่เสรีภาพทางวิชาการ

“ฉันอยากจะมีเวลาที่จะขอบคุณแต่ละคนที่ส่งข้อความถึงฉัน จดหมายและโปสการ์ดแต่ละฉบับทำให้ฉันมีความสุข”
ได้รับอิสรภาพเมื่อปี 2560 หลังติดคุกมานานเจ็ดปีจากโทษทั้งหมด 35 ปีในข้อหาเปิดเผยความลับทางราชการหนึ่งในนั้นคือวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่ทหารสหรัฐฯกำลังกราดยิงพลเรือนที่ไม่มีอาวุธในตะวันออกกลาง

“การสนับสนุนของผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกคือพลังอันยิ่งใหญ่่มากสำหรับผู้หญิงอย่างฉัน ทุกๆ ลายเซ็นจากการเรียกร้องให้ปล่อยตัวฉัน ทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว มันไม่ใช่แค่ฝันแต่มันเป็นความจริง”
ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2561 หลังถูกศาลสั่งจำคุก 30 ปี ในข้อหาทำแท้งผิดกฎหมาย ทั้งที่จริงแล้วเธอแค่มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงและเลือดออกแค่นั้น โดยมีผู้คนมากมายจากทั่วโลกร่วมลงชื่อเพื่อเรียกร้องและขอให้ปล่อยตัวเธอ

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในการรณรงค์ Write for Rights และเป็นเกียรติที่ได้รู้จักคนอย่างพวกคุณ คนที่ไม่เห็นด้วยกับความอยุติธรรมจากผู้มีอำนาจ คุณได้นำความสุขมาสู่ใจของผม ขอบคุณครับ”
ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2561 หลังถูกจำคุกนานกว่า 18 เดือน ในข้อหาทำลายความมั่นคงและแบ่งแยกดินแดน เดิมศาลตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจากการที่เขาโพสต์วิดีโอวิจารณ์รัฐบาลช่วงปลายปี 2559 เกี่ยวกับการบริหารงบประมาณที่ผิดพลาดและอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ

“ฉันอยากขอขอบคุณทุกท่านในนามของกลุ่มอีสตันบูล 10 สำหรับความพยายามในการเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเรา ฉันรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งจากใจจริง ถ้าหากไม่ใช่เพราะความพยายามของพวกคุณ พวกเราก็คงไม่ได้มายืนอยู่ในวันนี้”
ได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2561 หลังถูกคุมขังนาน 6 เดือนพร้อมกับนักกิจกรรมอีก 9 คน ที่รู้จักกันในนาม “อีสตันบูล 10” โดยไม่มีการระบุข้อหา และไม่มีการระบุสาเหตุที่ชัดเจนว่าทำไมพวกเขาถึงถูกจับ ซึ่งได้มีผู้คนมากมายทำการเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขา

“ผมเป็นนักวาดการ์ตูน ผมจึงวาดการ์ตูน แต่หากคุณสามารถเขียน พูดในที่สาธารณะ วาดภาพ ร้องเพลง คุณก็แสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรีเช่นกัน เราแค่ต้องพยายามทำสิ่งที่เราทำได้ต่อไป”
ปี 2561 ทางการมาเลเซียได้ยกเลิกข้อกล่าวหา “ซูนาร์” นักวาดการ์ตูนชื่อดังในทุกกรณี จากการที่เขาทวีตวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล โดยทางการตั้งข้อหาโดยใช้ “กฎหมายการยุยงปลุกปั่น” (the Sedition Act of 1948) ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นกฎหมายที่ถูกใช้เพื่อจำกัดเสรีภาพการแสดงออกบนโลกออนไลน์

“ผมขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ทำให้ผม ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีคนแบบพวกคุณอยู่บนโลกนี้ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีพวกคุณเป็นเสมือนเพื่อนของผม”
ได้รับการปล่อยตัวเมื่อ 2562 หลังถูกจำคุกนานกว่า 5 ปีครึ่งด้วยข้อหาที่ถูกกุขึ้น เขาถูกจับในขณะกำลังทำข่าวการประท้วงเมื่อกองกำลังอียิปต์บุกเข้ามาสังหารผู้ชุมนุมราว 800 ถึง 1,000 คนอย่างเลือดเย็น ที่เรียกว่า “การสังหารหมู่ที่ราบา”

“ผมมีความสุขมากที่ได้สิทธิความเป็นพลเมืองในวันนี้ ผมรู้สึกปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครในโลกที่จะติดตามตัวผมอย่างที่บาห์เรนทำได้อีกแล้ว ตอนนี้ผมคือชาวออสเตรเลีย และอยู่ในประเทศที่ปลอดภัย”
ได้รับการปล่อยตัวหลังถูกทางการไทยควบคุมตัวนานกว่า 2 เดือนตาม “หมายแดง” ของตำรวจสากล ที่รัฐบาลบาร์เรนร้องขอในคดีทำลายทรัพย์สินสถานีตำรวจช่วงอาหรับสปริง เมื่อได้รับการปล่อยตัวเขาเดินทางถึงออสเตรเลียในวันถัดมา หลังจากนั้นหนึ่งเดือนเขาก็ได้รับสัญชาติออสเตรเลีย

“เมื่อสิบปีก่อนฉันไม่มีความฝันเลย และตอนนี้ฉันก็ได้สูญเสียเป้าหมายไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ฉันอยากให้ชาวคีร์กิซสถานทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว ได้ใช้ชีวิตที่มีสีสันและได้ฝันถึงอนาคตของตัวเอง”
เมื่อปี 2561 ผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ได้ร่วมส่งกันเรียกร้องไปยังรัฐบาลคีร์กีซสถาน ในปี 2562 รัฐสภาได้ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติ และสนับสนุนการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การเข้าถึงอาคาร การมีงานทำ และการเดินทางแล้ว
–หลิวเซีย กวีและศิลปินชาวจีน
เมื่อปี 2561 ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันแล้ว หลังถูกควบคุมตัวที่บ้านอย่างผิดกฎหมาย ตั้งแต่หลิวเสี่ยวโปสามีผู้ล่วงลับของเธอได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี 2553 เธอถูกจับตามองโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคง และติดต่อกับโลกภายนอกได้เฉพาะกับเพื่อนสนิททางโทรศัพท์เท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขที่ควบคุมเข้มงวด