สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เป็นสิทธิ 2 ชุดที่แตกต่างกัน แต่มีความสัมพันธ์กัน
สิทธิพลเมือง (Civil Rights)
สิทธิพลเมือง (Civil Rights) คือสิทธิที่ปกป้องบูรณภาพทางร่างกายและจิตใจของบุคคล ได้แก่ สิทธิที่จะมีชีวิต สิทธิที่จะไม่ตกเป็นทาส สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม สิทธิในความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการเดินทาง สิทธิที่จะลี้ภัย สิทธิที่จะมีสัญชาติ เสรีภาพในการแต่งงาน สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน เสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
สิทธิทางการเมือง (Political Rights)
สิทธิทางการเมือง (Political Rights) หมายถึง สิทธิที่ประกันให้บุคคลสามารถมีส่วนร่วมในชีวิตทางพลเมืองและชีวิตทางการเมืองของสังคมและรัฐ เช่น สิทธิในการมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ สิทธิในการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ สิทธิในเสรีภาพทางความคิด มโนธรรมและศาสนา เป็นต้น
สิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร?
เราได้รับสิทธิพลเมืองจากการเป็นพลเมืองของประเทศหรือรัฐใดรัฐหนึ่ง สิทธิพลเมืองมีไว้เพื่อปกป้องพลเมืองจากการเลือกปฏิบัติและเพื่อให้พวกเขามีเสรีภาพบางอย่างในประเทศนั้น สิทธิพลเมืองในแง่นี้จึงถือได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐและพลเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของแต่ละรัฐ ซึ่งรัฐรับประกันสิทธิพลเมืองโดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายภายในประเทศ พลเมืองในประเทศใดจะมีสิทธิพลเมืองใดบ้าง ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละรัฐว่าจะให้สิทธิพลเมืองใดบ้างกับพลเมืองในปกครองของรัฐนั้นๆ
ในขณะที่สิทธิมนุษยชนนั้นมีความเป็นสากลและเป็นของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศใดก็ตาม เมื่อรัฐบัญญัติหรือกำหนดให้มีการบังคับใช้สิทธิมนุษยชนในกฎหมายภายในประเทศ สิทธิมนุษยชนบางประการก็จะกลายเป็นสิทธิพลเมือง เช่น ในระดับสากล เสรีภาพในการแต่งงานเป็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกบัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แต่ในแง่สิทธิพลเมือง เสรีภาพในการแต่งงานอาจขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางกฎหมายภายในของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง ต่างมีเป้าประสงค์ในการปกป้องพลเมืองจากการเลือกปฏิบัติ ความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียม
กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองถูกระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights – UDHR) ในข้อ 3 – 17 (สิทธิทางพลเมือง) และในข้อ 18 – 21 (สิทธิทางการเมือง) นอกจากนี้ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติให้การรับรองกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2519 สนธิสัญญาฯ นี้เป็นสนธิสัญญาพหุภาคีที่มีผลผูกพันทางกฎหมายกับรัฐที่เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น โดยประเทศไทยเข้าเป็นภาคีโดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 และมีผลบังคับใช้กับไทยเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2540 และรัฐภาคีจะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของสนธิสัญญฯ านี้ สิทธิและเสรีภาพที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง แต่ไม่มีอยู่ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ได้แก่
- สิทธิของชนกลุ่มน้อย (มาตรา 27)
- สิทธิที่จะไม่ถูกจำคุกเนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ได้ (มาตรา 11)
- สิทธิของเด็กทุกคนในการได้รับสัญชาติ (มาตรา 24 (3))
- สิทธิของผู้ถูกคุมขังที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม (มาตรา 10 (1)) และ
- มาตรการพิเศษในการคุ้มครองชนกลุ่มน้อย
ในขณะที่สิทธินี้ถูกกล่าวถึงในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แต่ไม่มีในกติการะหว่างประเทศฯ ฉบับนี้ ได้แก่
- สิทธิในการขอลี้ภัย (ข้อ 14) และ
- สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน (ข้อ 17)
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) เป็นสนธิสัญญาพหุภาคีด้านสิทธิมนุษยชน คือเป็นสนธิสัญญาที่มีรัฐมากกว่าสองรัฐขึ้นไปเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญา สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติให้การรับรองกติกานี้เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2509 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2519
มีการเรียกกันว่า ICCPR เป็นส่วนหนึ่งของ “บัญญัติระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิ” (International Bill of Rights) ร่วมกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights หรือ ICESCR) เนื่องจากเป็นฐานหลักของสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่นๆ ที่ออกตามมาภายหลัง
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) ประกอบด้วยวรรคอารัมภบท และบทบัญญัติ 53 ข้อ ซึ่งแบ่งเป็น 6 ส่วน ดังนี้
- ส่วนที่ 1: วรรคอารัมภบท กล่าวถึงพันธกรณีของรัฐด้านสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติ รวมทั้งหน้าที่ของบุคคลที่จะส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และได้รับสิทธิทั้งด้านพลเมือง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างเท่าเทียมกัน
- ส่วนที่ 2: กล่าวถึงสิทธิในการกำหนดเจตจำนงตนเอง (right of self-determination)
- ส่วนที่ 3: กล่าวถึงพันธกรณีของรัฐภาคีที่รับรองว่าจะเคารพและประกันสิทธิของบุคคล รวมถึงการห้ามการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง สัญชาติ สถานะทางเศรษฐกิจ สังคม ถิ่นกำเนิด หรือสภาพอื่นใด โดยจะดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในประเทศ ประกันว่าบุคคลที่ถูกละเมิดจะได้รับการเยียวยา ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิิงจะได้รับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน การลิดรอนสิทธิในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการห้ามการตีความกติกาในอันที่จะไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพอื่นๆ
- ส่วนที่ 4: กล่าวถึงสาระของสิทธิในส่วนที่เป็นสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ได้แก่ สิทธิในการมีชีวิตอยู่ เสรีภาพจากการถูกทรมาน การห้ามบุคคลมิให้ตกอยู่ในภาวะเยี่ยงทาส การห้ามบุคคลมิให้ถูกจับกุมโดยพลการ การปฏิบัติต่อผู้ถูกลิดรอนเสรีภาพอย่างมีมนุษยธรรม การห้ามบุคคลถูกจำคุกด้วยเหตุที่ไม่สามารถชำระหนี้ตามสัญญาได้ เสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐาน ความเสมอภาคของบุคคลภายใต้กฎหมาย การห้ามมิให้มีการบังคับใช้กฎหมายอาญาย้อนหลัง สิทธิในการได้รับการรับรองเป็นบุคคลตามกฎหมาย สิทธิในความเป็นส่วนตัว การคุ้มครองเสรีภาพทางความคิด เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก การห้ามการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อการสงครามหรือก่อให้เกิดความเกลียดชังทางเชื้อชาติ สิทธิที่จะชุมนุมโดยสงบ การรวมกันเป็นสมาคม สิทธิของชายหญิงที่อยู่ในวัยที่เหมาะสมในการมีครอบครัว การคุ้มครองสิทธิเด็ก และการที่พลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ การรับรองว่าบุคคลทั้งปวงย่อมเสมอภาคกันตามกฎหมายและได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกัน การรับรองสิทธิของชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ ศาสนาและภาษาภายในรัฐ
- ส่วนที่ 5: กล่าวถึงการจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบการปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดไว้ในกติกาฯ รวมถึงพันธกรณีในการเสนอรายงานของรัฐภาคี การยอมรับอำนาจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และขั้นตอนการพิจารณาข้อร้องเรียน
- ส่วนที่ 6: ห้ามการตีความไปในทางขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆ รวมทั้งการมิให้ตีความในการที่จะลิดรอนสิทธิที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
นอกจากนี้ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ยังเป็นหนึ่งในกลไกการติดตามตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่สำคัญอีกหนึ่งกลไกของสหประชาชาติ โดยเน้นหนักในมิติด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งรัฐไทยเองก็เข้าร่วมเป็นภาคีกับสนธิสัญญาฯ ฉบับดังกล่าวมาหลายสิบปี
การเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาต่างๆ ก่อให้เกิดพันธกรณีที่รัฐต้องมีพันธะผูกพันที่จะต้องปรับใช้สิทธิที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาฯ การเข้าร่วมเป็นภาคีนั้นเป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์และเป็นการแสดงความรับรู้ถึงสิทธิในเอกสารเพียงอย่างเดียว แต่ไม่เพียงพอที่จะรับรองว่าจะนำไปปฏิบัติ กลไกการตรวจสอบต่างๆ จึงมีความจำเป็นต่อการติดตามการดำเนินการของรัฐเองว่าเป็นไปตามสนธิสัญญาฯ แต่ละฉบับที่ได้เข้าร่วมเป็นภาคีหรือไม่
ผลจากการที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญา ทำให้รัฐไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่ การประกันให้เกิดสิทธิต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาฯ การดำเนินการให้เกิดสิทธิตามที่รับรองไว้ในสนธิสัญญาฯ การเผยแพร่เนื้อหาของสิทธิตามสนธิสัญญาฯ ให้ประชาชนรับทราบ และการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามสนธิสัญญาฯ
สิทธิที่ไม่อาจระงับชั่วคราวได้/สิทธิที่ไม่อาจลดทอนได้ (Non-derogable rights)
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองมีลักษณะเฉพาะคือ มีการกำหนดบทบัญญัติที่เกี่ยวกับมาตรการหลีกเลี่ยงพันธกรณีเพื่ออนุญาตให้รัฐสามารถเลี่ยงพันธกรณีของตนภายใต้กติการะหว่างประเทศฯ นี้ได้เพียงเท่าที่จำเป็นในภาวะฉุกเฉิน โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านสาธารณสุขซึ่งคุกคามต่อความอยู่รอดของชาติ (มาตรา 4) ซึ่งหมายความว่า สิทธิและเสรีภาพบางประการอาจถูกระงับได้เมื่อประเทศตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กติการะหว่างประเทศฯ นี้ยังได้กำหนดสิทธิที่ไม่อาจระงับชั่วคราวได้/ สิทธิที่ไม่อาจลดทอนได้ (non-derogable) ในมาตรา 4(2) หรือสิทธิที่รัฐไม่อาจเลี่ยงพันธกรณีในการเคารพหรือคุ้มครอง แม้รัฐจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (State of Emergency) หรือสภาวะยกเว้น (State of Exception) ได้แก่
- มาตรา 6: สิทธิที่จะมีชีวิตรอด (right to life, article 6)
- มาตรา 7: สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน หรือได้รับการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม และถูกใช้ในการทดลองทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์โดยปราศจากความยินยอมอย่างเสรี (freedom from torture or cruel, inhuman and degrading treatment or punishment; and freedom from medical or scientific experimentation without consent, article 7)
- มาตรา 8(1) และ (2): สิทธิที่จะไม่ถูกบังคับให้เป็นทาสหรือให้อยู่ในภาวะเยี่ยงทาส (freedom from slavery and servitude, article 8(1) and (2))
- มาตรา 11: สิทธิที่จะไม่ถูกจำคุกเนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ได้ (freedom from imprisonment for inability to fulfil a contractual obligation, article 11)
- มาตรา 15: สิทธิที่จะไม่ถูกดำเนินคดีอาญาหรือลงโทษจากกฎหมายย้อนหลัง (prohibition against the retrospective operation of criminal laws, article 15)
- มาตรา16: สิทธิที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลตามกฎหมาย (right to recognition before the law, article 16)
- มาตรา 18: สิทธิในเสรีภาพทางความคิด มโนธรรมและศาสนา (freedom of thought, conscience and religion, article 18)
สถานการณ์สิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในประเทศไทย
การบังคับบุคคลให้สูญหาย
จนถึงปัจจุบัน ไม่มีใครทราบตัวเลขที่แท้จริงของผู้ถูกบังคับให้สูญหายในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม คณะทำงานแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยบังคับหรือไม่สมัครใจ (The United Nations Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances – WGEID) ได้มีการติดตามและตรวจสอบจำนวนผู้ถูกบังคับให้สูญหาย ข้อมูลในปี 2563 ระบุว่า มีคนถูกบังคับให้สูญหายในประเทศไทยจำนวนกว่า 87 คน ทั้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากเหตุการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี พ.ศ. 2535 ความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ สงครามยาเสพติด รวมถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งรวมไปถึงกรณีของ
- พอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง
- เด่น คำแหล้ นักปกป้องสิทธิที่ดินทำกินของชุมชน และ
- สมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน
สถิติดังกล่าวทำให้ประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีผู้ถูกบังคับสูญหายมากเป็นลำดับ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ยังมีนักกิจกรรมไทยอีกอย่างน้อย 8 คนซึ่งเคยลี้ภัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านและถูกอุ้มหายหรือทำให้สูญหายในระหว่างปี 2559-2562
ในเดือนมิถุนายน 2563 นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมชาวไทยซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศกัมพูชาถูกลักพาตัวโดยบุคคลไม่ทราบฝ่าย อย่างไรก็ตาม ทางการไทยไม่ได้ประกาศว่าจะดำเนินการร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อค้นหาตัวเขาในทันที
การบังคับบุคคลให้สูญหายได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความหวาดกลัวต่อสังคมในวงกว้าง การกระทำอันโหดร้ายดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อสร้างบรรยากาศที่ไม่ปลอดภัย เป้าหมายที่สำคัญของรัฐในการบังคับบุคคลให้สูญหาย คือนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ญาติของเหยื่อ พยาน และทนายความ และรวมถึงกลุ่มเปราะบางต่างๆ เช่น เด็ก และคนพิการอีกด้วย การบังคับให้บุคคลสูญหายในทุกๆ ครั้งได้ละเมิดสิทธิตามหลักสิทธิมนุษยชน ดังนี้
- สิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัย
- สิทธิที่จะไม่ถูกทรมานและถูกปฏิบัติหรือลงโทษอย่างโหดร้าย
- สิทธิที่จะไม่ถูกกักขังอย่างไร้มนุษยธรรม
- สิทธิในการได้รับพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
- สิทธิการเป็นบุคคลตามกฎหมาย
- สิทธิในชีวิตครอบครัว
ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced disappearance – CED) ในปี 2555 และได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยในวันที่ 13 มิถุนายน 2567
การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ นี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการแสดงเจตนารมณ์ในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งแสดงความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการบังคับบุคคลให้สูญหาย เนื่องจากอนุสัญญาฯ ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการบังคับบุคคลให้สูญหาย กำหนดให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดทางอาญาและให้ความสำคัญกับการเยียวยาผู้เสียหายและครอบครัว
ปัจจุบันประเทศไทยมีการผลักดันให้บรรจุความผิดฐานบังคับบุคคลให้สูญหายกับการกระทำทรมานไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 กฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment – CAT) รวมถึงอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ
การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย
ในปี 2561 ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ลี้ภัยในประเทศลาว 3 คน ได้แก่ สุรชัย แซ่ด่าน ไกรเดช ลือเลิศและชัชชาญ บุปผาวัลย์ หายตัวไปจากที่พัก และถูกพบศพริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งสภาพศพนั้นแสดงให้เห็นว่าทั้งสามถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
ในเดือนมีนาคม ปี 2563 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เผยแพร่รายงาน “เราก็เป็นแค่ของเล่นเขา” การละเมิดทางร่างกาย จิตใจและทางเพศต่อทหารเกณฑ์ในกองทัพไทย ซึ่งเป็นรายงานที่ตีแผ่แบบแผนการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อทหารเกณฑ์โดยผู้บังคับบัญชา
นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงและผู้ต้องสงสัยว่าก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีโดยการภาคยานุวัติในอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment – CAT) เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 และมีผลใช้บังคับกับไทยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550
ปัจจุบันประเทศไทยมีการผลักดันให้บรรจุความผิดฐานบังคับบุคคลให้สูญหายกับการกระทำทรมานไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 โดย พ.ร.บ.นี้ มีหลักการสำคัญ คือ ‘ป้องกัน ปราบปราม เยียวยา การทรมานและอุ้มหาย’ ซึ่งสร้างความหวังให้กับครอบครัวผู้เสียหายในการเรียกร้องความยุติธรรมเป็นอย่างมาก
ใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มีการให้คำนิยามเกี่ยวกับการทรมานที่ใกล้เคียงกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ โดยระบุว่า องค์ประกอบหลักของการทรมานต้องประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายและจิตใจ และวัตถุประสงค์ของการทรมาน อันได้แก่ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลการรับสารภาพ เพื่อลงโทษ เพื่อข่มขู่และเพื่อเลือกปฏิบัติ
ทว่าผลจากการตีความนิยามที่แตกต่างกันระหว่างกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้พบว่ายังมีหลายกรณีในประเทศไทยที่เข้าข่ายการทรมานตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่กลับไม่เข้าข่ายการทรมานตามกฎหมายไทย เช่น การลงโทษทางวินัยด้วยวิธีการที่โหดร้ายของทหารเกณฑ์ในค่ายจนเสียชีวิต แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดีในข้อหาทรมาน เนื่องจากอ้างว่าเป็นการฝึกตามปกติ เช่น กรณีของพลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งถูกทำร้ายร่างกายในค่ายทหาร เมื่อ พ.ศ. 2554 ซึ่งคดีนี้อยู่ในศาลทหารมาโดยตลอด ทำให้ผู้เสียหายและญาติไม่สามารถตั้งทนายเข้าไปสู้ในคดีของศาลทหารได้
หรือกรณีการกระทำทรมานหรือการอุ้มหายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกับกองกำลังติดอาวุธหลายๆ กลุ่ม จนนำไปสู่ความพยายามในการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยการประกาศใช้กฎอัยการศึกที่สามารถควบคุมตัวได้ 7 วัน โดยที่ไม่ต้องมีหมายจับ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่สามารถสามารถควบคุมตัวได้ 30 วัน โดยที่ไม่ต้องมีหมายจับ และการควบคุมตัวทั้ง 37 วันนี้ ส่งผลให้เกิดข้อร้องเรียนเรื่องการกระทำทรมาน
