ทั่วโลก: เผชิญหน้ากับเศรษฐกิจการเมืองระดับโลกที่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การยึดครอง และการแบ่งแยกเชื้อชาติของอิสราเอล  

รัฐ สถาบันสาธารณะ และบริษัททั่วโลก ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะโดยการสนับสนุนหรือการได้ประโยชน์ จากการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องของอิสราเอล รวมถึงอาชญากรรมในลักษณะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ยังคงเกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาที่ถูกยึดครอง การยึดครองเขตแดนปาเลสไตน์ (OPT) อย่างมิชอบด้วยกฎหมาย และระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติอันโหดร้ายที่พรากสิทธิขั้นพื้นฐานจากชาวปาเลสไตน์ ยังคงดำรงอยู่ได้เพราะการสนับสนุน การมีส่วนร่วม หรือการเพิกเฉยของรัฐและภาคธุรกิจเหล่านี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวในรายงานฉบับย่อ ที่เผยแพร่วันนี้ พร้อมเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้รัฐและบริษัทต่าง ๆ ดำเนินการแก้ไข

แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐ สถาบันสาธารณะ บริษัท มหาวิทยาลัย และหน่วยงานเอกชนอื่นๆ จะต้องยุติการเสพติดผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจและผลกำไรที่ได้มาโดยไม่คำนึงถึงการสูญเสียใดๆ เพราะตลอด 57 ปีของการยึดครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และหลายทศวรรษของการแบ่งแยกเชื้อชาติ ล้วนเกิดขึ้นได้จากการให้การสนับสนุนในเชิงลึกและต่อเนื่องต่ออิสราเอล ผ่านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า เห็นได้ชัดจาก 23 เดือนของการทิ้งระเบิดอย่างไม่หยุดหย่อน และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งต้องพึ่งพาการจัดส่งอาวุธและอุปกรณ์การสอดแนมอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการหนุนเสริมจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีสิทธิพิเศษ และการที่รัฐและบริษัทต่างๆ พร้อมจะเพิกเฉยต่อการกระทำที่ไร้ข้อแก้ตัวเหล่านี้

“สิ่งเหล่านี้ต้องยุติลง ศักดิ์ศรีของมนุษย์ไม่ใช่สินค้า ในขณะที่แม่ชาวปาเลสไตน์ในกาซาได้แต่เฝ้าดูลูกๆ ที่กำลังตายไปจากการอดอาหารในระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอล บริษัทอาวุธและบริษัทอื่นๆ ยังคงได้รับผลกำไรมหาศาล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้สมาชิกและผู้สนับสนุนทั่วโลกกดดันให้ยุติเศรษฐกิจการเมืองที่เป็นพื้นฐานการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศของอิสราเอลโดยทันที  

“รายงานสรุปที่นำเสนอในวันนี้ ระบุถึงมาตรการที่รัฐต้องนำมาใช้เพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีของตน ตั้งแต่การห้ามและบังคับไม่ให้บริษัทให้การสนับสนุน หรือมีส่วนเชื่อมโยงโดยตรงกับอาชญากรรมของอิสราเอล ไปจนถึงการออกกฎหมายและระเบียบที่เป็นผล และการถอนการลงทุน และการยุติการจัดซื้อหรือการทำสัญญาใดๆ ทั้งยังระบุถึงมาตรการที่บริษัทควรนำไปใช้ รวมทั้งการระงับการขายหรือการทำสัญญา หรือให้ถอนการลงทุน 

“รายงานฉบับย่อนี้ยังระบุชื่อ 15 บริษัท ซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลพบว่า มีส่วนสนับสนุนในการยึดครองชอบด้วยกฎหมาย การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออาชญากรรมอื่นๆ ของอิสราเอลตามกฎหมายระหว่างประเทศ บริษัทเหล่านี้ได้แก่ บริษัทข้ามชาติของสหรัฐฯ อย่าง Boeing และ Lockheed Martin บริษัทอาวุธของอิสราเอลอย่าง Elbit Systems, Rafael Advanced Defense และ Israel Aerospace Industries (IAI) บริษัทของจีนอย่าง Hikvision บริษัทผู้ผลิตของสเปนอย่าง Construcciones y Auxiliar de Ferrocarriles (CAF) กลุ่มบริษัทของเกาหลีใต้อย่าง HD Hyundai บริษัทซอฟต์แวร์ของสหรัฐฯ อย่าง Palantir Technologies บริษัทเทคโนโลยีของอิสราเอลอย่าง Corsight และบริษัทน้ำซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของอิสราเอลอย่าง Mekorot  

“แน่นอนว่า 15 บริษัทเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ของบริษัททั้งหมดที่มีส่วนรับผิดชอบในการสนับสนุนรัฐบาลที่วางแผนทำให้เกิดการอดอยากขาดแคลนและสังหารหมู่พลเรือน และปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานของชาวปาเลสไตน์มานานหลายทศวรรษ ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ รัฐจำนวนมาก และหน่วยงานเอกชนอีกหลายแห่งจงใจให้การสนับสนุนหรือได้รับประโยชน์จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซาของอิสราเอล รวมทั้งการยึดครองและการแบ่งแยกเชื้อชาติในเขตยึดครองปาเลสไตน์

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงเสนอข้อเรียกร้องเร่งด่วนต่อรัฐและบริษัทต่างๆ ในโอกาสครบรอบ 1 ปีของมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ซึ่งได้เรียกร้องให้อิสราเอลยุติการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายภายในเวลา 12 เดือน การรับรองข้อมตินี้มีขึ้นเพื่อผลักดันให้มีการดำเนินงานตามความเห็นแนะนำของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์โดยอิสราเอลเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย กฎหมายและนโยบายที่เลือกปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ในเขตยึดครองปาเลสไตน์ถือเป็นการละเมิดข้อห้ามไม่ให้มีการกีดกันและการแบ่งแยกเชื้อชาติ และยังประกาศด้วยว่าการดำรงอยู่ของอิสราเอลในเขตยึดครองปาเลสไตน์จะต้องยุติลงโดยเร็ว

ในตอนนั้น ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้รัฐสมาชิกดำเนินการตามคำประกาศของศาลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อทำให้การยึดครองเขตยึดครองปาเลสไตน์ของอิสราเอลยุติลง รวมทั้งโดยการใช้ “มาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้พลเมือง บริษัท และหน่วยงานภายใต้เขตอำนาจศาลของตนมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เป็นการสนับสนุนหรือค้ำจุนการยึดครองของอิสราเอล….ยุติการนำเข้าสินค้าที่ผลิตจากการตั้งถิ่นฐานของอิสราเอล และยุติการส่งมอบอาวุธ ยุทธภัณฑ์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้กับอิสราเอลในกรณีที่มีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าอาวุธเหล่านั้นอาจถูกนำไปใช้ในเขตยึดครองปาเลสไตน์” และ “ให้ดำเนินการคว่ำบาตร รวมทั้งการห้ามเดินทางเข้าประเทศ และการอายัดทรัพย์สินของบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการดำรงอยู่อย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายของอิสราเอลในดินแดนดังกล่าว” 

“เส้นตาย 12 เดือนของมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่กำหนดให้อิสราเอลต้องถอนตัวออกจากเขตยึดครองปาเลสไตน์สิ้นสุดลงในวันนี้ แต่อิสราเอลยังคง ทำให้เกิดความอดอยาก และสังหารชาวปาเลสไตน์ต่อเนื่องทุกวัน รัฐภาคีส่วนใหญ่แทบไม่ได้ดำเนินงานใดๆ เลย เพื่อกดดันรัฐบาลอิสราเอลให้ปฏิบัติตามข้อมตินี้ รัฐภาคีต้องยุติการจงใจนิ่งเฉยที่ไร้เหตุผล และต้องระงับการดำเนินงานใดๆ ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนให้อิสราเอลละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ หรือเสี่ยงที่จะมีส่วนร่วมในอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ทั้งในรูปของการแบ่งแยกเชื้อชาติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมอื่นๆ ตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยทันที” 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้รัฐต่างๆ สั่งห้ามการจัดส่งอาวุธ อุปกรณ์ และบริการทางทหารและความมั่นคงใดๆ ให้กับอิสราเอลโดยทันที รวมทั้งห้ามการส่งออกอุปกรณ์การสอดแนมทุกประเภท โครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ และระบบคลาวด์ ซึ่งถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนการสอดแนม การดำเนินงานด้านความมั่นคง และการทหาร ทั้งนี้ รวมถึงการห้ามไม่ให้รัฐเหล่านั้นเป็นประเทศที่เป็นทางผ่าน หรือมีการสวมสิทธิ เพื่อการส่งอาวุธ อุปกรณ์ทางการทหารและความมั่นคง ตลอดจนอะไหล่และส่วนควบที่เกี่ยวข้องใดๆ ที่จะถูกจัดส่งให้กับอิสราเอล ผ่านดินแดนภายใต้เขตอำนาจศาลของตน ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือ สนามบิน น่านฟ้า หรือดินแดนใดๆ

แอมเนสตี้ยังเรียกร้องให้ยุติการค้าและการลงทุนในบริษัท ไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ใดของโลก หากบริษัทนั้นมีส่วนสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การแบ่งแยกเชื้อชาติ หรือการยึดครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อย่างน้อยที่สุดหรือขั้นต่ำ ต้องรวมถึงบริษัทที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในรายงานของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเขตยึดครองปาเลสไตน์ และในฐานข้อมูลของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่สนับสนุนการตั้งถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมาย รัฐต่างๆ ต้องประกันให้มั่นใจว่าบริษัทซึ่งดำเนินงานภายใต้เขตอำนาจศาลของตน ปฏิบัติตามข้อห้ามเหล่านี้อย่างเคร่งครัด

บริษัทที่มีส่วนสนับสนุนการยึดครองอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ/หรืออาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศของอิสราเอล

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลการปฏิบัติมิชอบของบริษัทหลายแห่งเหล่านี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้เขียนจดหมายถึงบริษัทเหล่านี้ ซึ่งมีการระบุรายชื่อในรายงานฉบับย่อนี้ โดยตั้งคำถามกับพวกเขาเกี่ยวกับการดำเนินงานในอิสราเอล/เขตยึดครองปาเลสไตน์ และแสดงความกังวลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามที่ระบุในเอกสารนี้ ในปี 2568 มีเพียง 5 บริษัทที่ส่งจดหมายตอบกลับมา ซึ่งเราได้นำข้อมูลมารวมไว้ในรายงานฉบับย่อนี้ 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลการใช้ระเบิดและชุดนำวิถีของ Boeing ในการโจมตีทางอากาศอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายในฉนวนกาซาที่ถูกยึดครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีแนวโน้มว่ากองทัพอิสราเอลได้ใช้อาวุธที่ผลิตโดย Boeing รวมทั้งชุดอุปกรณ์ที่เปลี่ยนระเบิดธรรมดาให้กลายเป็นระเบิดนำวิถี (Joint Direct Attack Munitions) และระเบิดนำวิถีขนาดเล็กแบบ GBU-39 ในการโจมตีทางอากาศที่รุนแรงต่อเนื่องหลายครั้ง เป็นเหตุให้พลเรือนชาวปาเลสไตน์จำนวนมากเสียชีวิตทั่วกาซา รวมทั้งเด็กจำนวนมาก  

Lockheed Martin จัดส่งและให้บริการซ่อมบำรุงเครื่องบิน F-16 และฝูงเครื่องบินรบ F-35 ที่เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นของอิสราเอล ถือเป็นกระดูกสันหลังของกองทัพอากาศอิสราเอล และได้ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางระหว่างการทิ้งระเบิดถล่มกาซา 

บริษัทอาวุธใหญ่สุด 3 แห่งของอิสราเอล ได้แก่ Elbit Systems และ Rafael Advanced Defense Systems และ IAI  ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ต่างจัดส่งสินค้าและบริการด้านการทหารและความมั่นคงมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับกองทัพอิสราเอลในแต่ละปี ทั้งนี้รวมถึงโดรนเพื่อการสอดแนมและโดรนติดอาวุธ และโดรนพลีชีพ (loitering munitions) และระบบรักษาความปลอดภัยที่พรมแดน ซึ่งอิสราเอลนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในระหว่างปฏิบัติการเชิงรุกในกาซา และตลอดทั้งเขตยึดครองปาเลสไตน์ Elbit Systems ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่ตอบจดหมายขอข้อมูลของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ปฏิเสธข้อกังวลของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และโต้แย้งว่าทางบริษัทดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยเป็นการจัดส่งสินค้าให้กับ “รัฐบาลที่มีอธิปไตยและไม่ได้ถูกคว่ำบาตร ซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาคมระหว่างประเทศ”

ปัจจุบันอิสราเอลยังได้ใช้สินค้าและบริการสอดแนมของ Hikvision ในระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติที่นำมาใช้กับชาวปาเลสไตน์ ในขณะที่ Corsight มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและการจำหน่ายซอฟต์แวร์จดจำใบหน้าซึ่งกองทัพอิสราเอลได้นำมาใช้ในการโจมตีกาซา

Palantir Technologies บริษัทปัญญาประดิษฐ์จากสหรัฐฯ เป็นผู้จัดส่งอุปกรณ์และบริการ AI ให้กับกองทัพอิสราเอลและหน่วยข่าวกรอง ซึ่งเชื่อมโยงกับปฏิบัติการของกองทัพอิสราเอลในกาซา 

Mekorot สนับสนุนการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายของอิสราเอล โดยเป็นผู้บริหารโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายด้านน้ำในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งมีลักษณะเลือกปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ และมุ่งสนับสนุนการตั้งถิ่นฐานโดยมิชอบด้วยกฎหมายของชาวอิสราเอล CAF เป็นผู้สนับสนุนโครงการรถไฟฟ้ารางเบาในเยรูซาเล็ม ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอล ในขณะที่บริษัท HD Hyundai เป็นผู้ผลิต บำรุงรักษา และให้บริการเครื่องจักรกลหนักที่ใช้เพื่อการทำลายบ้านเรือนอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายในเขตยึดครองปาเลสไตน์

ในปี 2562 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังเน้นให้เห็นว่าว่าบริษัทการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำ รวมทั้ง AirbnbBooking.comExpedia และ TripAdvisor มีส่วนสนับสนุนการดำรงอยู่ การเสริมความมั่นคง และการขยายตัวของการตั้งถิ่นฐานโดยมิชอบด้วยกฎหมายของชาวอิสราเอลในเขตยึดครองปาเลสไตน์ แม้ว่าแอมเนสตี้จะเรียกร้องให้บริษัทเหล่านี้แสดงความรับผิดชอบด้วยการถอนการลงทุนจากการทำธุรกิจในเขตที่มีการตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอล แต่บริษัทเหล่านี้ยังคงให้บริการอยู่ที่นั่น 

“บริษัทเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชนของตน หรือไม่ก็ต้องถูกลงโทษจากการดำเนินงานเช่นนั้น พวกเขาต้องประกันว่าจะไม่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการยึดครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายและอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศของอิสราเอลไม่ว่าในรูปแบบใด หากไม่สามารถดำเนินการเช่นนั้นได้ บริษัทและพนักงาน รวมทั้งคณะกรรมการบริหารมีความเสี่ยงที่จะต้องรับผิดทางแพ่ง และในบางกรณี อาจต้องรับผิดชอบทางอาญาจากการสนับสนุนและช่วยเหลือการก่ออาชญากรรมของอิสราเอล” 

แอมเนสตี้เรียกร้องให้บริษัทเหล่านี้ระงับการขายและการจัดส่งอาวุธและอุปกรณ์ทางทหาร ความมั่นคง และการสอดแนมอื่นๆ หรือการจัดส่งเครื่องจักรกลหนัก อะไหล่ หรือสินค้าและบริการที่มีส่วนสนับสนุนหรือเชื่อมโยงโดยตรงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตยึดครองปาเลสไตน์ของอิสราเอลโดยทันที รัฐ สถาบันสาธารณะ และบริษัทอื่นๆ ยังจะต้องใช้อิทธิพลของตนโดยผ่านการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ รวมทั้งแสดงความรับผิดชอบด้วยการถอนการลงทุนและยุติการจัดซื้อใดๆ จากบริษัทเหล่านี้ เพื่อกดดันให้ยุติการขาย 

รัฐยังควรห้ามไม่ให้บริษัทเหล่านี้เข้าร่วมในงานแสดงสินค้า การประชุมของรัฐบาล การทำสัญญา การรับทุนวิจัย และกิจกรรมอื่นใดกับหน่วยงานสาธารณะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเภทของสินค้าที่ขายให้กับอิสราเอล โดยต้องมีการใช้มาตรการทั้งหมดเหล่านี้ต่อไป จนกว่าบริษัทเหล่านี้จะพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาไม่มีส่วนสนับสนุนในการยึดครองอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายหรืออาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศของอิสราเอลอีกต่อไป 

“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้ประชาชนทั่วโลกปฏิบัติการโดยสงบ ภาคประชาสังคมและสาธารณชนควรลุกขึ้นเคลื่อนไหวและรณรงค์เพื่อให้รัฐต่างๆ ปฏิบัติตามพันธกรณีของตน และการตรวจสอบบริษัทที่มีส่วนสนับสนุนหรือเชื่อมโยงโดยตรงกับอาชญากรรมของอิสราเอล เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ที่รัฐและบริษัทต่างทราบว่ารายได้ของตนมีที่มาจากความตาย การทำลายล้าง และความทุกข์ยากใหญ่หลวงของชาวปาเลสไตน์ แต่พวกเขาตัดสินใจที่จะเบือนหน้าหนี และยังคงสนับสนุนรูปแบบธุรกิจเช่นนั้นต่อไป โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนต่อมนุษย์ และยังคงติดยึดอยู่กับความร่ำรวยของตน เราไม่อาจปล่อยให้มีการเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากใหญ่หลวงของชาวปาเลสไตน์ต่อไปได้อีกแม้แต่นาทีเดียว” แอกเนส คาลามาร์ดกล่าว 

ข้อมูลพื้นฐาน

ในเดือนมกราคม 2567 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีความเห็นว่ามี ความเสี่ยงที่แท้จริงและกำลังเกิดขึ้น ของอันตรายที่ไม่อาจเยียวยาได้ต่อสิทธิของชาวปาเลสไตน์ในกาซาตามอนุสัญญาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และสั่งให้อิสราเอลใช้มาตรการทั้งหมดในอำนาจของตนเพื่อป้องกันการกระทำที่เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยังยืนยันว่ารัฐทุกแห่งมีพันธกรณีที่จะต้องป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ศาลยังย้ำในข้อร้องขอต่ออิสราเอลในอีกสองคำสั่งเมื่อเดือนมีนาคมและพฤษภาคม 2567 แต่มีการเพิกเฉยต่อคำสั่งเหล่านี้ทั้งหมด 

ในเดือนธันวาคม 2567 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลพบว่า อิสราเอลได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในกาซา และนับแต่นั้นมามีความเห็นเป็นเอกฉันท์มากขึ้นในบรรดาผู้เชี่ยวชาญในประชาคมระหว่างประเทศว่ากำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้น 

ในเดือนกันยายน 2567 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้รับรองมติ ซึ่งกำหนดกรอบเวลา 12 เดือนให้อิสราเอลถอนตัวออกจากเขตยึดครองปาเลสไตน์ ทั้งยังมีการรับรองข้อมติอีกหนึ่งข้อในเดือนธันวาคม 2567 ซึ่งเรียกร้องให้มี “การถอนตัวของอิสราเอลออกจากดินแดนของปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองนับแต่ปี 2510 รวมทั้งเยรูซาเล็มตะวันออก การทำให้สิทธิที่ไม่อาจพรากไปได้ของประชาชนชาวปาเลสไตน์เกิดขึ้นจริง” และเรียกร้องให้รัฐ “ไม่สนับสนุนและช่วยเหลือการดำเนินงานเพื่อตั้งถิ่นฐานอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้งการไม่ให้ความช่วยเหลือต่ออิสราเอลซึ่งอาจถูกนำไปใช้เป็นการเฉพาะเพื่อสนับสนุนการตั้งถิ่นฐาน” ในเขตยึดครองปาเลสไตน์