สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม


สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (Economic, Social and Cultural Rights) ถูกรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในข้อ 22-27 และมีการรับรองและบังคับใช้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights – ICESCR) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีที่มีผลผูกพันทางกฎหมายกับรัฐที่เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญา โดยรัฐภาคีจะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของสนธิสัญญานี้อีกด้วย และไทยได้เข้าเป็นภาคีโดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2542 และมีผลใช้บังคับกับไทยเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542

สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม มีดังนี้

  • สิทธิในการทำงาน ได้แก่ เสรีภาพจากการบังคับใช้แรงงาน สิทธิในการตัดสินใจรับหรือเลือกงานได้อย่างเสรี สิทธิในการได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับงานที่มีคุณค่าเท่ากัน สิทธิในการพักผ่อนและจำกัดเวลาทำงานที่เหมาะสม สิทธิในการมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขอนามัย สิทธิในการก่อตั้งหรือเข้าร่วมสหภาพแรงงานและสิทธิในการนัดหยุดงาน
  • สิทธิที่จะได้รับสวัสดิการและประกันสังคม ได้แก่  สิทธิที่จะไม่ถูกยกเลิกประกันสังคม สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองในกรณีที่ว่างงาน เจ็บป่วย ชราภาพหรือขาดการดำรงชีพอื่นๆ ในสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุม
  • สิทธิในชีวิตครอบครัว ได้แก่ สิทธิในการสมรส แม่และเด็กต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษทั้งก่อน ระหว่างและหลังคลอดบุตร การคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม
  • สิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ ได้แก่ สิทธิในการเข้าถึงอาหาร น้ำสะอาด เครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัยอย่างเพียงพอ สิทธิที่จะปลอดจากความหิวโหย
  • สิทธิในสุขภาพ ได้แก่ สิทธิที่จะมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี สิทธิในการเข้าถึงบริการสาธารณสุข สิทธิที่จะได้รับการป้องกันจากโรคระบาด สิทธิที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์
  • สิทธิในการศึกษา ได้แก่ สิทธิในการได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษาภาคบังคับแบบให้เปล่า สิทธิในการได้รับการศึกษาชั้นมัธยมและระดับอุดมศึกษา พ่อแม่หรือผู้ปกครองมีเสรีภาพในการเลือกโรงเรียนสำหรับบุตรหลานของตน
  • สิทธิทางวัฒนธรรม ได้แก่ สิทธิในการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม สิทธิที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการคุ้มครองผลประโยชน์ทางด้านศีลธรรมและทางวัตถุอันเกิดจากการผลิตทางวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมหรือศิลปกรรมที่ตนเป็นผู้สร้างสรรค์

ทำไมสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมจึงสำคัญ?

เด็กคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถขับเคลื่อนประเทศได้อย่างไร หากไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่ได้รับอาหารที่มีสารอาหารเพียงพอต่อความสมบูรณ์ของร่างกาย ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการมีสุขภาพกายและจิตที่ดี ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถูกเลือกปฏิบัติในการจ้างงานหรือไม่ได้รับค่าแรงที่เหมาะสม ถูกเลือกปฏิบัติหรือไม่ถูกยอมรับในวัฒนธรรม ไม่ได้รับสื่อและไม่สามารถใช้ภาษาที่ตนเข้าใจ (ภาษาของชนกลุ่มน้อยหรือชนเผ่าพื้นเมือง) ในการสื่อสารกับสังคมและรัฐ ดังนั้น สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในฐานะสิทธิมนุษยชนจึงมีความสำคัญต่อทุกคน ทั้งต่อการพัฒนาความมั่นคงของมนุษย์ ต่อการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของประเทศ และต่อระบอบประชาธิปไตย

ความล้มเหลวในการปกป้องสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมย่อมส่งผลเสียต่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ทั้งหมด แม้แต่ในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่มั่งคั่งหรือมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ก็ยังมีบุคคลและกลุ่มคนจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับความยากจนและความไม่เท่าเทียม หรือดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ขาดการเข้าถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมนี้ยังมีผลกระทบต่อชีวิตทางการเมืองและการเข้าถึงความยุติธรรมอีกด้วย

การละเมิดสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบและความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมยังสามารถเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งและทำให้การฟื้นฟูความเสียหายอันเนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมเป็นไปได้ยาก เช่น การเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน การใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) การบังคับไล่ที่กลุ่มคนหรือชนเผ่าพื้นเมืองออกจากถิ่นเดิม เป็นต้น

นอกจากนี้ การละเลยการปกป้องหรือการละเมิดสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมยังนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆ เช่น บุคคลยากไร้หรือคนไร้บ้านที่ไม่ได้รับการคุ้มครองในสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมจากรัฐไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพออย่างสิทธิในที่อยู่อาศัย และมักจะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการศึกษาและสิทธิในการทำงานด้วย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มักจะไม่ได้มีส่วนร่วมทางการเมืองหรือใช้สิทธิในการแสดงออก เป็นต้น

อีกทั้งกลุ่มคนชายขอบ (marginalized group) เช่น คนพิการ สมาชิกชนกลุ่มน้อย ชนเผ่าพื้นเมือง ผู้พลัดถิ่น ผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัยหรือแรงงานข้ามชาติ เป็นกลุ่มคนที่มักจะถูกเลือกปฏิบัติและถูกสังคมกีดกันเนื่องจากอัตลักษณ์ของพวกเขา สถานะทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองหรืออื่นๆ ที่ไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ในสังคมหรือสังคมกระแสหลัก ทำให้ถูกละเมิดสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมจากคนในสังคมและจากรัฐ

กลุ่มคนเหล่านี้มักถูกรัฐมองข้ามและทำให้ไม่ได้รับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอย่างเพียงพอต่อการดำรงชีวิต เสียงของพวกเขามักจะไม่ถูกสะท้อนไปถึงกฎหมาย นโยบายสาธารณะหรือการพัฒนาของรัฐ เนื่องจากนโยบายสาธารณะมักจะสะท้อนเสียงและความต้องการของผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง โดยเฉพาะจากการเลือกตั้ง รัฐมักปกป้องสิทธิทางสังคมและตอบสนองความต้องการของชนชั้นกลางและออกนโยบายเศรษฐกิจที่ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มอุตสาหกรรมหรือนายทุน

สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ต่างกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองหรือไม่?

การทำให้สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเกิดขึ้นได้จริง ต้องอาศัยการกระทำและไม่กระทำการจากรัฐ กล่าวคือ รัฐจะต้องใช้เงิน ทรัพยากร ซึ่งรวมไปถึงทรัพยากรบุคคลจำนวนมากในการที่จะทำให้สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเกิดขึ้นจริง ในขณะเดียวกัน การไม่แทรกแซงเสรีภาพของปัจเจกโดยรัฐก็จำเป็นต่อสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การจัดตั้งหรือเข้าร่วมสหภาพแรงงาน หรือเสรีภาพของบุคคลในการเลือกงาน สิทธิในการเลือกโรงเรียนให้บุตร สิทธิในการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม เป็นต้น

และเมื่อพูดถึงสิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมือง มักจะนึกถึงหน้าที่ของรัฐในการไม่แทรกแซงเสรีภาพของปัจเจกเพื่อทำให้สิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมืองนั้นเกิดขึ้นและสามารถใช้ได้จริง นอกจากการละเว้นการกระทำของรัฐ สิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมืองนั้นต้องการการลงทุนเช่นเดียวกับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบศาลที่มีความเป็นธรรม เรือนจำที่มีสภาพแวดล้อมและมาตรฐานขั้นต่ำที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตสำหรับผู้ต้องขังในเรือนจำ การเลือกตั้งที่เป็นธรรมและเสรี เป็นต้น

นอกจากนี้ สิทธิทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรมบางครั้งถูกอ้างว่าคลุมเครือหรือไม่ชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และถึงแม้ว่าสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมบางประการจะไม่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชน แต่ก็มีผลบังคับใช้เช่นเดียวกันกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

อีกทั้งยังเห็นได้ว่าสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และสิทธิทางสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองถูกบรรจุอยู่ในสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนฉบับเดียวกันหลายฉบับ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าสิทธิมนุษยชนทั้งหมดนั้นเชื่อมโยงกันและไม่สามารถแบ่งแยกจากกันได้ เช่น บุคคลที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ มักจะเข้าถึงการจ้างงาน หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง หรือใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกได้ยากขึ้น เป็นต้น

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights – ICESCR) ประกอบด้วย วรรคอารัมภบท และบทบัญญัติ 31 ข้อ แบ่งเป็น 5 ส่วน ดังนี้

วรรคอารัมภบท มีสาระคล้ายคลึงกับกติการะหว่าประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

  • ส่วนที่ 1 (ข้อ 1): กล่าวถึงสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (right of self-determination)
  • ส่วนที่ 2 (ข้อ 2-5): กล่าวถึงพันธกรณีของรัฐภาคีที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างเหมาะสมตามลำดับขั้น นับตั้งแต่การเคารพ คุ้มครอง ส่งเสริม และทำให้เป็นจริงอย่างเต็มที่ตามที่ทรัพยากรมีอยู่เพื่อให้มีความคืบหน้า โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ความเท่าเทียมกันระหว่างบุรุษและสตรีในการได้รับสิทธิ การจำกัดสิทธิตามกติกา รวมทั้งการห้ามตีความใดๆ ในกติกาที่จะทำลายสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รับรองไว้ในกติกานี้
  • ส่วนที่ 3 (ข้อ 6-15): กล่าวถึงสาระของสิทธิ ได้แก่ สิทธิในการทำงานและมีเงื่อนไขการทำงานที่เหมาะสม เป็นธรรม สิทธิที่จะก่อตั้งสหภาพแรงงาน และสิทธิที่จะหยุดงาน สิทธิที่จะได้รับสวัสดิการและการประกันด้านสังคม การคุ้มครองและช่วยเหลือครอบครัว สิทธิที่จะมีมาตรฐานชีวิตที่ดีพอเพียง สิทธิที่จะมีสุขภาวะด้านกายและใจที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ สิทธิในการศึกษา สิทธิในวัฒนธรรม และประโยชน์จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
  • ส่วนที่ 4 (ข้อ 16-25): กล่าวถึงพันธกรณีในการจัดทำรายงานของรัฐภาคี บทบาทของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมในการตรวจสอบการปฏิบัติตามพันธกรณีร่วมกับกลไกอื่นๆ ของสหประชาชาติ รวมทั้งการให้ข้อคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพันธกรณีของกติกา การดำเนินการของรัฐภาคีที่จะร่วมมือในระดับระหว่างประเทศในการส่งเสริมสิทธิตามกติกา การห้ามการตีความบทบัญญัติเพื่อจำกัดหน้าที่ของกลไกสหประชาชาติที่กำหนดไว้ตามกฎบัตรและธรรมนูญขององค์กร รวมทั้งการไม่ตีความในทางที่จะจำกัดสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
  • ส่วนที่ 5 (ข้อ 26-31): กล่าวถึงการเข้าเป็นภาคี และการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติของกติกา

สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมมีผลบังคับใช้ในระหว่างภาวะฉุกเฉิน ภัยพิบัติและความขัดแย้งกันด้วยอาวุธหรือไม่?

ไม่มีข้อความใดในกฎหมายระหว่างประเทศที่อนุญาตให้รัฐเลี่ยงพันธกรณี (derogate) ต่อสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในระหว่างภาวะฉุกเฉิน ภัยพิบัติและความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ทั้งนี้ รัฐควรให้ความสำคัญกับในการปกป้องสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในสถานการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะในกลุ่มคนชายขอบ

รัฐมีหน้าที่ต่อสิทธิทางเศรษฐกิจ  สังคมและวัฒนธรรมอย่างไรบ้าง?

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ได้กำหนดพันธกรณี (obligations) ของรัฐภาคี โดยให้รัฐภาคีดำเนินการใดๆ โดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อให้สิทธิที่ถูกรับรองในกติกาฯ นี้เกิดขึ้นจริงอย่างสมบูรณ์เต็มที่ (progressively the full realization) ซึ่งหมายความว่า การทำให้สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมบางประการเกิดขึ้นจริงอย่างสมบูรณ์ อาจไม่สามารถดำเนินการได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐจึงต้องดำเนินการอย่างเหมาะสม รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อให้สิทธิดังกล่าวเกิดขึ้นจริงอย่างเต็มที่และเป็นลำดับ โดยไม่สามารถอ้างว่าขาดแคลนทรัพยากรและไม่ปฏิบัติหรือเลื่อนการดำเนินการเพื่อให้บรรลุสิทธิเหล่านี้ออกไปอย่างไม่มีกำหนด

รัฐต้องประกันว่าทุกคน โดยเฉพาะคนยากจน คนชายขอบและคนด้อยโอกาสจะได้รับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมขั้นต่ำ แม้ในภาวะขาดแคลนทรัพยากร นอกจากนี้ รัฐต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ เพื่อให้สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมเกิดขึ้นจริงในทันที (Immediate Implementation) โดยไม่คำนึงถึงทรัพยากรที่มี:

  1. การขจัดการเลือกปฏิบัติ (The elimination of discrimination) เช่น การขจัดการเลือกปฏิบัติในการรับบริการสาธารณสุข การเข้าถึงการศึกษาหรือในสถานที่ทำงาน และการขจัดการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ชาติกำเนิด สถานะทางเศรฐกิจและสังคม ความพิการหรือสถานะอื่นๆ เป็นต้น
  2. สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมต้องได้รับการคุ้มครองโดยทันที โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก หรือใช้ทรัพยากรแต่ต้องทำให้เกิดขึ้นจริงในระยะเวลาอันสั้น ได้แก่
    • การประกันสิทธิอันเท่าเทียมของหญิงและชายในการใช้สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมทั้งปวง (ข้อที่ 3) 
    • ทุกคนต้องได้รับสิทธิในการได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมและค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกันสำหรับงานที่มีคุณค่าเท่ากัน (ข้อที่ 7 (a)(1)) 
    • ประกันสิทธิในการก่อตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงาน และสิทธิที่จะนัดหยุดงาน (ข้อที่ 8) 
    • คุ้มครองเด็กจากการแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการออกกฎหมายที่กำหนดอายุขั้นต่ำซึ่งห้ามไม่ให้มีการจ้างแรงงานเด็ก และกำหนดให้การว่าจ้างเด็กให้ทำงานที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมีโทษตามกฎหมายด้วย (ข้อที่ 10(3))
    • รับรองให้การศึกษาระดับชั้นประถมเป็นการศึกษาภาคบังคับและจัดการศึกษาให้เด็กทุกคนแบบให้เปล่า (ข้อที่ 13 (2)(a))
    • เคารพเสรีภาพของพ่อแม่และผู้ปกครองตามกฎหมายในการเลือกโรงเรียนสำหรับบุตรหลานของพวกเขา และเคารพเสรีภาพของปัจเจกหรือองค์กรในการจัดตั้งสถาบันการศึกษา (ข้อที่ 13 (3), 13 (4))
    • เคารพเสรีภาพที่จำเป็นสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และกิจกรรมสร้างสรรค์ (ข้อที่ 15 (3))
  3. มาตรฐานขั้นต่ำของพันธกรณีหลัก (minimum core obligations) หรือพันธกรณีที่มีผลในทันทีเพื่อให้ทุกคนได้รับมาตรฐานขั้นต่ำที่จำเป็นในการได้รับสิทธิ รัฐต้องแสดงให้เห็นว่าได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อตอบสนองต่อการดำเนินการตามพันธกรณี และถึงแม้รัฐจะมีทรัพยากรไม่เพียงพอ รัฐจะต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอย่างมีประสิทธิภาพโดยจัดลำดับความสำคัญให้แก่ผู้ที่ต้องการการเข้าถึงสิทธิเหล่านี้ก่อน ได้แก่
    • สิทธิในการเข้าถึงการจ้างงาน โดยเฉพาะคนด้อยโอกาส หรือกลุ่มคนชายขอบ เพื่อให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี
    • สิทธิขั้นพื้นฐานที่จะปลอดจากความหิวโหย และสิทธิขั้นพื้นฐานในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัยและเพียงพอต่อการดำรงชีพ
    • สิทธิในการเข้าถึงมาตรฐานการครองชีพ ที่อยู่อาศัยและการเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด
    • การศึกษาภาคบังคับแบบให้เปล่าในระดับประถมศึกษา เป็นต้น

นอกจากนี้ พันธกรณีของรัฐอาจจำแนกได้เป็น 3 หน้าที่หลัก ได้แก่

  • เติมเต็ม (Fulfill): รัฐจะต้องออกกฎหมาย ดำเนินนโยบายหรือใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อทำให้สิทธินั้นเกิดขึ้นจริง เช่น รัฐต้องส่งเสริมการใช้สิทธิในการทำงาน ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการดำเนินโครงการด้านการศึกษาและให้ข้อมูลเพื่อปลูกฝังให้สาธารณชนมีความตระหนักรู้ในสิทธิดังกล่าว รัฐต้องอำนวยความสะดวกในการให้บุคคลได้รับสิทธิด้านสุขภาพ เช่น การรณรงค์การฉีดวัคซีนให้เด็กอย่างทั่วถึง รัฐจะต้องใช้มาตรการเชิงบวกเพื่อประกันว่าการศึกษาจะมีความเหมาะสมทางวัฒนธรรมสำหรับชนกลุ่มน้อยและชนเผ่าพื้นเมือง และเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพที่ดีสำหรับทุกคน เป็นต้น
  • เคารพ (Respect): กฎหมาย นโยบาย มาตรการและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น รัฐจะต้องไม่ใช้แรงงานบังคับหรือกีดกันโอกาสการทำงานของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง รัฐต้องไม่ปฏิเสธการเข้าถึงสถานบริการด้านสุขภาพบนพื้นฐานของการเลือกปฏิบัติ รัฐต้องเคารพเสรีภาพของผู้ปกครองในการเลือกโรงเรียนให้บุตรหลานของตน เป็นต้น
  • ปกป้อง (Protect): รัฐจะต้องมีกฎหมาย นโยบาย มาตรการในการดูแล การป้องกันไม่ให้กลุ่มคนหรือบุคคลใดที่ไม่ใช่รัฐละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น รัฐต้องรับประกันว่านายจ้างทั้งในภาครัฐและเอกชนจะจ่ายค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ รัฐต้องควบคุมคุณภาพยาที่จำหน่ายในประเทศโดยผู้จัดจำหน่ายทั้งภาครัฐและเอกชน รัฐต้องรับประกันว่าบุคคลที่สาม หรือผู้ปกครองจะไม่ห้ามเด็กผู้หญิงไม่ให้ไปโรงเรียน เป็นต้น

ตัวอย่างพันธกรรีของรัฐภาคีต่อสิทธิทางเศรษฐกิจ  สังคมและวัฒนธรรม

สิทธิในการทำงาน 

  • เคารพ: รัฐจะต้องไม่ใช้แรงงานบังคับ หรือกีดกันโอกาสการทำงานของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
  • ปกป้อง: รัฐต้องรับประกันว่า นายจ้างทั้งในภาครัฐและเอกชนจะจ่ายค่าจ้างไม่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ
  • เติมเต็ม: รัฐต้องส่งเสริมการใช้สิทธิในการทำงาน เช่น การดำเนินโครงการด้านการศึกษาและให้ข้อมูลเพื่อปลูกฝังให้สาธารณชนมีความตระหนักรู้ในสิทธิดังกล่าว

สิทธิในสุขภาพ

  • เคารพ: รัฐต้องไม่ปฏิเสธการเข้าถึงสถานบริการด้านสุขภาพบนพื้นฐานของการเลือกปฏิบัติ
  • ปกป้อง: รัฐต้องควบคุมคุณภาพยาที่จำหน่ายในประเทศโดยผู้จัดจำหน่ายทั้งภาครัฐและเอกชน
  • เติมเต็ม: รัฐต้องอำนวยความสะดวกในการให้บุคคลได้รับสิทธิด้านสุขภาพ เช่น การรณรงค์การฉีดวัคซีนให้เด็กอย่างทั่วถึง

สิทธิในการศึกษา

  • เคารพ: รัฐต้องเคารพเสรีภาพของผู้ปกครองในการเลือกโรงเรียนให้บุตรหลานของตน
  • ปกป้อง: รัฐต้องรับประกันว่าบุคคลที่สาม หรือผู้ปกครองจะไม่ห้ามเด็กผู้หญิงไม่ให้ไปโรงเรียน
  • เติมเต็ม: รัฐจะต้องใช้มาตรการเชิงบวกเพื่อประกันว่า การศึกษาจะมีความเหมาะสมทางวัฒนธรรมสำหรับชนกลุ่มน้อยและชนเผ่าพื้นเมือง และเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพที่ดีสำหรับทุกคน

เอกสารที่เกี่ยวข้อง