แอมเนสตี้ ประเทศไทย ขอเชิญสื่อมวลชนส่งผลงานเข้าประกวด “รางวัลสื่อมวลชนเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568” (Media Awards 2025)

ความเป็นมา

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 (ค.ศ.1948) สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (The Universal Declaration of Human Rights) และประกาศให้วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันสิทธิมนุษยชนสากล (Human Rights Day) และนับตั้งแต่นั้นมากลไกและเครื่องมือด้านสิทธิมนุษยชนก็ได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อรับประกันการมีสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติและป้องกันมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น ในวันสิทธิมนุษยชน ประชาคมต่างๆ ทั่วโลกจึงร่วมเฉลิมฉลองภายใต้แนวคิดหลักว่า “เราทุกคนเกิดมามีอิสระเสรี มีศักดิ์ศรี และสิทธิที่เสมอภาคกัน”

ในปัจจุบันคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ได้มีการกล่าวถึงและนำไปใช้มากขึ้นในสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่ในบทละครหลังข่าวที่มีผู้ชมเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าคนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจความหมายของคำดังกล่าวอย่างชัดเจนนัก จนหลายครั้งถูกนำไปสื่ออย่างผิดที่ผิดทาง ซึ่งนำไปสู่การมองเรื่องสิทธิมนุษยชนในแง่ลบ บ้างก็มองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นแนวคิดตะวันตกที่แปลกแยก บ้างก็ว่าสิทธิมนุษยชนคือเสรีภาพอันไร้ความรับผิดชอบ บ้างก็อ้างสิทธิมนุษยชนเพื่อเอ่ยถึงสิทธิของตน ในขณะที่ไม่ยอมรับและเคารพในสิทธิของบุคคลหรือกลุ่มชนชาติอื่น เป็นต้น

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยซึ่งทำงานสื่อสารสาธารณะกับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป  เห็นว่าสื่อมวลชนมีอิทธิพลอย่างสูงต่อประชาชนผู้เสพข่าวสารทั่วไป และมีสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยที่ทำหน้าที่ในการนำเสนอข่าวสารข้อเท็จจริงสู่สังคมและ ทำหน้าที่ในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของคนทุกชนชั้นควบคู่กันไป ภายใต้ความเชื่อที่ว่า “ความยุติธรรมเพื่อทุกคน เพื่อทุกสิทธิ” (Justice for all rights for all people) อันมีความหมายว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา เพศ หรือเป็นกลุ่มสังคมใด ก็ล้วนมีสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิขั้นพื้นฐานทุก ๆ ประการที่จะทำให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ด้วยเล็งเห็นว่าสื่อมวลชนเหล่านี้เป็นบุคคลที่ควรได้รับการยกย่อง เพราะสื่อเหล่านั้นเป็นครูที่ดีในการร่วมกันบ่มเพาะคนในสังคมให้ตระหนักถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน และเคารพซึ่งกันและกันมากขึ้น  และเพื่อให้การนำเสนอข่าวสารในเชิงปกป้อง ส่งเสริมประเด็นสิทธิมนุษยชนยังคงมีอยู่ต่อไปในสังคมไทย จึงเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างกำลังใจให้สื่อมวลชนที่ทำงานอย่างหนักในการนำเสนอข่าวสารในแง่มุมที่คำนึงถึงการเคารพ ส่งเสริม และปกป้องสิทธิมนุษยชน ด้วยการจัดมอบรางวัลสื่อมวลชนดีเด่นเพื่อสิทธิมนุษชน เพื่อสร้างความตระหนักให้กับคนในสังคม และสื่อมวลชนจะได้มีพลังในการยืนหยัดที่จะทำงานเพื่อปกป้องส่งเสริมสิทธิมนุษยชนต่อไป

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีความตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนและสนับสนุนการนำเสนอข่าวสารด้วยความเคารพ ส่งเสริม และปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
  2. เพื่อส่งเสริมการเคารพ และปกป้องสิทธิมนุษยชนให้เพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย

ประเภทรางวัล  

1.ข่าวและสารคดีเชิงข่าวประเภทสื่อสิ่งพิมพ์และออนไลน์

  1. รางวัลดีเด่น จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ
  2. รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

หลักเกณฑ์การส่งผลงานเข้าประกวด

  1. ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องสื่อสารถึงความเคารพ ส่งเสริม และปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
  2. ผู้สื่อข่าว 1 คน สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ 1 ชิ้น แต่ละสื่อสิ่งพิมพ์ส่งผลงานได้ไม่จำกัด กรณีข่าวชุดส่งได้ไม่เกิน 2 ชิ้น/เรื่อง (ในกรณีเกินกว่านั้นให้ส่งเป็นเอกสารแนบประกอบการพิจารณา)
  3. ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดต้องเป็นผู้ที่มีผลงานเผยแพร่ผ่านช่องทางของสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว คอลัมนิสต์ หรือฟรีแลนซ์ที่ผลิตเนื้อหาให้กับสื่อนั้น หรือเป็นผลงานที่ส่งโดยกองบรรณาธิการของสื่อโดยตรงก็ได้
  4. ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นผลงานที่ผลิตเองในกองบรรณาธิการหรือโดยนักข่าว คอลัมนิสต์หรือฟรีแลนซ์ของสำนักข่าวที่รายงานข่าวเป็นกิจลักษณะ และผลงานนั้นต้องไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่คัดลอกมาจากสื่ออื่นๆ
  5. หากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ให้จัดทำสำเนาข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวตัวจริงเรียงลำดับตามวันเวลาโดยระบุวันที่ตีพิมพ์ทุกฉบับ แล้วส่งมาในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล (.jpg, .png หรือ .gif) พร้อมสำเนาเนื้อหาลงในหน้ากระดาษ A4 ความยาวรวมไม่เกิน 8 หน้า (ตัวอักษร Cordia New ขนาด 16) และแนบบทสรุปย่อของข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวนั้นมาด้วย โดยระบุถึงวัตถุประสงค์ที่จัดทำผลงานชิ้นนี้ เบื้องหลังการผลิตผลงาน ผลงานชิ้นนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและมีคุณค่าต่อสังคมอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร วันและเวลาที่เกิดข่าวดังกล่าว/วัน เวลา ช่องทางการเผยแพร่ ชื่อและเบอร์ติดต่อผู้ส่งผลงาน
  6. ข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ส่งเข้าประกวดจะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในประเทศไทย (ทั้งหนังสือพิมพ์ระดับชาติ หนังสือพิมพ์ระดับท้องถิ่นและนิตยสาร) ด้วยภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ (สำหรับข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวภาษาต่างประเทศ ผู้ส่งเข้าประกวดจะต้องแปลเป็นภาษาไทย และส่งสำเนาการแปลมาพร้อมกับชิ้นงานที่ส่งเข้าประกวดด้วย)
  7. หากเป็นสื่ออนไลน์ให้จัดทำสำเนาเนื้อหาข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวจากหน้าเว็บไซต์ลงในหน้ากระดาษ A4 ความยาวรวมไม่เกิน 8 หน้า (ตัวอักษร Cordia New ขนาด 16) ส่งมาพร้อม URL หรือลิงก์หน้าข่าวที่ส่งเข้าประกวด และแนบบทสรุปย่อของข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวนั้นมาด้วย โดยระบุถึงวัตถุประสงค์ที่จัดทำผลงานชิ้นนี้ เบื้องหลังการผลิตผลงาน ผลงานชิ้นนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและมีคุณค่าต่อสังคมอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร วันและเวลาที่เกิดข่าวดังกล่าว/วัน เวลา ช่องทางการเผยแพร่ ชื่อและเบอร์ติดต่อผู้ส่งผลงาน
  8. สำหรับข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวภาษาต่างประเทศ ผู้ส่งเข้าประกวดจะต้องแปลเป็นภาษาไทย และส่งสำเนาการแปลมาพร้อมกับชิ้นงานที่ส่งเข้าประกวดเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
  9. ข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ส่งเข้าประกวดจะต้องมีระยะเวลาในการเผยแพร่/ตีพิมพ์ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 31 ตุลาคม 2568
  10. สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พฤศจิกายน 2568
  11. ประกาศรายชื่อผลงานที่ติดโผเข้าชิงวันที่ 23 ธันวาคม 2568

หลักเกณฑ์การพิจารณา

  1. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่มีลักษณะของข่าวที่ดีครบถ้วน สมบูรณ์เที่ยงตรงและไม่มีอคติ
  2. จะต้องเป็นข่าวที่ถือเอาเนื้อหาสาระเป็นคุณค่า มีประโยชน์และก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเข้าใจในการให้ความสำคัญของสิทธิมนุษยชน อีกทั้งอยู่ในกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์
  3. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่มีเนื้อหาสื่อสารถึงความเคารพ ส่งเสริม และปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
  4. ถ้าเห็นว่าไม่มีข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวใดดีเด่น คณะกรรมการตัดสินอาจจะให้รางวัลชมเชยหรือไม่ให้รางวัลเลยก็ได้

การตัดสิน ประกาศผล และมอบรางวัล

  1. การตัดสินของคณะกรรมการตัดสินซึ่งแต่งตั้งโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ถือเป็นอันยุติ
  2. กรณีไม่มีข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวใดสมควรได้รับรางวัล คณะกรรมการตัดสินฯ อาจให้ได้รับรางวัลชมเชยหรืองดเว้นการให้รางวัลในแต่ละประเภทได้
  3. การประกาศผลการตัดสินและการมอบรางวัลจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569

คณะกรรมการตัดสินรางวัล

  1. สุภัตรา ภูมิประภาส มีเดีย อินไซด์ เอ้าท์
  2. ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย
  3. ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล ประธานกรรมการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
  4. สมชาย หอมลออ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายมูลนิธิผสานวัฒนธรรม

2. ข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวประเภทสื่อโทรทัศน์ (ความยาวรวมไม่เกิน 20 นาที)

  1. รางวัลดีเด่น จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ
  2. รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

หลักเกณฑ์การส่งผลงานเข้าประกวด  

  1. ผลงานที่ส่งเข้าประกวดจะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่สื่อสารถึงความเคารพ ส่งเสริม และปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
  2. การผลิตจะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ผู้ส่งเป็นผู้ดำเนินการผลิตเอง โดยแต่ละสถานีโทรทัศน์ส่งผลงานได้ไม่จำกัด แต่ผู้สื่อข่าว 1 คน สามารถส่งได้ 1 เรื่อง แต่ละสถานีโทรทัศน์ส่งได้ไม่จำกัดจำนวน โดยในแต่ละเรื่องอาจมีจำนวนผลงานมากกว่า 1 ชิ้นก็ได้ ทั้งนี้มีความยาวรวมของเรื่องไม่เกิน 20 นาที
  3. ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นไฟล์ mp.4 เท่านั้น โดยส่งพร้อม URL หรือลิงก์ผลงานที่ส่งเข้าประกวด พร้อมแนบบทสรุปย่อของข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวนั้นมาด้วย โดยระบุถึงวัตถุประสงค์ที่จัดทำผลงานชิ้นนี้ เบื้องหลังการผลิตผลงาน ผลงานชิ้นนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและมีคุณค่าต่อสังคมอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร วันและเวลาที่เกิดข่าวดังกล่าว/วัน เวลา และสถานีที่ออกอากาศ ชื่อและเบอร์ติดต่อผู้ส่งผลงาน
  4. ช่วงเวลาของผลงานจะต้องเป็นผลงานที่เผยแพร่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล หรือระบบเคเบิลท้องถิ่นในประเทศไทย ในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 31 ตุลาคม 2568 เท่านั้น
  5. สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พฤศจิกายน 2568
  6. ประกาศรายชื่อผลงานที่ติดโผเข้าชิงวันที่ 23 ธันวาคม 2568

หลักเกณฑ์การพิจารณา

  1. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่มีลักษณะคุณภาพของเนื้อหาสาระ คุณภาพของการผลิตและการนำเสนอ คุณค่าของผลงาน ความมีจริยธรรมในการเข้าถึงหรือได้มาซึ่งข้อมูล การผลิต และการนำเสนออย่างครบถ้วน
  2. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ถือเอาเนื้อหาสาระเป็นคุณค่า มีประโยชน์และก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเข้าใจในการให้ความสำคัญของสิทธิมนุษยชน
  3. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่มีเนื้อหาสื่อสารถึงความเคารพ ส่งเสริม และปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
  4. ถ้าเห็นว่าไม่มีข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวใดดีเด่น คณะกรรมการตัดสินอาจจะให้รางวัลชมเชยหรือไม่ให้รางวัลเลยก็ได้

การตัดสิน ประกาศผล และมอบรางวัล

  1. การตัดสินของคณะกรรมการตัดสินซึ่งแต่งตั้งโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ถือเป็นอันยุติ
  2. กรณีไม่มีข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวใดสมควรได้รับรางวัล คณะกรรมการตัดสินฯ อาจให้ได้รับรางวัลชมเชยหรืองดเว้นการให้รางวัลในแต่ละประเภทได้
  3. การประกาศผลการตัดสินและการมอบรางวัลจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569

คณะกรรมการตัดสินรางวัล

  1. สุภาพร โพธิ์แก้ว อดีตอาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  2. สังกมา สารวัตร อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยศิลปากร
  3. ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  4. ธีระพล อันมัย กรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยและ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

3. ข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่นำเสนอในรูปแบบคลิปวิดีโอออนไลน์ (ความยาวรวมไม่เกิน 15 นาที)

  1. รางวัลดีเด่น จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 30,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ
  2. รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท พร้อมโล่ประกาศเกียรติคุณ

หลักเกณฑ์การส่งผลงานเข้าประกวด

  1. ผลงานที่ส่งเข้าประกวดจะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่สื่อสารถึงความเคารพ ส่งเสริม และปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
  2. การผลิตจะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ผู้ส่งเป็นผู้ดำเนินการผลิตเอง และผลงานนั้นต้องเผยแพร่ครั้งแรกในสื่อดิจิทัล (Digital First)
  3. ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน หรือองค์กรต่างๆ สามารถส่งผลงานเข้าประกวดในประเภทนี้ได้ทั้งสิ้น โดยผู้ส่งเข้าประกวด 1 คนสามารถส่งได้ 1 ผลงาน แต่ละสื่อหรือองค์กรสามารถส่งได้ไม่จำกัด
  4. ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นไฟล์ mp.4 เท่านั้น โดยส่งพร้อม URL หรือลิงก์ผลงานที่ส่งเข้าประกวด พร้อมแนบบทสรุปย่อของข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวนั้นมาด้วย โดยระบุถึงวัตถุประสงค์ที่จัดทำผลงานชิ้นนี้ เบื้องหลังการผลิตผลงาน ผลงานชิ้นนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและมีคุณค่าต่อสังคมอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร วันและเวลาที่เกิดข่าวดังกล่าว/วัน เวลา ช่องทางการเผยแพร่ ชื่อและเบอร์ติดต่อผู้ส่งผลงาน
  5. ข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ส่งเข้าประกวดจะต้องมีระยะเวลาในการ เผยแพร่/ตีพิมพ์ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 – 31 ตุลาคม 2568
  6. สามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พฤศจิกายน 2568
  7. ประกาศรายชื่อผลงานที่ติดโผเข้าชิงวันที่ 23 ธันวาคม 2568

หลักเกณฑ์การพิจารณา

  1. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่มีลักษณะคุณภาพของเนื้อหาสาระ คุณภาพของการผลิตและการนำเสนอ คุณค่าของผลงาน ความมีจริยธรรมในการเข้าถึงหรือได้มาซึ่งข้อมูล การผลิต และการนำเสนออย่างครบถ้วน
  2. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่ถือเอาเนื้อหาสาระเป็นคุณค่า มีประโยชน์และก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเข้าใจในการให้ความสำคัญของสิทธิมนุษยชน
  3. จะต้องเป็นข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวที่มีเนื้อหาสื่อสารถึงความเคารพ ส่งเสริม และปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
  4. ถ้าเห็นว่าไม่มีข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวใดดีเด่น คณะกรรมการตัดสินอาจจะให้รางวัลชมเชยหรือไม่ให้รางวัลเลยก็ได้

การตัดสิน ประกาศผล และมอบรางวัล

  1. การตัดสินของคณะกรรมการตัดสินซึ่งแต่งตั้งโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ถือเป็นอันยุติ
  2. กรณีไม่มีข่าวหรือสารคดีเชิงข่าวใดสมควรได้รับรางวัล คณะกรรมการตัดสินฯ อาจให้ได้รับรางวัลชมเชยหรืองดเว้นการให้รางวัลในแต่ละประเภทได้
  3. การประกาศผลการตัดสินและการมอบรางวัลจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2569

คณะกรรมการตัดสินรางวัล

  1. ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และประธาน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย
  2. ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย
  3. จิรวัฒน์ เอื้อสังคมเศรษฐ์ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มหาวิทยาลัยศิลปากร
  4. ดร. วัชรฤทัย บุญธินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา และกรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

ส่งผลงานเข้าประกวดได้ ที่นี่

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน