ทางการไทยต้องดำเนินมาตรการอย่างเร่งด่วน มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงมิติทางเพศ เพื่อรับประกันว่าอังคณา นีละไพจิตร ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากการตกเป็นเป้าการโจมตี การข่มขู่ คุกคามหรือการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ ภายหลังจากการแสดงความคิดเห็นสาธารณะของเธอเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อกรณีที่ อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา อดีตคณะทำงานแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการหายสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนักปกปก้องสิทธิมนุษยชน ที่ถูกโจมตีด้วยถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง โพสต์ข้อมูลส่วนตัว (doxxing) และการกล่าวอ้างที่บิดเบือนบนสื่อโทรทัศน์และแพลตฟอร์มออนไลน์
การโจมตีด้วยถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง รวมถึงการข่มขู่เอาชีวิตต่อผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ไม่เพียงละเมิดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก แต่ยังเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความกลัว และเป็นรูปแบบหนึ่งของ ความรุนแรงทางเพศที่มีมิติทางเพศสภาพ (gender-based violence) ซึ่งขัดต่อพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี (CEDAW) และปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จึงมีข้อเรียกร้องต่อกรณีที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้
- รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องคุ้มครองและกำกับดูแลอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้มีการข่มขู่ คุกคาม และหรือการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบต่ออังคณา และครอบครัว
- หน่วยงานที่กำกับดูแลสื่อและองค์กรวิชาชีพสื่อต้องดำเนินการตรวจสอบ และมีมาตรการที่เหมาะสมต่อสื่อมวลชนที่มีการเผยแพร่เนื้อหาที่มีถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต่ออังคณาและครอบครัวในทุกช่องทางโดยทันที
- รัฐต้องคุ้มครอง เคารพ และส่งเสริมการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคนอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างปลอดภัย เพื่อมิให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทุกรูปแบบ รวมถึงความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี
- แพลตฟอร์มออนไลน์และบริษัทเทคโนโลยีต้องสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ สำหรับการรายงานและลบเนื้อห้าที่เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชน และนักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งต้องดำเนินการตามหลักการชี้นำแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights – UNGPs)
ปรากฏการณ์การคุกคามทางออนไลน์ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ยังคงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรูปแบบของการโจมตีมีความหลากหลาย ทั้งการใช้บัญชีปลอม การโพสต์ข้อความหยาบคาย การระดมโจมตีในช่องคอมเมนต์ ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม ซึ่งล้วนสร้างผลกระทบต่อสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ภาคธุรกิจทุกภาคส่วน รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มออนไลน์ มีความรับผิดชอบในการเคารพสิทธิมนุษยชน และต้องดำเนิน การตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Due Diligence) เพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อผู้ใช้
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เน้นย้ำว่า นักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงนักปกป้องสิทธิจะต้องสามารถทำงานได้อย่างอิสระ ไม่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ หรือถูกคุกคามในทุกรูปแบบ อีกทั้งต้องได้รับการสนับสนุนและคุ้มครองอย่างเต็มที่จากภาครัฐ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคน