เปิดรายงานคู่ขนานจากภาคประชาสังคม ในวาระที่ไทยเข้าทบทวนรายงานต่อต้านการทรมาน

Amnesty International

ประเด็นเรื่องการทรมานและการบังคับบุคคลสูญหายกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมากขึ้น และมีความก้าวหน้าทางด้านกฎหมายไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการให้สัตยาบันในอนุสัญญาเกี่ยวกับการทรมาน ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 ซึ่งนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ในอีก 16 ปีต่อมา รวมถึงการให้สัตยาบันในอนุสัญญาที่เกี่ยวกับการบังคับให้บุคคลสูญหาย เมื่อ พ.ศ. 2567

หลังจากให้สัตยาบันในอนุสัญญาเกี่ยวกับการทรมาน เมื่อ พ.ศ. 2550 แล้ว ก็ได้มีการทบทวนรายงานระหว่างผู้แทนรัฐไทยและคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน (Committee Against Torture – CAT) ซึ่งเป็นกลไกในการตรวจสอบว่าประเทศที่เป็นภาคีได้ดำเนินการตามที่ให้คำมั่นไว้หรือไม่ โดยการทบทวนรายงานของไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2557 ซึ่งคณะกรรมการประจำอนุสัญญาได้ให้ข้อสังเกตเชิงสรุปและข้อเสนอแนะไว้หลายประเด็น เช่น สถานการณ์การทรมานในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง การใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การใช้มาตรการที่ไม่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ลี้ภัยหรือผู้ขอลี้ภัย เหตุรุนแรงทางเพศที่อาจเข้าข่ายเป็นการทรมาน หรือว่าการปฏิบัติที่โหดร้าย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในการทบทวนรายงานครั้งนั้น ภาคประชาสังคมได้จัดทำ “รายงานคู่ขนาน” (Shadow Report หรือ Alternative Report) ซึ่งข้อมูลบางส่วนอาจจะขาดหายไปจากรายงานของภาครัฐ ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่คณะกรรมการในการพิจารณา

โดยในวันที่ 4 – 6 พฤศจิกายน จะมีการทบทวนรายงานของอนุสัญญานี้อีกครั้ง ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีตัวแทนจากภาครัฐและภาคประชาสังคมเข้าร่วม องค์กรภาคประชาสังคมในประเทศไทย จึงจัดทำรายงานคู่ขนาน พร้อมข้อเสนอแนะต่อรัฐ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทรมานและการบังคับให้บุคคลสูญหาย

“สภาวะไร้อำนาจ” นิยามการทรมานที่กว้างขวางกว่าเดิม

ใน พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มีการให้คำนิยามเกี่ยวกับการทรมานที่ใกล้เคียงกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน โดยระบุว่า องค์ประกอบหลักของการทรมาน ต้องประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายและจิตใจ และวัตถุประสงค์ของการทรมาน อันได้แก่ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลการรับสารภาพ เพื่อลงโทษ เพื่อข่มขู่ และเพื่อเลือกปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม ในกฎหมายระหว่างประเทศได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับการทรมานไว้กว้างขวางกว่า โดยวัตถุประสงค์ 4 อย่าง ของการทรมานนั้น เป็นเพียงตัวอย่างการทรมานเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการขยายขอบเขตการตีความคำว่าทรมาน ให้ครอบคลุมการกระทำทรมานอย่างกว้างขวางมากขึ้น โดยมองไปยัง “สภาวะไร้อำนาจ” (Powerlessness) ของผู้ที่ถูกกระทำเป็นหลัก

“มันไม่ใช่แค่เรื่องในเรือนจำ หรือว่าการซ้อมในค่ายเท่านั้น แต่ว่ามันรวมไปถึงเรื่องกฎหมาย เรื่องการบังคับใช้ เรื่องเพศ เรื่องความรุนแรงทางเพศ เรื่องผู้ลี้ภัย เรื่องยาเสพติด เรื่องค้ามนุษย์ เพราะว่าเขามองว่า เรื่องอะไรก็ตามที่นอกจากจะเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐทำ ถ้าเหยื่ออยู่ในภาวะที่ไร้อำนาจ (Powerlessness) คือไม่สามารถสู้หรือกระทำได้ ก็สามารถที่จะถูกตีความว่าเป็นการทรมานได้” สัณหวรรณ ศรีสด จากคณะกรรมการนิติศาสตร์สากล อธิบาย

ทว่าผลจากการตีความนิยามที่แตกต่างกันระหว่างกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ ก็ทำให้เราพบว่า ยังมีหลายกรณีในประเทศไทย ที่เข้าข่ายการทรมานในกฎหมายระหว่างประเทศ แต่กลับไม่เข้าข่ายการทรมานในกฎหมายไทย เช่น การลงโทษทางวินัยด้วยวิธีการที่โหดร้ายของทหารเกณฑ์ในค่ายจนเสียชีวิต แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดีในข้อหาทรมาน เนื่องจากอ้างว่าเป็นการฝึกตามปกติ หรือการคุกคามนักกิจกรรม โดยการเชิญตัวไป “ดื่มกาแฟ” เป็นต้น

การสลายการชุมนุมก็คือการทรมาน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย หนึ่งในองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่จะเดินทางไปเข้าร่วมการทบทวนรายงานของ CAT ได้เปิดเผยรายงานที่มุ่งขยายขอบเขตความเข้าใจว่าการละเมิดสิทธิแบบไหนบ้างที่เข้าข่ายการทรมานในทางสากลได้ หนึ่งในนั้นคือ การละเมิดสิทธิของผู้ชุมนุมทางการเมือง รวมทั้งนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า การใช้กำลังสลายการชุมนุมนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยมานับครั้งไม่ถ้วน และเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีการชุมนุมทางการเมืองบ่อยครั้ง ซึ่งทำให้เห็นการใช้กำลังในการสลายการชุมนุมหลายครั้งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ยิงแก๊สน้ำตา ไปจนถึงอาวุธอย่างกระสุนยาง ซึ่งแอมเนสตี้ตีความว่า การใช้อาวุธในลักษณะนี้ เข้าข่ายการทรมาน

“ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศหลายคนมองว่า ให้เราจินตนาการสถานการณ์ที่เราเป็นผู้ชุมนุม แล้วมีตำรวจห้อมล้อมอยู่ และกำลังใช้อาวุธยิงใส่เรา หรือว่ายิงแก๊สน้ำตาใส่เรา ตัวผู้ชุมนุมเองจะตกอยู่ในสภาวะที่ไร้อำนาจ ไม่ต่างจากการถูกควบคุมตัว ฉะนั้น การใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม แม้จะไม่ใช่การควบคุมตัวอย่างเป็นทางการ ก็สามารถเป็นการทรมานได้ในทางสากล” ชนาธิปอธิบาย

กรณีตัวอย่างการทรมานอันเนื่องมาจากการสลายการชุมนุม ได้แก่ กรณีของฐนกร ผ่านพินิจ และธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงด้วยกระสุนยาง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 จนได้รับบาดเจ็บที่ลูกตา และไม่สามารถรักษาได้ รวมทั้งกรณีของพายุ บุญโสภณ ที่ถูกยิงด้วยกระสุนยางจนตาบอดเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลในกรณีการสลายการชุมนุม ดังนี้

  1. จะต้องมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนทุกกรณีที่มีการใช้กำลังในการชุมนุมอย่างมิชอบ โดยเฉพาะการใช้กระสุนยางในลักษณะนี้ จะต้องมีการประกันว่า ผู้ที่ใช้กระสุนยางในการดำเนินการลักษณะนี้ ต้องมีความรับผิด ทั้งทางแพ่งและทางอาญา
  2. จะต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. ที่เรามีอยู่แล้ว เรื่องการทรมานให้ครอบคลุมกรณีเหล่านี้ด้วย
  3. ควรใช้มาตรการทั้งปวงเพื่อประกันว่า คดีเหล่านี้จะไม่หมดอายุความ

ผู้ชุมนุมและนักปกป้องสิทธิฯ คือเหยื่อของการทรมาน

รายงานของแอมเนสตี้ระบุว่า นับตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมทางการเมืองใน พ.ศ. 2563 จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 มีบุคคลที่ถูกควบคุมตัวอยู่ จากคดีการเมือง 41 คน โดยที่ใน 41 คน มี 21 คน ที่เป็นการควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคดี และ 16 คน ใน 21 คน ถูกคุมขังจากคดีมาตรา 112 ซึ่งถูกปฏิเสธการประกันตัว การควบคุมตัวจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออกนี้ ในทางระหว่างประเทศจะเรียกว่า “การควบคุมตัวโดยพลการ” (Arbitrary Detention) ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการถูกทรมานและการปฏิบัติอย่างโหดร้าย ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่ถูกควบคุมตัวจำนวนหนึ่งยังเป็นเด็กและเยาวชน

นอกจากนี้ ยังมีกรณีการเสียชีวิตของ บุ้ง – เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรม ที่เสียชีวิตระหว่างการถูกควบคุมตัวในเรือนจำ ซึ่งยังมีข้อสงสัยอีกหลายประการเกี่ยวกับการเข้าถึงการรักษาพยาบาลในเรือนจำ

สำหรับข้อเสนอแนะของแอมเนสตี้ในประเด็นนี้ ได้แก่

  1. ขอให้แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายที่เอามาใช้ควบคุมตัวผู้ชุมนุมประท้วงโดยพลการ อย่างเช่น มาตรา 112 มาตรา 116 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ
  2. ให้มีการทบทวนกระบวนการประกันตัวอย่างละเอียด เพื่อที่จะให้เนื้อหา แนวทางที่จะให้ประกันสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล
  3. ปล่อยตัวบุคคลทุกคนที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการ โดยไม่มีเงื่อนไข และปล่อยตัวทันที

ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ: การทรมานในโลกออนไลน์

นอกจากความรุนแรงในโลกกายภาพแล้ว โลกออนไลน์ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการทรมานเกิดขึ้น ชนาธิปเปิดเผยว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านประเด็นการทรมานขององค์การสหประชาชาติ ได้เขียนรายงานเกี่ยวกับ “การทรมานทางจิตใจ” (Psychological Torture) ซึ่งมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ และมีการตีความกฎหมายในเรื่องการทรมานในรูปแบบใหม่

“การที่บุคคลคนหนึ่งถูกสอดแนม หรือว่าถูกคุกคามในโลกไซเบอร์ มักจะทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะที่รู้สึกว่าไร้อำนาจ ไม่ต่างจากการถูกควบคุมตัวทางกายภาพ โดยเฉพาะกรณีที่ถูกคุกคามหรือว่าถูกสอดแนมโดยตัวแสดงหรือผู้คนที่มาจากภาครัฐ ยิ่งเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงและสามารถส่งผลกระทบทางจิตใจได้อย่างรุนแรงจนถึงขนาดที่ว่าเข้าข่ายของการทรมาน” ชนาธิปกล่าว

สำหรับผู้ที่ถูกกระทำในกรณีนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิที่เป็นผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ อย่างเช่น ในกรณีของนักกิจกรรมหญิง 15 คน ที่ถูกเจาะข้อมูลด้วยสปายแวร์เพกาซัส (Pegasus Spyware) ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์มือถือของเหยื่อได้ หรือกลุ่มนักกิจกรรมราว 44 คน ที่ถูกแฮ็กเฟซบุ๊ก โดยผู้โจมตีที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมไปถึงกลุ่มนักกิจกรรมที่ถูกใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือว่า IO ในการโจมตี ด้อยค่า ด้วยข้อมูลเท็จ และข้อมูลที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังทางเพศ

“คณะกรรมการที่ UN เคยพูดเอาไว้ในการทบทวนสถานการณ์ครั้งที่แล้ว ถึงความรุนแรงทางเพศ เขาบอกว่า ปัญหาของไทยก็คือ เรามีตำรวจแล้วก็ภาคตุลาการที่เพิกเฉยต่อความรุนแรงทางเพศ และรายงานของแอมเนสตี้ก็พูดถึงว่า เวลาเกิดความรุนแรงทางเพศในลักษณะเช่นนี้ ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมักจะล้มเหลวในการดำเนินการตรวจสอบในการสืบสวนและให้ความยุติธรรมกับคนที่ตกเป็นเหยื่อ” ชนาธิประบุ

สำหรับข้อเสนอแนะในประเด็นนี้ แอมเนสตี้เสนอว่า

  1. จะต้องมีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างเร่งด่วน เป็นอิสระ เป็นกลาง และโปร่งใส กับการใช้ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ ผ่านการใช้เทคโนโลยี ต่อนักปกป้องสิทธิ
  2. จะต้องมีการออกกฎหมายในการรับรองปัญหาความรุนแรงแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก
  3. จะต้องมีการจัดให้มีระเบียบสำหรับภาครัฐในการสื่อสารต่อสาธารณะ จะได้ไม่ต้องมาคุกคามประชาชนผ่านโลกออนไลน์ โดยใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร
  4. ต้องมีการแบนการใช้สปายแวร์ที่มีการรุกล้ำสูง อย่างสปายแวร์เพกาซัส (Pegasus Spyware)
  5. ต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพราะว่า พ.ร.บ. ตัวนี้ยังมีข้อกำหนดว่า การเลือกปฏิบัติทางเพศที่เกิดขึ้นโดยมีข้ออ้างเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง หรือว่าเรื่องศาสนา ยังสามารถทำได้ และคนที่ตกเป็นเหยื่อไม่สามารถร้องเรียนได้ จึงต้องมีการแก้ไขให้ไม่มีข้อยกเว้นเหล่านี้อีกต่อไป

พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามทรมาน-อุ้มหาย: ความท้าทายที่ไม่จบสิ้น

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นองค์กรที่มุ่งให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกทรมาน ทำให้สูญหาย และถูกกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือเคสที่เสียชีวิตระหว่างควบคุมตัว คดีที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือวิสามัญฆาตกรรม

พรพิมล มุกขุนทด ทนายความของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม สะท้อนภาพความท้าทายก่อนที่จะมีการออก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน ผ่านคดีของฤทธิรงค์ ชื่นจิตร เยาวชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทรมานให้รับสารภาพ เมื่อ พ.ศ. 2552

“เมื่อไม่มีกฎหมายตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย ข้อหาในการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐในเคสนี้ เราก็เลยใช้ข้อหาตามมาตรา 309 และ 310 คือการข่มขืนใจและกักขังหน่วงเหนี่ยว แล้วก็มาตรา 157 และอีกข้อหาหนึ่งก็เป็นเรื่องของการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเป็นข้อหาตามกฎหมายอาญาปกติ”

อย่างไรก็ตาม คดีของฤทธิรงค์ต้องไปร้องที่สถานีตำรวจในท้องที่เกิดเหตุ ทำให้ผู้เสียหายต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ที่เคยทำร้ายตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผู้เสียหายและครอบครัวอย่างมาก

ความท้าทายจากการไม่มีกฎหมายรองรับกรณีการทรมาน ปรากฏในกรณีของพลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งถูกทำร้ายร่างกายในค่ายทหาร เมื่อ พ.ศ. 2554 ซึ่งคดีนี้อยู่ในศาลทหารมาโดยตลอด ทำให้ผู้เสียหายและญาติไม่สามารถตั้งทนายเข้าไปสู้ในคดีของศาลทหารได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและอุ้มหาย ทางมูลนิธิก็ได้ทดลองใช้กระบวนการตาม พ.ร.บ. แล้ว ก็พบว่ามีปัญหาและความท้าทายอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 3 เรื่องนิยามการควบคุมตัว ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการควบคุมตัวไม่ได้หมายถึงแค่การพาตัวไปเท่านั้น แต่มันหมายถึงการลิดรอนสิทธิเสรีภาพด้วย ทว่าเจ้าหน้าที่กลับใช้วิธีการเชิญไปดื่มกาแฟ และตีความว่าไม่ใช่การควบคุมตัว

อีกมาตราหนึ่งที่เป็นปัญหา คือมาตรา 5 ที่ต้องบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งการทรมานทางจิตใจนั้นไม่มีบาดแผลที่เห็นได้ชัดอย่างทางร่างกาย จึงเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ นอกจากนี้ ในกรณีการบังคับให้สูญหาย ส่วนใหญ่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐได้ ขณะเดียวกัน ในมาตรา 226/1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็อนุญาตให้รับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบได้ ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับเคสทรมานอย่างมาก เพราะวรรคท้ายของมาตราระบุว่า เพื่อประโยชน์ของความยุติธรรม จึงสามารถดำเนินการได้

การขาดความเข้าใจในข้อหาทรมาน อุ้มฆ่า ทำให้สูญหาย ของเจ้าหน้าที่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อท้าทาย ที่ส่งผลให้ญาติผู้เสียหายต้องแสวงหาข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานด้วยตัวเอง แล้วนำมามอบให้เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ พ.ร.บ. นี้ กำหนดเอาไว้แล้วว่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องทำหน้าที่ในเชิงรุกมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น หน่วยงานหลักที่สามารถรับเรื่องร้องเรียนได้ ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ป้องกันการทรมาน ก็คืออัยการ DSI ตำรวจ และกรมการปกครอง กลับไม่ทำงานร่วมกัน

นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายพิเศษอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง กฎอัยการศึก พ.ร.บ.ยาเสพติด ที่อนุญาตให้ควบคุมตัว 3 – 5 วัน หรือว่าไม่มีการให้สิทธิต่างๆ ตามกฎหมาย เช่น พบทนายความ พบญาติ หรือว่าพบผู้ที่ไว้วางใจ ก็อาจทำให้เกิดการทรมาน การบังคับสูญหาย หรือการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมได้มากขึ้น จึงอาจเรียกได้ว่า กฎหมายเหล่านี้ทำให้ พ.ร.บ. ไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีข้อเสนอต่อรัฐ ดังนี้

  1. ขอให้มีการแก้ไขหรือทบทวนกฎหมายอาญา มาตรา 226/1 แก้ไขกฎหมายพิเศษ รวมทั้งตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายพิเศษ เพราะกฎหมายเหล่านี้เป็นปัญหาต่อการใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. แก้ไขนิยามการทรมาน อุ้มหาย ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ เพราะว่าอนุสัญญาระหว่างประเทศมีการตีความอย่างกว้างขวาง การจำกัดลักษณะของการทรมานหรือการอุ้มหาย ถือเป็นปัญหาต่อการทำงานของภาคประชาสังคม
  3. ควรมีการจัดอบรมคนในกระบวนการยุติธรรมหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ให้มีความเชี่ยวชาญในการทำคดีอุ้มฆ่า อุ้มหาย การทรมาน และกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมไปถึงเรื่องการอบรมเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานในคดีอุ้มฆ่า เพราะว่าโดยพื้นฐาน คดีอุ้มฆ่าไม่มีทางที่จะหาพยานหลักฐานได้เลย ดังนั้น การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอุ้มฆ่าต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะ ในการพิจารณาตัดสินคดี
  4. ให้รัฐแก้ไขปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การอุ้มหายนักกิจกรรม นักกิจกรรม 9 คน ของไทย ที่เป็นผู้ลี้ภัยที่ถูกอุ้มหายในประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆ จึงขอให้มีการตรวจสอบ แสวงหาข้อเท็จจริง นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และเยียวยาผู้เสียหาย
  5. แก้ไขปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน กระทำทรมาน ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ พร้อมแสวงหาความจริงด้วยความจริงใจ นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ และเยียวยาผู้เสียหาย

สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กับการทรมานที่ไม่เคยหมดสิ้น

การกระทำทรมานหรือการอุ้มหายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสาเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกับกองกำลังติดอาวุธหลายๆ กลุ่ม จนนำไปสู่ความพยายามในการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยการประกาศใช้กฎอัยการศึกที่สามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน โดยที่ไม่ต้องมีหมายจับ และ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่สามารถสามารถควบคุมตัวได้ 30 วัน โดยที่ไม่ต้องมีหมายจับ และการควบคุมตัวทั้ง 37 วันนี้ ส่งผลให้เกิดข้อร้องเรียนเรื่องการกระทำทรมาน

“โดยเจตนารมณ์จริงๆ ของการใช้กฎหมายพิเศษ ทั้ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน กับกฎอัยการศึก จริงๆ แล้วมันมีวัตถุประสงค์ในการที่จะคลี่คลายปัญหา หรือป้องกันการก่ออาชญากรรมรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัด แต่ปรากฏว่าในทางปฏิบัติ คล้ายๆ กับว่ากลไกหรือเครื่องมือสองตัวนี้กลายเป็นกฎหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ ไม่ใช่เพื่อคลี่คลายปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบ แต่เป็นการสร้างอำนาจหน้าที่ แล้วก็ใช้กลไกต่างๆ ในการทรมานและทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น จนถึงทุกวันนี้” อูเซ็ง ดอเลาะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม กล่าว

จากข้อมูลของกลุ่มด้วยใจ องค์กรภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมานตั้งแต่ พ.ศ. 2554 – 2566 จำนวน 168 คน ขณะที่ทางศูนย์ทนายความมุสลิมก็ได้รับเรื่องร้องเรียน 119 คน โดยวิธีการทรมานส่วนใหญ่ยังคงเป็นการทรมานทางร่างกาย เช่น การทำให้ขาดอากาศหายใจแบบแห้งและเปียก การขังเดี่ยวในห้องที่เปิดไฟตลอดเวลา และการไม่ให้หลับตอนเป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมาน การทรมานกลับยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนรูปร่างเป็นการทำร้ายทางจิตใจ (Psychological Torture) การวิสามัญฆาตกรรม หรือการเสียชีวิตระหว่างควบคุมตัว

อัญชนา หีมมิน๊ะ นักกิจกรรมจากกลุ่มด้วยใจ กล่าวว่า

“หลังจาก พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผู้ที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม 100 กว่าคน เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถนำเขาไปสอบสวนด้วยวิธีการที่เจ้าหน้าที่สามารถทำได้ ก็เลยใช้วิธีการสังหาร ในเวลา 4 – 5 ปี เจ้าหน้าที่สังหารคนไม่น้อยกว่า 10 คนต่อปี ผู้ที่ถูกควบคุมตัวที่เราบันทึกได้ต่อปีก็ประมาณ 150 – 200 คน แต่ว่าในการสังหารก็คือ 10 กว่าคนต่อปี มันก็เลยทำให้เราเห็นพัฒนาการว่า พ.ร.บ. ทรมานฯ มันต้องมีในเชิงอย่างอื่นด้วย”

นอกจากนี้ อัญชนายังระบุว่า หน่วยรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมาน มีบางส่วนที่ทั้งจับกุมได้ แล้วก็สอบสวนได้ แต่มีบางส่วนที่จับกุมอย่างเดียว แล้วก็ส่งต่อรายงาน แต่พบว่าไม่มีฐานข้อมูลที่เป็นที่รับเรื่องทั้งหมดว่ามีการควบคุมตัวคือไม่สามารถระบุได้ว่าการใช้กฎหมายพิเศษ ซึ่งมีการควบคุมตัว มีรายงานปรากฏอยู่ที่ไหน มีการส่งเรื่องไปอย่างไร

“กลไกการติดตามการตรวจสอบการใช้ จำนวนคนที่ถูกควบคุมตัวก็ไม่ทราบ อย่างเช่น มีรายงานของอัยการระบุว่า การควบคุมตัวใน พ.ศ. 2567 การควบคุมตัวที่มีการรับเรื่องของทหาร ที่ จ. สงขลา มีเรื่องเดียวคือรายงานจากทหาร เป็นการลงโทษทางวินัยของทหารในค่าย ในขณะเดียวกัน มีการจับกุม ควบคุมตัวภายใต้กฎหมายพิเศษใน จ. สงขลา แต่ไม่ปรากฏในรายงานของอัยการ นั่นเป็นเรื่องของช่องว่างของการจัดเก็บข้อมูล แล้วก็การบันทึกเรื่องการควบคุมตัว แสดงว่าตัวเลขของผู้ที่ถูกควบคุมตัวไม่ได้เป็นตัวเลขที่แท้จริง” อัญชนากล่าว

การแก้แค้นเอาคืน (Repraisal) ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบหลังจากการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ โดยปรากฏในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีและด้อยค่านักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือด้อยค่าผู้ร้องเรียน เป็นต้น แต่กรณีที่ร้ายแรงที่สุด คือการสังหารนายรอนิง ดอเลาะ อาสาสมัครของกลุ่มด้วยใจ ในวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2567

“รอนิง ดอเลาะ ถูกควบคุมตัว 5 ครั้ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2555 – 2565 เราก็ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเยียวยาด้านจิตใจ และเรื่องการรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชนและสันติภาพในพื้นที่ เขาก็เป็นผู้ที่สามารถสื่อสารเรื่องปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ การกระทำทรมาน การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม แล้วก็สุดท้ายเขาได้ไปพูดที่เวทีกรรมาธิการสันติภาพที่ จ. ยะลา เขาพูดถึงความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม จากกรณีที่มีการซ้อมทรมาน แล้วทหารก็เรียกเขาไปพบที่ร้านกาแฟ แล้วก็มีการข่มขู่เอาชีวิต สุดท้าย วันที่ 25 มิถุนายน เขาก็ถูกยิงเสียชีวิตโดยชายแต่งกายชุดทหาร 2 คน” อัญชนาเล่า

นอกจากนี้ นักปกป้องสิทธิฯ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังต้องเผชิญกับการข่มขู่ทางออนไลน์และการด้อยค่าต่างๆ ซึ่งตามกฎหมายระหว่างประเทศ การกระทำเหล่านี้ที่ทำให้นักปกป้องสิทธิฯ ไม่อาจส่งเสียงของตัวเองได้ ก็เข้าข่ายการทรมานเช่นกัน

ประเด็นอื่นๆ: ผู้ลี้ภัย ผู้ต้องขัง และความรุนแรงทางเพศ

สำหรับการทบทวนรายงานของคณะกรรมการ CAT ในครั้งนี้ สัณหวรรณระบุว่า ประเด็นที่คณะกรรมการน่าจะสนใจเป็นพิเศษ มี 2 ประเด็น ได้แก่ ผลจากการใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนกรณีต่างๆ

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีการติดตามผลจากข้อแนะนำและข้อเสนอแนะ ที่ทางคณะกรรมการเสนอเมื่อ 10 ปีก่อน ในประเด็นต่างๆ ได้แก่

ผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย:

– ติดตามเรื่องการแก้ไข พ.ร.บ. คนเข้าเมือง เพื่อให้มีการคุ้มครองคนที่เข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย หรือว่าผู้ขอลี้ภัย ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายนี้

– ประเด็นเรื่องสถานกักกันคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย (IDC) ของไทย ที่ขังคนเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยไม่มีกำหนด ซึ่งเป็นการปฏิบัติราวกับคนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์ ขณะที่ระบบคัดกรองผู้ลี้ภัยยังไม่มีผลบังคับใช้เท่าที่ควร

– ประเด็นเรื่องการส่งกลับผู้ลี้ภัย ประเทศไทยยังมีการส่งกลับผู้ลี้ภัยไปเผชิญความเสี่ยงในการถูกทรมาน ณ ประเทศต้นทาง เห็นได้จากกรณีของบาดั๊บ ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม

สถานที่ควบคุมตัว:

– จากการทบทวนรายงานเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไทยได้รับข้อคิดเห็นเรื่องความแออัดของเรือนจำ เนื่องจากสถานที่ควบคุมตัวที่แออัดและการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในเรือนจำของไทย หลายครั้งอยู่ในจุดที่เป็นการปฏิบัติที่โหดร้าย ไม่มีมนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีของผู้ต้องขัง รวมทั้งเรื่องสุขอนามัย การรักษาพยาบาล อาหาร น้ำ ความรุนแรงในเรือนจำ เช่น วิธีการกำหนดบทลงโทษของผู้ต้องขัง

– คณะกรรมการเสนอให้มีการตรวจสอบสถานที่คุมขัง โดยระบุว่า สถานที่คุมขังควรจะอนุญาตให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือ NGO เข้าไปเยี่ยมได้โดยไม่บอกล่วงหน้า ทว่าทุกวันนี้ยังต้องขออนุญาตก่อน ทำให้ยากแก่การตรวจสอบ

การใช้เครื่องพันธนาการ:

– เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คณะกรรมการขอให้ประเทศไทยยุติการใช้โซ่ตรวนถาวรกับนักโทษประหาร รวมถึงการใส่โซ่ตรวนเป็นมาตรการลงโทษ บางคนถูกขังเดี่ยว และถูกใส่โซ่ตรวน ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มองผู้ต้องขังเหมือนไม่ใช่มนุษย์

การคุมขังในคดียาเสพติด:

– ข้อมูลจาก สสส. กับ FIDH ระบุว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ถูกคุมขังยังเกินความจุของเรือนจำอยู่ถึง 126% ส่วนใหญ่เป็นคดียาเสพติดอยู่ถึง 69% แล้วก็เป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา ซึ่งศาลยังไม่ได้บอกว่าเขาทำความผิดถึง 18 – 23% แปลว่าจริงๆ เราใช้ 80 – 90% ไปแค่กับยาเสพติดและเคสที่ศาลยังไม่ตัดสิน

– กฎหมายยาเสพติดอาจเปิดช่องให้มีการคุมขังในช่วงแรก ใน 72 ชม. แต่ว่ากฎหมายระหว่างประเทศคือ 48 ชม. ซึ่งตรงกับกฎหมายอาญาของไทย คือ 48 ชม. ซึ่งคณะกรรมการเสนอให้ลดการคุมขังจาก 72 ชม. ลง และต้องพาตัวผู้ต้องหาไปยังสถานีตำรวจ แทนการพาตัวไปเซฟเฮาส์

ความรุนแรงทางเพศ:

สัณหวรรณกล่าวว่า ความรุนแรงทางเพศ แม้จะไม่ได้กระทำโดยรัฐ แต่ในมุมของกฎหมายระหว่างประเทศ อาจจะถึงขั้นเป็นการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีได้ เนื่องจากความรุนแรงทางเพศสามารถเป็นกลุ่มไหนก็ได้ ที่อยู่ในภาวะที่เขาไม่สามารถขัดขืนหรือต่อสู้ได้

“ในครั้งที่แล้ว ประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะมา เรื่องความรุนแรงทางเพศว่าคุณต้องไปแก้กฎหมาย เช่น กฎหมายอาญา รวมถึง พ.ร.บ. ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เนื่องจากพ.ร.บ. นี้กำหนดให้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นความผิดอันยอมความได้ แล้วก็จะต้องมีการที่เหยื่อจะต้องไปฟ้อง เจ้าหน้าที่รัฐถึงจะไปดำเนินการ รวมถึงสนับสนุนให้มีการไกล่เกลี่ยมากกว่าดำเนินคดี ซึ่งทั้งหมดมันเอื้อให้เกิดภาวะที่เหยื่อกลับไปสู่ความเสี่ยงอีกครั้ง ในกรณีของความรุนแรงในครอบครัว” สัณหวรรณกล่าว

อย่างไรก็ตาม สัณหวรรณระบุว่า ที่จริงแล้วมีความพยายามแก้ไข พ.ร.บ. ผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว แต่มีการออกพระราชกำหนดขึ้นมายับยั้งไม่ให้ใช้ พ.ร.บ. ดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยังไม่มีความพร้อม

นอกจากนี้ ปัญหาในการเข้าถึงความยุติธรรมของคดีความรุนแรงทางเพศก็ยังคงเหมือนเดิม เช่น ทัศนคติของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ในกรณีที่เป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ ที่ยังคงด้อยค่าเหยื่อ หรือการที่เหยื่อก็ยังต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่กระทำความผิดในศาล

จากการนำเสนอรายงานคู่ขนานของภาคประชาสังคม ก่อนการทบทวนรายงานของคณะกรรมการ CAT ปฏิเสธไม่ได้ว่าไทยยังคงต้องเผชิญกับข้อท้าทายมากมาย ทั้งการนิยามการทรมานที่กว้างขวางขึ้นของกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อเสนอแนะจากการทบทวนรายงานครั้งก่อน ที่หลายข้อยังไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไข อย่างไรก็ตาม ในการทบทวนรายงานครั้งนี้ ไทยจะได้รับข้อเสนอแนะอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง ก็เป็นสิ่งที่น่าจับตามองเช่นกัน