ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

เอเลนอร์ รูสเวลต์ (Eleanor Roosevelt) หนึ่งในผู้ร่วมร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 (ค.ศ. 1948) หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติซึ่งประกอบด้วยประเทศสมาชิกต่างๆ ได้ลงมติรับรองและประกาศใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อเป็นหลักการสำคัญในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาคมโลก ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฉบับนี้มีวัตถุประสงค์และหลักการทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ถึงแม้จะไม่ใช่สนธิสัญญาระหว่างประเทศและไม่มีพันธะผูกพันในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็จัดเป็นกฎหมายจารีตระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญที่สุด ซึ่งประเทศต่างๆ จำต้องเคารพหลักการสิทธิมนุษยชนที่ได้ตราไว้ในปฏิญญาฯ ฉบับนี้ อีกทั้งปฏิญญาฯ ฉบับนี้ยังเป็นพื้นฐานของสนธิสัญญาระหว่างประเทศหรือกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ อีกหลายฉบับ รวมถึง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights – ICESCR)

สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

ปฏิญญาฯ ฉบับนี้คืออะไร?

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) คือเอกสารที่ทั่วโลกตกลงใช้ร่วมกันเป็นแนวทางไปสู่เสรีภาพและความเท่าเทียม โดยการปกป้องสิทธิมนุษยชนของทุกคนในทุกแห่งหน นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่นานาประเทศเห็นพ้องต้องกันว่าสิทธิและเสรีภาพเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการปกป้องเพื่อให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างเสรี เท่าเทียมและมีศักดิ์ศรี

ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ได้เริ่มการร่างกันมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1946 โดยในตอนแรกอาศัยคณะกรรมการที่มาจากประเทศมากมาย รวมถึงสหรัฐอเมริกา เลบานอนและจีน ต่อมาคณะร่างปฏิญญาฯ ก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นโดยรวมผู้แทนจากออสเตรเลีย ชิลี ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียตและสหราชอาณาจักร เพื่อให้เอกสารฉบับนี้ได้มาจากการมีส่วนร่วมจากผู้คนในทุกมุมโลก รวมไปถึงความหลากหลายของวัฒนธรรม ศาสนาและการเมือง ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ถูกหารือโดยสมาชิกทั้งหมดของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และในที่สุดก็ได้รับการรับรองโดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 เพื่อตอบสนองต่อ “การกระทำอันป่าเถื่อน […] ที่สร้างความสะเทือนขวัญต่อมโนธรรมของมนุษยชาติ” ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การรับรองครั้งนั้นได้สร้างความตระหนักว่าสิทธิมนุษยชนคือรากฐานของเสรีภาพ ความยุติธรรม และสันติภาพ

ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ได้อธิบายสิทธิ เสรีภาพและรับรองสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมนุษย์ทุกคนพึงมีและไม่มีใครสามารถพรากมันไปจากเจ้าของได้ สิทธิเหล่านี้ได้เป็นรากฐานสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนจวบจนปัจจุบัน ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ยังคงบังคับใช้อยู่และเป็นเอกสารที่ได้รับการแปลมากที่สุดในโลก

อนาคตของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

มรดกของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้ท้าทายให้เราก้าวไปข้างหน้าในเชิงรุกมากขึ้น ปฏิญญาฯ ฉบับนี้เรียกร้องให้เราต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นทั้งในระดับโลก ระดับระหว่างประเทศและระดับท้องถิ่น แต่นั่นยังไม่เพียงพอ เพราะปฏิญญาฯ ฉบับนี้ยังขอให้เราร่วมกันสกัดกั้นการสร้างระเบียบโลกที่ก่อให้เกิดอภิสิทธิ์และความอยุติธรรมจากอดีตกลา การละเมิดสิทธิและการปิดกั้นเสียงของนักปกป้องสิทธิ อีกทั้งยังเรียกร้องให้เราปฏิรูประบบธรรมาภิบาลโลก ด้วยการจินตนาการใหม่ การสร้างสรรค์นวัตกรรมและการเป็นผู้นำ

เราสามารถทำได้ และเราจำเป็นต้องทำ เราต้องสร้างภาวะผู้นำที่กล้าหาญและมีวิสัยทัศน์ สถาบันและระบบที่สามารถปกป้องโลกของเราไว้เพื่อคนรุ่นต่อไป และจากทุกสิ่งที่สร้างความทุกข์ทรมานแก่เรา.

ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำอะไร?

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นเสมือนเสาหลักบอกทาง เพราะเป็นครั้งแรกของโลกที่มนุษยชาติได้ตกลงร่วมกันว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีเสรีและความเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ เพศ สีผิว ศาสนา หรือเอกลักษณ์ใดๆ

สิทธิและเสรีภาพ 30 ข้อที่ระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน รวมถึง สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน สิทธิในเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการศึกษา และสิทธิในการขอลี้ภัย นอกจากนี้ยังครอบคลุมสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เช่น สิทธิในชีวิต เสรีภาพ และความเป็นส่วนตัว รวมทั้งสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น สิทธิในความมั่นคงทางสังคม สุขภาพ และการมีที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ

แล้วคุณรู้จักสิทธิของคุณไหม?

ข้อที่ 1

มนุษย์ทุกคนเกิดมามีอิสระและเท่าเทียมกัน

ข้อที่ 2

ทุกคนเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา การเมือง หรือสถานที่เกิดก็ตาม

ข้อที่ 3

ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิต (และมีชีวิตอยู่อย่างอิสระและปลอดภัย)

ข้อที่ 4

ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นอิสระจากการเป็นทาส

ข้อที่ 5

ทุกคนมีสิทธิที่ไม่ถูกทรมาน

ข้อที่ 6

ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลต่อหน้ากฎหมาย

ข้อที่ 7

เราทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย

ข้อที่ 8

ทุกคนมีสิทธิที่จะแสวงหาความยุติธรรมหากสิทธิของตนถูกละเมิด

ข้อที่ 9

ทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกจับกุม กักขัง หรือเนรเทศโดยพลการ

ข้อที่ 10

ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

ข้อที่ 11

ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด

ข้อที่ 12

ทุกคนมีสิทธิในความเป็นส่วนตัวและไม่ถูกโจมตีชื่อเสียงของตน

ข้อที่ 13

ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายและมีอิสระที่จะออกและกลับประเทศของตนเอง

ข้อที่ 14

ทุกคนมีสิทธิที่จะขอสถานะผู้ลี้ภัยอันเนื่องจากการถูกข่มเหง

ข้อที่ 15

ทุกคนมีสิทธิในการมีสัญชาติ

ข้อที่ 16

ทุกคนมีสิทธิที่จะแต่งงานและมีครอบครัว

ข้อที่ 17

ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์สิน

ข้อที่ 18

ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพทางความคิด ความเชื่อและศาสนา

ข้อที่ 19

ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก

ข้อที่ 20

ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการสมาคม

ข้อที่ 21

ทุกคนมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในการปกครองและมีสิทธิเข้าถึงบริการสาธารณะเท่าเทียมกัน

ข้อที่ 22

ทุกคนมีสิทธิได้รับหลักประกันสังคม

ข้อที่ 23

ทุกคนมีสิทธิที่จะทำงาน ได้รับค่าจ้างที่เท่าเทียมกัน ได้รับการคุ้มครองจากการว่างงาน และมีสิทธิที่จะจัดตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงาน

ข้อที่ 24

ทุกคนมีสิทธิที่จะพักผ่อนหย่อนใจ

ข้อที่ 25

ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม รวมไปถึงอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย การดูแลทางการแพทย์ และบริการทางสังคม

ข้อที่ 26

ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษา

ข้อที่ 27

ทุกคนมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมและเพลิดเพลินไปกับวัฒนธรรม ศิลปะ และวิทยาศาสตร์

ข้อที่ 28

ทุกคนมีสิทธิในระเบียบทางสังคมและระหว่างประเทศ ซึ่งสิทธิตามปฏิญญานี้จะได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่

ข้อที่ 29

เรามีหน้าที่ต่อผู้อื่นและเราควรปกป้องสิทธิและเสรีภาพของพวกเขา

ข้อที่ 30

ไม่มีใครสามารถพรากสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้ไปจากเราได้

สิทธิมนุษยชนทั้ง 30 ข้อที่ได้ระบุไว้ข้างต้นสามารถจำแนกออกได้เป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย 

  1. สิทธิพลเมือง (Civil Rights) เช่น สิทธิในชีวิตและร่างกาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิในการได้รับสัญชาติ เป็นต้น 
  2. สิทธิทางการเมือง (Political Rights) เช่น เสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เสรีภาพในการรวมกลุ่ม สิทธิในการเลือกตั้ง เป็นต้น
  3. สิทธิทางเศรษฐกิจ (Economic Rights) เช่น สิทธิในการมีงานทำและได้รับค่าจ้างอย่างเป็นธรรม สิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เป็นต้น
  4. สิทธิทางสังคม (Social Rights) เช่น สิทธิในการได้รับการศึกษา เสรีภาพในการเลือกคู่ครองและสร้างครอบครัว สิทธิในการได้รับหลักประกันด้านสุขภาพ เป็นต้น 
  5. สิทธิทางวัฒนธรรม (Culture Rights) เช่น สิทธิในการพักผ่อนหย่อนใจ สิทธิในการเลือกนับถือศาสนา เป็นต้น 

สิทธิมนุษยชนเป็นสากล ไม่อาจแบ่งแยกได้และพึ่งพากันเสมอ

สิทธิมนุษยชนทุกข้อมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และรัฐบาลทุกประเทศต้องปฏิบัติต่อสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน บนพื้นฐานเดียวกันและให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน รัฐทุกประเทศมีหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนสำหรับทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ในระบบการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมใดก็ตาม หนึ่งในบรรทัดฐานสำคัญที่เป็นหัวใจของสิทธิมนุษยชนทุกข้อที่ระบุไว้ในปฏิญญาฯ ฉบับนี้ก็คือมนุษย์ทุกคนมีสิทธิโดยที่ใครก็ไม่อาจพรากไปจากเจ้าของได้ 

ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์จะมีข้อแตกต่างใดๆ ก็ตาม ก็มีหลักการพื้นฐานหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังสิทธิทั้งหมดที่ระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นั่นคือ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกันที่ไม่อาจละเมิดได้ ซึ่งหมายความว่าสิทธิมนุษยชนนั้นเท่าเทียมกันสำหรับผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กทุกคนทั่วโลก ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

และจะต้องไม่มีการแบ่งแยกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ สีผิว เพศ รสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่นๆ สัญชาติหรือสังคม ฐานะ ชาติกำเนิด หรือสถานการณ์อื่นใด คำว่า “สากล” หมายถึงทุกคน ทุกหนทุกแห่ง

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนยังแสดงให้เราเห็นว่าสิทธิมนุษยชนมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้และต้องพึงพากันเสมอ ทั้ง 30 ข้อในปฏิญญาฯ ฉบับนี้มีความสำคัญเท่าเทียมกัน หากเสียไปแม้เพียงหนึ่งข้อ สิทธิที่เหลือก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน และไม่มีใครที่สามารถจะมาตัดสินให้สิทธิใดสำคัญกว่าสิทธิอื่นได้

ประวัติของปฏิญญาฯ

พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946)

นางเอเลนอร์ รูสเวลท์ (1884 – 1964) นักเขียนชาวอเมริกัน นักบรรยาย นักการทูต นักกิจกรรมเพื่อสังคม และภรรยาของประธานาธิบดีคนที่ 32 แห่งสหรัญอเมริกา นายแฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ กำลังฟังเนื้อหาการประชุมผ่านหูฟังในฐานะตัวแทนของสหรัฐฯ ต่อสหประชาชาติ ณ สำนักงานใหญ่ชั่วคราวแห่งสหประชาชาติที่ทะเลสาบซักเซส รัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948)

นางเอเลนอร์ รูสเวลท์ กรรมการคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน และ ดร. ชาร์ลส มาลิค กรรมการจากคณะกรรมาธิการที่สามในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (คนที่สองจากด้านขวา) ในช่วงระหว่างการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)

กลุ่มสตรีชาวญี่ปุ่นกำลังอ่านปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่ชั่วคราวแห่งสหประชาชาติที่ทะเลสาบซักเซส รัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา

พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997)

เด็กๆ กำลังลงชื่อในคำปฏิญาณตนต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่รัฐสภานอร์เวย์ โดยคำปฏิญาณดังกล่าวจัดทำโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998)

องค์ดาไลลามะที่สิบสี่ได้ลงนามในคำปฏิญาณตนต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ร่วมกับนางอนิต้า รอดดิกค์ และนายบิลล์ ชูลทส์ ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐอเมริกา โดยคำปฏิญาณดังกล่าวจัดทำโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องในโอกาศครบรอบ 50 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

นายมูฮัมหมัด อาลี นักมวยชื่อดัง ได้ลงนามในคำปฏิญาณตนต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ณ เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกาโดยคำปฏิญาณดังกล่าวจัดทำโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008)

ผู้คนเขียนบนกำแพงที่จัดแสดงปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ระหว่างการรวมตัวกันที่จัดโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

สิทธิมนุษยชนนั้นเป็นสากล ไม่อาจแบ่งแยก และต้องพึ่งพากันเสมอ

ทั้งนี้ นอกจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแล้ว องค์การสหประชาชาติยังเป็นต้นกำเนิดสำคัญในการกำหนดมาตรฐานสากลและได้จัดตั้งกลไกในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหลายรูปแบบ ซึ่งมีผลผูกพันต่อประเทศสมาชิก รวมทั้งประเทศไทยด้วย กลไกด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติที่จัดตั้งขึ้นทั้งโดยกฎบัตรสหประชาชาติและตราสารหลักด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ของสหประชาชาติ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อกำหนดมาตรฐานสากล ตลอดจนการตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชนที่กำหนดไว้ ซึ่งตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ถือเป็นสนธิสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (Core international human rights treaties) ภายใต้สหประชาชาติ มีทั้งสิ้น 9 ฉบับ ดังนี้

  1. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
    (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR)
  2. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
    (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights หรือ ICESCR)
  3. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
    (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women หรือ CEDAW)
  4. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
    (Convention on the Rights of the Child หรือ CRC)
  5. อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ
    (Convention on the Elimination of All Forms of Racial Discrimination หรือ CERD)
  6. อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี
    (Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment หรือ CAT)
  7. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ
    (Convention on the Rights of Persons with Disabilities หรือ CRPD)
  8. อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ
    (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance หรือ CED)
  9. อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานและสมาชิกในครอบครัว (Convention on the Protection of the Rights of Migrants Workers and Member of their Families หรือ CMW)

ปัจจุบันประเทศไทยเข้าเป็นภาคีตราสารระหว่างประเทศหลักเหล่านี้แล้วทั้งสิ้น 8 ฉบับ โดยไทยยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานและสมาชิกในครอบครัว

นอกจากนี้ ไทยยังได้เข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาฉบับต่างๆ ได้แก่ 

  • พิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ หรือ CEDAW ว่าด้วยการรับข้อร้องเรียน และ
  • อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หรือ CRC 3 ฉบับคือ
    • พิธีสารเลือกรับ เรื่องการขายเด็ก การค้าประเวณีและสื่อลามกที่เกี่ยวกับเด็ก (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on the sale of children, child prostitution and child pornography) 
    • พิธีสารเลือกรับ เรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on the involvement of children in armed conflict) และ
    • พิธีสารเลือกรับ เรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน (Optional Protocol to the Convention on a communications procedure)

กว่า 70 ปีแห่งสิทธิมนุษยชน

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนถูกเขียนขึ้นเพื่อมนุษย์ทุกคนในทุกประเทศทั่วโลก แม้มันจะไม่ใช่กฎหมายบังคับ แต่การปกป้องสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของการเขียนกฎหมายและกลไกทางการปกครองของหลายๆ ประเทศ

ปฏิญญาฯ ฉบับนี้เป็นรากฐานสำคัญของการเขียนสนธิสัญญาทางสิทธิมนุษยชนที่มีการบังคับใช้อีกมากมาย และกลายเป็นบรรทัดฐานของการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกชนชาติในโลก

ทุกวันนี้ ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ยังคงเป็นรากฐานในการร่างกฎหมายทั้งภายในและระหว่างประเทศ และสำหรับองค์กรที่ถูกก่อตั้งมาเพื่อปกป้องและสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิในสังคมอย่างเช่นแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ปฎิญญาฯ ฉบับนี้ก็คือภารกิจและวิสัยทัศน์ขององค์กร

แล้วแอมเนสตี้ต่อสู้เพื่อสิทธิตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างไร?

ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนคือรากฐานของเป้าหมายที่แอมเนสตี้และผู้สนับสนุนของเรากว่าสิบล้านคนทั่วโลกต่อสู้เพื่อให้บรรลุในทุกๆ วันมามากกว่า 60 ปีนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้ง พวกเรายังคงลงมือทำกิจกรรมและโครงการต่างๆ เพื่อนำมาซึ่งความยุติธรรม เสรีภาพ ความจริงและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกๆ ที่ที่ประชาชนถูกพรากสิ่งเหล่านี้ไป

เราทำสิ่งนี้ผ่านการตรวจสอบและเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่ใดก็ตาม ด้วยการรวมพลังการเคลื่อนไหวจากรอบโลก เราส่องไฟให้โลกได้เห็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้น และช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลให้คนรุ่นต่อไปสามารถทำให้สิทธิมนุษยชนได้กลายเป็นความจริง