คนไทยกับวันยุติโทษประหารชีวิตสากล

9 ตุลาคม 2563

Amnesty International Thailand

โดย สมศรี หาญอนันทสุข สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)

เดือนตุลาคมของทุกปี มีวันสำคัญของประเทศไทยหลายวัน แต่มีวันสำคัญในระดับสากลอยู่วันหนึ่งที่คนไทยไม่ให้ความสำคัญคือวัน “ยุติโทษประหารชีวิตสากล” คือวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับรู้มากนัก หรืออาจจะไม่อยากกล่าวถึง เพราะเห็นว่าการเรียกร้องให้ยุติโทษประหารชีวิตเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่สุดโต่ง เข้ากันไม่ได้กับวัฒนธรรมการลงโทษผู้กระทำผิดในสังคมไทย แม้ทั่วโลกมีการยกเลิกโทษประหารฯ สำหรับทุกคดีอาญาทุกประเภทไปแล้ว 106 ประเทศ (Abolitionist Countries) มี 28 ประเทศที่ยกเลิกในทางปฏิบัติแต่ยังไม่ยกเลิกในทางกฎหมาย  ส่วนประเทศที่ยังมีการประหารชีวิตในทางปฏิบัติอยู่ 56ประเทศ (Retentionist Countries) หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย เมื่อยังมีหลายประเทศที่มีโทษประหารฯเหมือนไทย ประเทศไทยจึงไม่ใช่ประเทศเดียวในโลก และผู้นำไทยส่วนใหญ่จึงขอให้เราเป็นประเทศท้ายๆที่จะยกเลิกการลงโทษประหารชีวิต

 

แม้ไทยมีกฎหมายคงโทษประหารชีวิตไว้อยู่ก็จริง แต่ก็ไม่มีการบังคับใช้โทษในทางปฏิบัติมากเท่าประเทศจีน อิรัก อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย หรืออีกหลายๆ ประเทศ และบางปีไม่มีการฉีดยาประหารใครเลย นักโทษประหารชีวิตของไทยที่มีอยู่ 333 คน ในขณะนี้ (เป็นชาย 290 คนและหญิง 43 คน ข้อมูล กรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2563 ) จึงยังมีชีวิตอยู่ แต่จะมีความทุกข์ทรมานเพียงใด พวกเขาเท่านั้นที่รับรู้ได้อย่างแท้จริง  จำนวนดังกล่าวถือว่าไม่มากหากเทียบกับนักโทษทั่วประเทศ 358,369 คน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องโทษคดียาเสพติด (สถิติจากกรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563)

 

วันยุติโทษประหารชีวิตสากล ถูกกำหนดจากการประชุมร่วมกันขององค์กรต่างๆ ที่พบปะกันที่กรุงโรมประเทศอิตาลีเมื่อปี 2543 และมีมติกำหนดให้วันที่ 10  ตุลาคมของทุกปี เป็นวันที่ทั่วโลกรณรงค์เรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต สร้างการรับรู้ถึงข้อเสียของโทษดังกล่าวและเรียกร้องให้ทุกประเทศลงนามในพิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ฉบับที่ 2 เพื่อการยุติโทษประหารฯ (Second Optional Protocol to the ICCPR, aiming at the abolition of death penalty) ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่ยังไม่เข้าเป็นภาคี แต่ไทยเข้าเป็นภาคี ICCPR ฉบับหลัก โดยการภาคยานุวัติ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ.2539 และมีผลใช้บังคับกับไทยเมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2540

 

ต่อมามีการรวมตัวกันจัดงานระดับโลกโดยกลุ่มแนวร่วมที่เรียกว่าthe World Coalition Against the Death Penalty ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา โดยมีสมาชิกเข้าร่วมถึง 150 องค์กร รวมทั้งองค์กรแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ได้รณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชนในทุกมุมโลกจนเป็นผลให้หลายประเทศทยอยยกเลิกโทษประหารฯและเปลี่ยนมาเป็นการลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแทนในปัจจุบัน แม้กระทั่งประเทศสหรัฐอเมริกาก็ทยอยยกเลิกไปแล้ว 21 รัฐ เช่นกัน

 

เหตุผลที่สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) ยังคงเรียกร้องให้นำโทษจำคุกตลอดชีวิตมาใช้บังคับโทษแทนการประหารชีวิตนั้นเพราะเห็นว่า