จากข้อมูลของกลุ่มด้วยใจ องค์กรภาคประชาสังคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุว่ามีผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมานตั้งแต่ปีพ.ศ. 2554 – 2566 จำนวน 168 คน ขณะที่ทางศูนย์ทนายความมุสลิมก็ได้รับเรื่องร้องเรียน 119 คน โดยวิธีการทรมานส่วนใหญ่ยังคงเป็นการทรมานทางร่างกาย เช่น การทำให้ขาดอากาศหายใจแบบแห้งและเปียก การขังเดี่ยวในห้องที่เปิดไฟตลอดเวลา และการไม่ให้นอนหลับเป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ การทรมานยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการทำร้ายทางจิตใจ (Psychological Torture) การวิสามัญฆาตกรรม หรือการเสียชีวิตระหว่างควบคุมตัว
สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ
รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 และมีการประกาศขยายระยะเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องทั้งหมด 19 ครั้ง จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 และได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป (ทั้งนี้ ในส่วนของประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป)
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและใช้อำนาจอย่างกว้างขวางตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในการจำกัดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งคดีในระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร คดีฝ่าฝืนข้อกำหนดเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 และคดีในข้อหาตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ
ในปี 2563 ถึง 2564 ตำรวจได้มีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุมโดยสงบหลายครั้ง โดยมีการฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง การใช้แก๊สน้ำตาแบบกระป๋องขว้างเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุม นอกจากนี้ นับตั้งแต่ปี 2563 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยบทลงโทษจำคุก 3- 15 ปี และการบังคับใช้มาตรา 112 ที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน เช่น กรณีของ อัญชัญ ปรีเลิศ นักโทษคดี ม.112 ซึ่งถูกตัดสินจำคุกนานถึง 43 ปี 6 เดือน และนับว่าเป็นคดีอัตราโทษสูงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมาหลังรัฐประหาร 2557
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่ทัณฑสถานหญิงกลางฯ “อัญชัญ ปรีเลิศ” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 วัย 69 ปี ซึ่งถูกตัดสินจำคุกรวม 29 ปี 174 เดือน (หรือประมาณ 43 ปี 6 เดือน) จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในผู้อัปโหลดและเผยแพร่คลิปเสียงของ “บรรพต” ดีเจผู้จัดรายการวิทยุใต้ดิน ซึ่งมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ รวมทั้งหมด 29 ครั้ง เป็นความผิด 29 กระทง ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถานหญิงกลางฯ หลังถูกคุมขังมารวมกันนาน 8 ปี 4 เดือน 15 วัน
นอกจากนี้ ทางการไทยยังดำเนินคดีกับผู้วิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐบาลในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผู้ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนโลกออนไลน์ โดยพิจารณาการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 อีกทั้งยังมีการปิดกั้นสื่อ เช่น ในเดือนสิงหาคม 2563 เฟซบุ๊กได้จำกัดการเข้าถึงกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลสซึ่งเป็นกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ตามคำขอของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และในเดือนตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลได้มีการขอคำสั่งศาลเพื่อปิดกั้นสำนักข่าวออนไลน์ ประกอบด้วย Voice TV, The Reporters, The Standard และประชาไท โดยศาลอาญาพิจารณาและสั่งให้ยกคำร้องโดยยืนยันเสรีภาพสื่อตามรัฐธรรมนูญ
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
- กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ฉบับภาษาอังกฤษ – pdf)
- กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (เอกสารเผยแพร่ของสำนักงาน กสม. – pdf)
- 10 ข้อควรรู้ ก่อนการประชุมทบทวนการบังคับใช้ ICCPR ของไทย ที่นครเจนีวา 13-14 มี.ค. 60
- คู่มือทำความเข้าใจสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง
- มีเคสไม่มาก แต่ว่าเป็นข่าวเสียชีวิตกว่า 21 ราย รวมเคสทหารเกณฑ์เสียชีวิตในค่ายตั้งแต่ 2552-2567
- เปิดรายงานคู่ขนานจากภาคประชาสังคม ในวาระที่ไทยเข้าทบทวนรายงานต่อต้านการทรมาน
- หนึ่งความตายเพื่อรักษาหลายชีวิต : 10 ปี คดีพลทหารวิเชียร เผือกสม