
เมียนมา: การจัดส่งน้ำมันเครื่องบินอย่างไม่รับผิดชอบยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การโจมตีทางอากาศเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
8 กรกฎาคม 2567
ข้อมูลสำคัญ
- ข้อมูลเผยยังมีการขนส่งน้ำมันเครื่องบินไปยังเมียนมา
- การสืบสวนเผยการโจมตีทางอากาศของกองทัพได้คร่าชีวิตพลเรือน 12 ราย บาดเจ็บ 26 ราย ในการโจมตีวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในเมืองมาเกว ภาคกลางของเมียนมา
- ผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งบอกกับแอมเนสตี้ว่าเพื่อนของเขาถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาบนถนน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกหลักฐานการขนส่งน้ำมันเครื่องบินครั้งใหม่ไปยังเมียนมา แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากทั่วโลกให้ตัดทรัพยากรที่จำเป็นในการดำเนินการโจมตีทางอากาศอย่างผิดกฎหมายของกองทัพเมียนมา
ในเดือนมกราคม 2567 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เปิดเผยกลยุทธ์การหลีกเลี่ยงใหม่ของกองทัพเมียนมาในการนำเข้าน้ำมันเครื่องบินตลอดปี 2566 หลังจากการคว่ำบาตรในห่วงโซ่อุปทานบางส่วน
รูปแบบดังกล่าวยังคงดำเนินต่อเนื่องโดยมีการขนส่งน้ำมันเครื่องบินเพิ่มเติมอย่างน้อย 2-3 ครั้งเข้ามาในประเทศระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายนปีนี้ เช่นเดียวกับการขนส่งครั้งก่อนๆ ที่ระบุโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในเดือนมกราคม น้ำมันดังกล่าวถูกซื้อและขายหลายครั้งก่อนที่จะถึงการขนส่งเที่ยวสุดท้ายในเวียดนามและก่อนการขนส่งต่อไปยังเมียนมา
ในสองครั้งนี้ เรือบรรทุกน้ำมัน HUITONG78 ของจีนได้ขนส่งน้ำมันจากเวียดนามไปยังเมียนมา ขณะที่บริษัทอื่นๆ ดูเหมือนจะมีบทบาทในห่วงโซ่อุปทานเช่นกัน รวมถึง Sahara Energy International Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทค้าน้ำมันในสิงคโปร์ และ CNOOC Trading (Singapore) Pte. Ltd. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน (SOE) ทั้งนี้ในส่วนการจัดส่งครั้งที่สามโดย HUITONG78 ดูเหมือนว่าจะมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และถึงเมียนมาในเดือนพฤษภาคม 2567
อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่าน้ำมันถูกใช้อย่างไรหลังจากที่มาถึง แต่การควบคุมท่าเรือโดยกองทัพนั้นมีความเสี่ยงอย่างมากที่น้ำมันดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่สำหรับพลเรือน
“กองทัพเมียนมาพึ่งพาเรือจีนและบริษัทเวียดนามแบบเดิมในการนำเข้าเชื่อเพลิงเครื่องบิน แม้ว่าแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจะได้เปิดโปงห่วงโซ่อุปทานที่ไม่รับผิดชอบนี้แล้วก็ตาม” แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว”
อ่านต่อ: https://bit.ly/3xYBSIg
—–

ยูเครน: โรงพยาบาลเด็กในยูเครนโดนขีปนาวุธของรัสเซียถล่มจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายทั่วประเทศ
8 กรกฎาคม 2567
จากเหตุการณ์การโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียอย่างหนักครั้งล่าสุด ซึ่งคร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบคนทั่วยูเครน และโจมตีสถานพยาบาลสำคัญๆ ในเคียฟ รวมถึงอาคาร 5 หลังของโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง
มารี สตรัทเธอร์ส ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง กล่าวว่า การโจมตีโรงพยาบาล รวมถึงอาคารที่พักอาศัยและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเป็นสิ่งที่อัปยศและการกระทำใดๆ ที่มุ่งเป้าหรือไม่คำนึงถึงพลเรือนจะต้องถูกประณามอย่างชัดเจน
ขณะที่หลักฐานมีอยู่อย่างแพร่หลายในตอนนี้และบางส่วนได้รับการยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รวมถึงวิดีโอการโจมตีที่ทำลายโรงพยาบาลเด็กโอห์แมตดิตในเคียฟ แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าโรงพยาบาลถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อน (Cruise Missile) ของรัสเซีย
ความพยายามของรัสเซียที่จะกล่าวโทษไปที่การป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนแสดงให้เห็นถึงความเหี้ยมโหด ซึ่งพยายามเบี่ยงเบนความรับผิดชอบของรัสเซียในการสังหารพลเรือนและทำลายสถานพยาบาล
“ภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่เราเห็นจากจุดเกิดเหตุโจมตีสองรอบในเคียฟวันนี้ เป็นการเตือนใจถึงความโหดร้ายของการรุกรานยูเครนของรัสเซีย จำนวนพลเรือนที่ถูกสังหารทั่วประเทศเพิ่มขึ้นตลอดเวลา รวมถึงการโจมตีด้วยขีปนาวุธอื่นๆ ในวันนี้ที่เมืองครีวีริห์ เมืองโพครอฟสก์ เมืองดนิโปรและเมืองสลอฟยานสก์“
ข้อมูลพื้นฐาน
ตามรายงานของทางการยูเครน รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธมากกว่า 40 ลูกใส่เมืองต่างๆ ทั่วยูเครนเมื่อเช้าวันที่ 8 กรกฎาคม
มีรายงานว่าในกรุงเคียฟ มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 22 รายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากถึง 72 ราย ขณะที่เมืองครีวีริห์ มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 10 รายและบาดเจ็บมากกว่า 30 ราย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตทั่วประเทศ
ขีปนาวุธลูกแรกที่โจมตีกรุงเคียฟได้ทำลายพื้นที่ส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเด็กรายใหญ่ในเมืองโอห์แมตดิต และสร้างความเสียหายให้กับอาคาร 5 หลัง
การโจมตีที่ตามมาบางส่วนได้ทำลายอาคารอีกหลังหนึ่งในเคียฟ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลผดุงครรภ์อิซิดา และศูนย์การแพทย์อโดนิส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับรายงานเพิ่มขึ้นในขณะที่กำลังมีการรื้อถอนซากปรักหักพังต่างๆ
อ่านต่อ: https://bit.ly/3zDVkKB
—–

เบลารุส: อาเลส เบียเลียตสกี ผู้ได้รับรางวัลโนเบลต้องได้รับการปล่อยตัวหลังมีรายงานสุขภาพทรุดโทรม
12 กรกฎาคม 2567
เนื่องในโอกาสครบรอบสามปีของการจำคุก อาเลส เบียเลียตสกี ประธานศูนย์สิทธิมนุษยชน Viasna และผู้นำภาคพลเมืองซึ่งรณรงค์เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในประเทศเบลารุส รวมทั้งองค์กรภาคประชาชน “เมโมเรียล” (Memorial) ในรัสเซีย และศูนย์เพื่อเสรีภาพพลเมือง (Center for Civil Liberty) ของยูเครน ทั้งยังเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2565 ซึ่งมีรายงานว่าสุขภาพของเขากำลังทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว
มารี สตรัทเธอร์ส ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง กล่าวว่า ขณะที่เราเตรียมงานเพื่อรำลึกถึงการครบรอบ 3 ปีนับตั้งแต่การคุมขังอาเลส เบียเลียตสกีและเพื่อนร่วมงานของเขา เรายังคงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขา เราเรียกร้องอีกครั้งให้ปล่อยตัวพวกเขาโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข และขอให้พวกเขาเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมทันที ตลอดจนทนายความและญาติของพวกเขา
ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2566 อาเลส เบียเลียตสกีถูกย้ายไปยังทัณฑสถานหมายเลข 9 ในเมืองฮอร์กี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธพัสดุที่บรรจุเวชภัณฑ์จากญาติของอาเลส เบียเลียตสกี ส่งผลให้สุขภาพของเขาอยู่ในภาวะอันตรายนอกเหนือจากผลกระทบจากการจำคุกที่มีแรงจูงใจทางการเมืองก่อนหน้านี้
อาเลสเและเพื่อนร่วมงานตกเป็นเป้าหมายเนื่องจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการสมาคม รวมทั้งการดำเนินงานที่สำคัญเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน ข้อลักลอบขนคนเข้าเมืองและการกล่าวหาว่ากิจกรรมทางการเงินขัดขวางความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้นไม่มีมูลความจริง และการพิพากษาลงโทษพวกเขาถือเป็นความล้มเหลวอย่างร้ายแรงของความยุติธรรม
การคุมขังพวกเขาอย่างต่อเนื่องถือเป็นการใช้ระบบยุติธรรมทางอาญาโดยมิชอบอย่างโจ่งแจ้ง มุ่งเป้าเพื่อปิดปากผู้เห็นต่างและปราบปรามภาคประชาสังคมในเบลารุส
ข้อมูลพื้นฐาน
อาเลส เบียเลียตสกีถูกจับกุมเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 พร้อมกับวาเลียนซิน สเตฟาโนวิช รองประธานศูนย์ Viasna และ อูลัดซิเมียร์ ลับโควิชทนายความของ Viasna
ทั้งสามถูกดำเนินคดีท่ามกลางความพยายามบันทึกการละเมิดอย่างกว้างขวางโดยทางการเบลารุสในระหว่างและหลังจากการชุมนุมประท้วงโดยสงบครั้งใหญ่ในปี 2563 ต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่มีการโต้แย้งกันอย่างกว้างขวาง
Viasna ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ กลายเป็นเครื่องมือในการเปิดเผยและบันทึกข้อมูลการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาล
ทั้งนี้งานขององค์กรเน้นย้ำถึงกรณีที่เกี่ยวกับการจับกุมโดยพลการ การทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้าย และการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรม
อ่านต่อ: https://bit.ly/4bOpqs9
—–
ปากีสถาน: การขยายเวลาให้ผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ขึ้นทะเบียนกับยูเอ็นออกไปอีก 1 ปีถือเป็นก้าวแรกที่น่ายินดี ชี้มาตรการนี้ต้องขยายไปถึงทุกคน
11 กรกฎาคม 2567
สืบเนื่องจากการประกาศเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ว่ารัฐบาลปากีสถานได้ตกลงที่จะขยายเวลาออกไปอีก 1 ปีให้กับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันมากกว่า 1.45 ล้านคนที่ถือบัตรลงทะเบียน (PoR) ที่ออกโดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในประเทศ
ธยากิ รูวันปาธิรานา นักวิจัยภูมิภาคเอเชียใต้ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การตัดสินใจของรัฐบาลปากีสถานในการขยายเวลาการพำนักของผู้ถือบัตร PoR ออกไปอีก 1 ปีเป็นพัฒนาการที่น่ายินดี อย่างไรก็ตาม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้รัฐบาลปากีสถานดำเนินมาตรการขยายระยะเวลานี้ไปยังผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันทั้งหมดในปากีสถานและยุติแผนการส่งตัวชาวต่างชาติที่ผิดกฎหมายอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนในอนาคตของผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันมากกว่า 2.1 ล้านคนต้องยุติลง
มาตรการในปัจจุบันยังคงทำให้ผู้ถือบัตรประชาชนอัฟกานิสถาน (ACC) และผู้ที่ยังไม่มีเอกสารเสี่ยงที่จะถูกบังคับเดินทางกลับประเทศและอาจถูกคุกคามต่อไป ทางการปากีสถานทราบดีอยู่แล้วภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นที่ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กผู้หญิง หากถูกบังคับให้กลับอัฟกานิสถาน
“เราขอเรียกร้องอีกครั้งให้รัฐบาลปากีสถานหยุดการส่งกลับโดยบังคับทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับหลักการไม่ส่งกลับที่ให้สัตยาบันในอนุสัญญาผู้ลี้ภัยปี 2494 และพิธีสารปี 2510 และพัฒนากรอบกฎหมายระดับชาติสำหรับการลี้ภัยและการคุ้มครองระหว่างประเทศรูปแบบอื่นๆ ตามกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลจะต้องดำเนินการในเรื่องนี้ทันทีเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันต้องเผชิญ”
ข้อมูลพื้นฐาน
ในเดือนตุลาคม 2566 รัฐบาลปากีสถานได้ประกาศแผนการส่งตัวชาวต่างชาติที่ผิดกฎหมายกลับประเทศ นับตั้งแต่นั้นมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกถึงการขาดความโปร่งใส ขาดกระบวนการที่เหมาะสม และขาดความรับผิดโดยสิ้นเชิงในการคุมขังและการส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันในปากีสถานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งยิ่งเลวร้ายลงจากการคุกคามและความเกลียดชังผู้ลี้ภัยที่เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) รายงานว่าผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถานมากกว่า 639,000 คนได้เดินทางออกจากปากีสถานเพื่อกลับไปยังอัฟกานิสถานที่ขณะนี้กลุ่มตาลีบันควบคุมอยู่
เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม รัฐบาลปากีสถานได้ประกาศขยายเวลา 1 ปีสำหรับบัตรลงทะเบียน (PoR) ของผู้ลี้ภัยชาวอัฟกัน ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ลงทะเบียนแล้ว 1.45 ล้านคนอยู่ในปากีสถานได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 แต่ยังคงทิ้งชะตากรรมของผู้ถือบัตรประชาชนอัฟกานิสถาน (ACC) จำนวน 80,000 คนและผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเอกสารอีกหลายพันคนไว้ในความไม่แน่นอน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าให้รัฐบาลปากีสถานยุติการบังคับส่งกลับทั้งหมด
อ่านต่อ: https://bit.ly/3S1N1P1
—–
อิสราเอล-ดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง : กลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ต้องปล่อยตัวประกันพลเรือนในฉนวนกาซาทันที
4 กรกฎาคม 2567
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้ฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ต้องปล่อยตัวพลเรือนที่ถูกจับเป็นตัวประกันในเขตกาซาที่ถูกยึดครองตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทันที
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้คนนับหมื่นออกมาเดินขบวนบนท้องถนนทั่วอิสราเอล เรียกร้องให้ทางการอิสราเอลตกลงหยุดยิงและเจรจาปล่อยตัวประกัน ขณะที่ครอบครัวของตัวประกันยังคงเดินขบวนจากเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเลมในวันนี้ (4 กรกฎาคม) เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนผู้เป็นที่รัก และเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลตกลงหยุดยิงในขณะที่การเจรจากลับมาดำเนินต่อในสัปดาห์นี้
ขณะเดียวกันมีการสันนิษฐานว่ามีประชาชนประมาณ 116 รายถูกจับเป็นตัวประกันหรือถูกคุมขังโดยกลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ในฉนวนกาซานับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 43 รายที่ได้รับการยืนยันจากทางการอิสราเอล และเชื่อว่ามีพลเรือนอย่างน้อย 79 รายถูกคุมขัง
จากรายงานของ Hostages and Missing Families Forum ในอิสราเอล พบว่าได้รับสัญญาณชีวิตจากตัวประกัน 33 รายเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่ถูกคุมขัง ตัวประกันถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงผู้สังเกตการณ์อิสระ ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เพื่อประเมินสุขภาพหรือสภาพการควบคุมตัวของพวกเขา
เอริกา เกบารา-โรซาส ผู้อำนวยการอาวุโสด้านงานวิจัย การผลักดันเชิงนโยบาย และการรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การจับตัวประกันถือเป็นอาชญากรรมสงคราม ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ถูกจับเป็นตัวประกันเป็นระยะเวลากว่า 9 เดือนแล้วและอยู่ห่างจากคนผู้เป็นที่รัก ไม่มีเหตุผลใดที่เหมาะสมในการสร้างความบอบช้ำทางจิตใจและความปวดร้าวแก่พวกเขาและครอบครัวของพวกเขา”
เอริกา เกวารา-โรซาสกล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้กลุ่มฮามาสและกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ปล่อยตัวประกันที่เป็นพลเรือนทั้งหมดโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข ผู้ที่ถูกคุมขังทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมและได้รับการคุ้มครองจากการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ และต้องเข้าถึง ICRC ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้เจ็บป่วยและผู้บาดเจ็บจะต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์
แม้จะมีมติเมื่อวันที่ 10 มิถุนายนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดยิงทันที แต่การเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงที่เป็นไปได้ในการปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลและนักโทษชาวปาเลสไตน์เพิ่มเติม จนถึงขณะนี้กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่เป็นบวก
ท่ามกลางการทิ้งระเบิดและการปฏิบัติการภาคพื้นดินอย่างไม่หยุดยั้งของอิสราเอลในฉนวนกาซา อันตรายต่อพลเรือน ไม่ว่าพลเรือนชาวปาเลสไตน์หรือตัวประกันจะยังคงเพิ่มมากขึ้น
“การโจมตีฉนวนกาซาอย่างโหดร้ายของอิสราเอลซึ่งส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 38,000 ราย ก่อให้เกิดภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของโลก วิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวประกันชาวอิสราเอลในฉนวนกาซา การหยุดยิงของทุกฝ่ายเป็นขั้นตอนเร่งด่วนที่สุดในการบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้คนจำนวนมาก ป้องกันการสูญเสียชีวิตเพิ่มเติม และประกันการปกป้องพลเรือนทุกคน”
อ่านต่อ: https://bit.ly/465WE5h