  1. ประเทศไทยมีความอ่อนแอทางด้านกระบวนการยุติธรรมมากเกินไป ยังไม่มีมาตรฐานมากพอที่จะให้หลักประกันความแม่นยำถูกต้องในการได้พยานหลักฐานที่ดีพอสำหรับคดีอาญา มีการบังคับใช้กฎหมายตามอำเภอใจ ฉ้อฉล ไม่โปร่งใส และมีระบบอุปถัมภ์ที่หยั่งรากลึกในสังคมมาหลายสิบปี สุ่มเสี่ยงต่อการลงโทษผิดคน ใช้ดุลพินิจลงโทษเกินจริง หรือลงโทษไม่ได้สัดส่วนกับความผิด ยิ่งหากมีโทษประหารฯรองรับความผิดพลาดได้เช่นนี้ต่อไป จะยิ่งทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยสั่นคลอน ไม่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น 
  2. ในวงการงานยุติธรรมไทยมีบุคลากรส่วนใหญ่ทำงานให้ความเป็นธรรมโดยปราศจากความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่คำนึงถึงรากเหง้าที่มาของการกระทำผิดทางอาญาร้ายแรง มุ่งเน้นการชี้นิ้วไปที่ผู้กระทำผิดโดยไม่มองปูมหลังต้นเหตุในชีวิต ครอบครัวและสังคมที่ผู้กระทำผิดคลุกคลีอยู่ก่อนหน้านั้น  ยังมีการทำงานตามกระแสสังคมกับกระแสสื่อที่ปั่นให้เรื่องเป็นไปตามที่ตนอยากให้เป็น  ไม่ยอมรับการพัฒนา เปลี่ยนแปลง ไม่ยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อความถูกต้อง มั่นคงในชีวิต และความผาสุกของปวงชนชาวไทย
  3. งานยุติธรรมไทยยังมุ่งเน้นการปราบปรามอาชญากรรม ไม่ทำงานเชิงรุกเพื่อปกป้องเหยื่ออาชญากรรม ไม่กล้าปลดปล่อยผู้บริสุทธิ์ และไม่ป้องปรามหรือขจัดเงื่อนไขที่ทำให้เกิดอาชญากรรม อีกทั้งไม่แทรกแซงเมื่อรู้ว่าจะเกิดการกระทำผิดร้ายแรง ปัญหาที่หนักกว่านั้นในขณะนี้คือบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมจำนวนมากทำผิดอาญาเสียเอง แล้วโยนความผิดให้ผู้อื่นต้องรับชะตากรรมแทน เช่นการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การซ้อมทรมาน ลักพาตัว ฯลฯ
  4. การจำกัดเสรีภาพนักโทษในระยะเวลายาวนานหรือตลอดไป ถือเป็นการลงโทษอย่างแท้จริง ควรจะเพียงพอ สาสม และไม่ก่อบาปแก่ผู้ประหารฯหรือสั่งประหารฯ คนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนพุทธไม่ควรปล่อยให้รัฐก่ออาชญากรรมด้วยการเป็นผู้สังหารใครให้ตายตกไปตามกัน เพราะรัฐไม่ใช่คู่กรณีหรือไม่มีสิทธิที่จะเอาชีวิตใคร รัฐมีหน้าที่ที่จะแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี แม้ผู้กระทำผิดจะใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นมาก่อนแล้วก็ตาม (Heinous Crime) แต่รัฐต้องมีวุฒิภาวะมากพอที่จะเป็นผู้นำ กล้าเป็นผู้ริเริ่มในเรื่องคุณธรรมจริยธรรมโดยไม่คอยให้คนทั้งประเทศเห็นพ้องต้องกันเสียก่อน เพราะเรื่องความเป็นความตายของคนไม่สามารถคอยได้ เช่นเดียวกับความปลอดภัยของประชาชนก็คอยไม่ได้เช่นกัน 
  5. การสร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคม (New Norm) โดยนำโทษจำคุกตลอดชีวิต (Life Sentence) มาบังคับใช้แทนโทษประหารฯ (Capital Punishment) อย่างถาวร จะทำให้คนในสังคมเคยชินกับการลงโทษสูงสุดในลักษณะใหม่  จนกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่สอดคล้องกับหลักการศาสนา และหลักสิทธิมนุษยชน จึงไม่จำเป็นที่ไทยต้องมีโทษประหารชีวิตอีกต่อไป 
  6. หากการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนเฝ้าคอยประสบความสำเร็จ คนไทยจะเกรงขามการบังคับใช้กฎหมายที่ตรงไปตรงมา และเมื่อมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุลกันภายในทั้งตำรวจ อัยการ ศาล ฝ่ายปกครอง และนิติวิทยาศาสตร์ ก็จะยิ่งทำให้คนไทยมีที่พึ่ง คนไม่กล้าทำผิด จะไม่มีคนผิดลอยนวลได้โดยง่ายอีก เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะกลัว “การทำผิดแล้วถูกจับได้ มากกว่าทำผิดแล้ววิ่งเต้นได้”  ซึ่งไม่ว่าจะคิดแบบแรกหรือแบบหลัง การมีโทษประหารฯก็ไม่ได้มีความหมายอะไร การยกเลิกโทษดังกล่าวจะยังช่วยปกป้องบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้ดุลพินิจที่ผิดพลาด สามารถคืนชีวิตให้ผู้บริสุทธิ์สู่สังคมได้

 

ในโอกาสของวันยุติโทษประหารชีวิตสากลที่ไม่มีการไปชุมนุมรวมตัวกันระดับโลกเพราะอุปสรรคจากการระบาดของไวรัส COVID 19 จึงไม่มีตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปประชุมเหมือนทุกปี  แต่มีข้อเสนอที่น่าสนใจว่า “เมื่อประเทศไทยกำลังมีการผลักดันให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอย่างแข็งขัน เหตุใดเราจะไม่ปฏิรูปการลงโทษทางอาญาไปด้วย ทั้งที่ “โทษประหารชีวิต” เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้เป็นสากล ให้เป็นที่ยอมรับของทุกประเทศ ขณะเดียวกันการเยียวยาผู้เคราะห์ร้ายหรือเหยื่ออาชญากรรม รัฐก็ต้องดูแลพวกเขาหรือครอบครัวผู้สูญเสียทั้งกายและใจ มีการชดเชยอย่างจริงจัง ทั้งสองส่วนนี้ต้องทำไปด้วยกัน ไม่ถูกละเลย” นายนิกร วีสเพ็ญ ประธาน สสส.กล่าว