แอมเนสตี้ผนึกเครือข่ายจัดเสวนา “บ้านใหม่ใกล้ฉัน” ใน BKK Climate Action Week 2025 ขยายเสียงชุมชนสู่เวทีระดับประเทศ ย้ำสิทธิในที่อยู่อาศัยคือสิทธิมนุษยชน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยร่วมกับเครือข่าย จัดเวทีเสวนา “บ้านใหม่ใกล้ฉัน: เหมืองแร่ ป่าคาร์บอน แลนด์บริดจ์ กับความเสี่ยงการไล่รื้อ” ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้เสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้ยินโดยผู้มีอำนาจและเป็นส่วนหนึ่งในสมการการพัฒนา พร้อมสื่อสารว่า“สิทธิในที่อยู่อาศัย” คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน 

ศตพัฒน์ ศิลป์สว่าง เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายรณรงค์เชิงนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า แอมเนสตี้ ประเทศไทยเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างเสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบกับเวทีของผู้กำหนดนโยบายการพัฒนาที่มักละเลยชุมชนเจ้าบ้านและขบวนการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม วงเสวนา “บ้านใหม่ใกล้ฉัน” โดยศตพัฒน์ได้นำเสนอภาพรวมสถานการณ์สิทธิในที่อยู่อาศัย (Right to Adequate Housing) และสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (Economic, Social and Cultural Rights – ESCR) ที่กำลังถูกท้าทายทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองที่มักได้รับผลกระทบเป็นอันดับต้น ๆ ในการพัฒนา

“ทุกวันนี้ โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ มักมองข้ามคำถามว่า ใครคือผู้แบกรับต้นทุน? และคำตอบก็มักจะเป็นชุมชนที่เปราะบางที่สุด โดยเฉพาะชนเผ่าพื้นเมือง ขณะที่โครงการเหล่านั้นที่ถูกระบุว่า ‘สีเขียว’ มักพบว่าจะทิ้งร่องรอยของการสูญเสียไว้เบื้องหลัง ขณะที่สิทธิของผู้ได้รับผลกระทบมักถูกเพิกเฉย” ศตพัฒน์กล่าว

ศตพัฒน์อธิบายเพิ่มเติมว่า สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ESCR) ครอบคลุมสิทธิพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นอาหาร น้ำ สุขภาพ การศึกษา และสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะ สิทธิในที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่ “การมีบ้านสี่เสาและหลังคา” หรือที่พักอาศัย แต่รวมถึงความมั่นคงในการอยู่อาศัย ความปลอดภัยในชีวิต การเข้าถึงแหล่งทรัพยากร การดำรงวิถีชีวิต และการเข้าถึงบริการพื้นฐาน เช่น น้ำสะอาด ระบบสุขาภิบาล พื้นที่ใช้สอยที่เหมาะสม และการได้รับการคุ้มครองไม่ให้ถูกไล่รื้อโดยพลการ ทั้งหมดนี้คือสิทธิมนุษยชนที่ทำให้คนสามารถมีบ้านได้อย่างมั่นคงและมีคุณค่าในสังคม

“การสูญเสียบ้านไม่ใช่แค่การถูกไล่รื้อทางกายภาพ แต่คือการสูญเสียวิถีชีวิต รากเหล้าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาและตัวตนที่สืบทอดกันมา นี่คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทำให้คนสามารถใช้ชีวิตอย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี” ศตพัฒน์กล่าว

ในการนำเสนอครั้งนี้ของแอมเนสตี้ ชี้ให้เห็นวิกฤติสิทธิในที่อยู่อาศัยระดับโลกที่เกิดจากการขยายตัวของโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดยยกตัวอย่าง เอธิโอเปีย ที่ครัวเรือนถูกบังคับย้ายออกโดยปราศจากการปรึกษาหารืออย่างมีความหมายและไม่รับประกันกระบวนการทางกฎหมายที่ชัดเจน รวมถึง ฟิลิปปินส์ ที่โครงการเหมืองแร่นิกเกิลกระทบสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนชนบท โดยไม่มีการให้ข้อมูลเพียงพอและไม่มีการยินยอมอย่างเสรี ล่วงหน้า และโดยความเข้าใจ ตามหลักการ FPIC ตามปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังมีกรณีของการอนุรักษ์โบราณสถานที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการไล่รื้อชุมชนโดยไม่คำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน

ขณะที่ในประเทศไทย ข้อมูลจากแอมเนสตี้สะท้อนให้เห็นว่า สิทธิในที่อยู่อาศัยและสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและชุมนุมประท้วงมากที่สุดในไตรมาส 2 หรือ เมษายน – มิถุนายน ปี 2568 โดยพบว่าชุมชนจำนวนมากยังต้องเผชิญผลกระทบจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ เช่น EEC, SEC และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องที่ภาครัฐยังไม่ตอบรับอย่างเพียงพอ

“การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่เริ่มส่งผลกระทบชัดเจนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแรงผลักดันในการเข้าถึงแร่สำคัญ ๆ การส่งเสริมตลาดคาร์บอนเครดิต หรือการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น แลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีชุมชนชายขอบอาศัยอยู่ เช่น ชาวกะเหรี่ยงในแม่ฮ่องสอน หรือชาวมอแกนบนเกาะพยาม จ.ระนอง ซึ่งหลายโครงการส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งน้ำ พื้นที่ทำกิน และระบบนิเวศที่ชุมชนพึ่งพิงในการดำรงชีวิต”

“เราต้องยืนยันร่วมกันกับชุมชนและขบวนการภาคประชาชนว่า สิทธิในที่อยู่อาศัยที่เพียงพอคือสิทธิมนุษยชนที่ไม่อาจละเลยได้ การพัฒนาและการอนุรักษ์ใดๆ ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการละเมิดสิทธิมนุษยชน และขอเชิญชวนให้สังคมช่วยกันขยายเสียงของชุมชนที่ถูกลืมให้ดังขึ้นและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ที่คิดถึงสิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม และที่อยู่อาศัยของผู้คน” ศตพัฒน์กล่าว

“เรามุ่งหวังที่จะนำเรื่องราวการต่อสู้และความกังวลของพวกเขาออกจากพื้นที่ชายขอบ เข้ามาสู่ใจกลางของบทสนทนาระดับชาติในงาน Bangkok Climate Action Week 2025 เพื่อให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้รับฟังข้อมูลโดยตรงจากผู้ที่ชีวิตและวิถีชุมชนกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เป้าหมายสูงสุดคือการจุดประกายให้เกิดการตระหนักรู้และสร้างแรงกดดันทางสังคม เพื่อผลักดันให้เกิด การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ทั้งในระดับนโยบายและกฎหมาย ที่เคารพและคุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างแท้จริง แทนการปล่อยให้การพัฒนาเดินหน้าไปบนต้นทุนชีวิตของคนเล็กคนน้อย”

แอมเนสตี้ ประเทศไทยเน้นย้ำว่า การพัฒนาเช่นนี้หากขาดมิติด้านสิทธิมนุษยชนและการมีส่วนร่วมของชุมชน อาจกลายเป็น “การไล่รื้อเชิงโครงสร้าง” ที่ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะกับกลุ่มเปราะบางเช่น กลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทั้งนี้ ภายในงานเสวนา มีการจัดกิจกรรม “วงคุยและ Take Action” 4 ช่วงสำคัญ ได้แก่

  1. บ้านที่กำลังจะหายไป เพราะบ้านไม่ใช่แค่ที่พักอาศัย แต่คือที่ดินทำกิน แหล่งอาหาร และชีวิตทั้งชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะชนเผ่าพื้นเมืองที่ต้องแบกรับความเปราะบางซ้ำซ้อนจากโครงการของรัฐ
  2. เปิดห้องพิจารณา เวทีชำแหละกฎหมายไทยที่ยังทำงานเสมือน “ตรายาง” เพื่อเทียบกับหลักสากลที่ไทยเคยให้คำมั่นไว้ในระดับนานาชาติ
  3. เสียงจากแผ่นดิน ฟังเสียงจากเจ้าของเรื่องจริงที่เกี่ยวกับป่า ทะเล และผืนดินที่อาจถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
  4. จากเสียง…สู่พลัง สรุปข้อเสนอร่วม และทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ Take Action ช่วยกันยืนยันว่า การพัฒนาที่แท้จริงต้องคำนึงถึงสิทธิในที่อยู่อาศัยและสิทธิมนุษยชนของผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หวังว่าเสียงของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจะไม่ถูกมองข้ามอีกต่อไป พร้อมทั้งเรียกร้องให้ภาครัฐและภาคเอกชนพิจารณาสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจในการกำหนดนโยบายและโครงการพัฒนา

โดยจะต้องมองเห็นผู้คนให้มากขึ้นในทุกมิติสำหรับโครงการพัฒนาใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชนในพื้นที่ รวมถึงผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกภาคส่วนต้องสามารถเข้าถึงกระบวนการประชาพิจารณ์ การรับฟังเสียงสะท้อน การมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการอำนวยความสะดวกจากผู้รับผิดชอบโครงการ“เราไม่ได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่การพัฒนาที่แท้จริงต้องเคารพสิทธิของผู้คน ฟังเสียงจากพื้นที่ และที่สำคัญ ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ศตพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน