หลังการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ แอมเนสตี้กล่าวย้ำว่า ทุกประเทศต้องยุติการขายอาวุธให้กับกองทัพเมียนมา ตามมติโดยทันที เพื่อยุติความรุนแรงและการใช้กำลังในพื้นที่
มติดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก 119 ประเทศ แม้จะถูกคัดค้านจาก 1 ประเทศคือเบลารุส และ 36 ประเทศงดออกเสียง รวมถึงประเทศไทย ทำให้รัฐสมาชิกต้องเลี่ยงการส่งอาวุธไปพม่า โดยที่ผ่านมาได้ประณามการปราบปรามภาคประชาสังคม และประชาชนผู้ชุมนุมโดยสงบ พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขัง และยุติการจำกัดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนโดยทันที
ลอว์เรนซ์ มอส ผู้สนับสนุนอาวุโสสหประชาชาติของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในฐานะที่เป็นกระบอกเสียงของมนุษยชาติร่วมกับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการประณามกองทัพเมียนมาที่ได้เข่นฆ่าชีวิตประชาชนในชาติ
“กองทัพเมียนมาจะต้องตอบรับต่อมติสมัชชาสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และต้องบังคับใช้มาตรการดังกล่าว”
นับตั้งแต่กองทัพได้รัฐประหารรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ผู้ชุมนุมกว่า 870 คนถูกคร่าชีวิตโดยกองทัพ อีกกว่า 4,938 รายถูกจับกุม รวมถึงสิทธิในเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบก็ได้ถูกพรากไปด้วย ทางการยังได้สั่งปิดสื่อมวลชน ระงับอินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย
มติสมัชชาสหประชาชาตินี้จึงมีขึ้นเพื่อให้เมียนมาปล่อยตัวผู้นำทางการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และคนอื่นๆ ทั้งหมดที่ถูกควบคุมตัวโดยพลการ “โดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข” และเพื่อยุติข้อจำกัดด้านบุคลากรทางการแพทย์ ภาคประชาสังคม สมาชิกสหภาพแรงงาน นักข่าวและพนักงานสื่อ และข้อจำกัดบนอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย
มติของสหประชาชาติยังระบุถึงการสอบสวนของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ที่กำลังดำเนินการเรื่องอาชญากรรมการทารุณในบังกลาเทศและเมียนมา โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงสถานการณ์ในเมียนมาโดยรวมต่อ ICC และกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อเจ้าหน้าที่ทหารที่รับผิดชอบในการก่ออาชญากรรมภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
มติดังกล่าวได้ผ่านการเจรจากันระหว่าง 9 ประเทศสมาชิกของประชาคมอาเซียน และกลุ่มแกนหลักจากกว่า 50 รัฐที่สนับสนุนมติดังกล่าว
“หลังเจรจาเรื่องข้อความในมตินี้แล้ว เราได้พบความล้มเหลวในสี่รัฐสมาชิกของประชาคมอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ลาว และประเทศไทย ที่ยังคงสนับสนุนคะแนนเสียงที่ไม่เป็นผลดีต่อความสำเร็จของการเจรจานี้ และกระบวนการไกล่เกลี่ยต่าง ๆ ที่อาเซียนอ้างว่าเป็นผู้นำ”