กว่าแปดทศวรรษที่ไฟแห่งความขัดแย้งในปาเลสไตน์ยังคงลุกโชนไม่หยุด ผู้คนนับล้านต้องเผชิญกับความหิวโหย ขาดแคลนอาหาร และผู้คนอีกจำนวนมหาศาลต้องถูกบีบให้ละทิ้งผืนดินที่เป็นบ้านเกิดของตัวเองโดยไม่เต็มใจ
จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมนี้ย้อนกลับไปสู่ยุคอาณานิคม เมื่อการล่าอาณานิคมของอังกฤษเปิดทางให้ชาวยิวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์ กระทั่งในปี 1948 (พ.ศ. 2491) รัฐอิสราเอลได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นวันที่ชาวปาเลสไตน์เรียกขานว่า “วันนักบา” หรือ “วันหายนะ” วันที่ความทรงจำอันเจ็บปวดฝังรากอยู่ในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ชวนมาร่วมฟังและสนทนากับ ผศ. ดร. อาทิตย์ ทองอินทร์ อาจารย์ประจำสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เพื่อร่วมกันตั้งคำถาม และทบทวนถึงความโหดร้ายที่สงครามยังคงสร้างขึ้นมาจนถึงวันนี้
จุดกำเนิดความขัดแย้ง: เส้นทางแห่งรัฐอิสระและลัทธิชาตินิยม
ผศ. ดร.อาทิตย์ เล่าย้อนกลับไปถึงช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนที่เรารู้จักกันในชื่อ “ปาเลสไตน์” เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญ และนครศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเล็มก็เป็นพื้นที่ที่ผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวอาหรับปาเลสไตน์ หรือชาวซีเรีย ต่างอยู่ร่วมกันโดยสงบ
แต่ในศตวรรษที่ 19 กระแสชาตินิยมยิวที่เรียกว่า “ไซออนิสม์” (Zionism) เริ่มก่อตัวขึ้น แนวคิดนี้เชื่อว่าชาวยิวควรมีรัฐของตนเอง ขณะเดียวกัน ชาวยิวในยุโรปก็เผชิญการกดขี่และเลือกปฏิบัติ ทำให้หลายกลุ่มหันมามองปาเลสไตน์เป็นพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่
แม้ในช่วงแรกความสัมพันธ์ระหว่างชาวยิวกับชาวอาหรับปาเลสไตน์จะยังไม่ตึงเครียดนัก แต่เมื่อกลุ่มที่ยึดถืออุดมการณ์ไซออนิสม์อย่างแข็งกร้าวเริ่มเคลื่อนไหว ความขัดแย้งก็ค่อยๆ ปะทุขึ้น และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศแผนแบ่งปาเลสไตน์ออกเป็นสองรัฐ คือ รัฐยิวและรัฐอาหรับปาเลสไตน์ ในปี 1948 สิ่งที่ตามมาคือความรุนแรงครั้งใหญ่ และการพลัดถิ่นของประชาชนในฉนวนกาซากว่า 1.9 ล้านคน ที่ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยโดยไม่มีวันได้กลับบ้านเกิด
อาจารย์อาทิตย์ทิ้งท้ายว่า เรื่องราวเหล่านี้ไม่เพียงเป็นประวัติศาสตร์ หากยังเป็นรากของปัญหาที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน คำถามที่ควรถูกหยิบยกขึ้นมาคือ เราจะเรียนรู้อะไรจากอดีตที่เต็มไปด้วยบาดแผลนี้ และในโลกที่ยังคงเผชิญสงคราม เราจะทำอย่างไรไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดซ้ำอีกครั้ง
สันติภาพ: เป็นไปได้หรือเป็นเพียงความฝัน?
ในมุมมองของนักรัฐศาสตร์อย่าง ผศ. ดร.อาทิตย์ การสร้างสันติภาพจากความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมายาวนาน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เป็นผลลัพธ์จากองค์ประกอบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันหลายด้าน ทว่าประเด็นที่สำคัญที่สุด คือบทบาทของประเทศมหาอำนาจในเวทีโลก ซึ่งยังคงแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อช่วงชิงอิทธิพลในตะวันออกกลาง การต่อสู้เช่นนี้ไม่เพียงทำให้ภูมิภาคสั่นคลอน แต่ยังบั่นทอนกฎหมายระหว่างประเทศ และบรรทัดฐานทางสังคมที่เคยยึดถือร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
“แม้จะมีมติจำนวนมากออกมาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แต่ก็ไม่สามารถบังคับให้ผู้เล่นทั้งในและนอกภูมิภาคปฏิบัติตามได้จริง”
นอกจากนี้ ผศ. ดร. อาทิตย์ ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยเงื่อนไขแห่งความขัดแย้งที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้แทบทุกเมื่อ และแทบทุกมุมโลกต่างก็กำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดที่ชายแดนไทย–กัมพูชา สงครามระหว่างรัสเซีย–ยูเครนที่ยืดเยื้อมาหลายปี ความขัดแย้งเรื้อรังในทะเลจีนใต้ที่เต็มไปด้วยการช่วงชิงอำนาจทางทะเลและทรัพยากร หรือแม้แต่ปัญหาอิสราเอล–ปาเลสไตน์ที่กลายเป็นแผลลึกในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ทว่า ท่ามกลางไฟสงครามที่ลุกลามไปทั่วนั้น สังคมโลกกลับยังไม่ตระหนักหรือให้ความสำคัญเท่าที่ควร

เขาอธิบายว่า เรามักเฝ้ามองสงครามจากระยะไกลราวกับเป็นการเชียร์กีฬาประเภทหนึ่ง เปรียบเสมือนเรากำลังนั่งชมการต่อสู้ที่สนามแข่งขัน โดยลืมไปว่าในทุกวินาทีที่ความขัดแย้งดำเนินอยู่ มีผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังถูกพรากชีวิต สูญเสียคนที่รัก และต้องเผชิญความโหดร้ายที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ความตาย ความหวาดกลัว และความสูญสิ้นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นจริงต่อหน้าต่อตา แต่กลับถูกลดทอนให้เป็นเพียงภาพข่าวสั้นๆ ที่ผู้ชมจำนวนมากเพียงแค่ผ่านสายตาไป แล้วหันกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
ลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง: ชนวนสงคราม?
ตามมุมมองของ ผศ. ดร.อาทิตย์ คำว่า “ชาตินิยม” อาจตีความได้ 2 ลักษณะ ความหมายแรกคือการรักชาติ รักถิ่นฐานบ้านเกิด และยึดโยงกับผืนดินที่ตนเองเป็นเจ้าของ ซึ่งถือเป็นสำนึกปกติที่ทุกคนย่อมมีอยู่ในใจ แต่เมื่อความรักชาติเหล่านี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับชาติอื่นในเชิง “ความเหนือกว่า” ไม่ว่าจะเป็นด้านอำนาจ วัฒนธรรม หรือเชื้อชาติ สิ่งที่ตามมามักจะพัฒนาไปสู่ “ลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง” ที่พร้อมจะกีดกัน ลดทอน และละเมิดสิทธิของผู้อื่น เพียงเพราะพวกเขา “ไม่ใช่เรา” หรือ “ไม่ใช่คนชาติเดียวกัน”
“กระบวนการสร้างชาติในแบบชาตินิยมสุดโต่ง มักมีธรรมชาติคล้ายคลึงกัน คือการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยไม่มีพื้นที่ให้ตั้งคำถาม วิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือทำให้เห็นว่าเรากำลังเผชิญศัตรูจากภายนอก หรือผลักให้ชาติใดชาติหนึ่งกลายเป็นศัตรูของเรา”
และเมื่อดินแดนถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ความหวังและเป้าหมายของแต่ละฝ่ายก็เดินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน ฝั่งอิสราเอลมุ่งสร้างรัฐที่มีความมั่นคง ปลอดภัย และปลอดจากการคุกคามจากภายนอก ขณะที่ความตึงเครียดและความขัดแย้งกับประเทศรอบข้างกลับยังเป็นอุปสรรคใหญ่ ที่ทำให้เป้าหมายดังกล่าวยังไม่อาจบรรลุได้อย่างสมบูรณ์
ขณะที่ฝั่งปาเลสไตน์เอง ผศ. ดร.อาทิตย์อธิบายว่า ความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ไม่ได้มีเพียง “รัฐ” กับ “ประชาชน” เท่านั้น แต่ยังมี “สองตัวละครสำคัญ” ที่เป็นผู้เล่นหลักในสมรภูมินี้ คือ คณะผู้บริหารปาเลสไตน์ (Palestinian Authority – PA) คือกลุ่มผู้นำการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และได้รับการยอมรับให้เป็นผู้แทนอย่างเป็นทางการในการเจรจากับอิสราเอล เส้นทางของ PA วางอยู่บนการเมืองและการทูต เชื่อมั่นว่าการเจรจาและการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตคือเครื่องมือหลักที่จะค่อยๆ คลี่คลายปัญหา แม้จะต้องใช้เวลาและอาจต้องยอมแลกเปลี่ยนในบางประเด็นก็ตาม
ในอีกฟากหนึ่งคือ กลุ่มฮามาส (Hamas) ที่มีสถานะซับซ้อน เพราะเป็นทั้งขบวนการทางการเมืองและกลุ่มติดอาวุธ ฮามาสเคยลงเลือกตั้งเช่นกัน แต่แนวคิดกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเชื่อว่าการเจรจาอย่างเดียวไม่อาจทำให้ปาเลสไตน์ได้สิ่งที่ควรได้ และทางออกที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับการต่อสู้ทางทหาร การหยิบอาวุธขึ้นมาต่อกรจึงถูกมองว่าเป็นการแสดงออกถึงศักดิ์ศรีและการไม่ยอมจำนน
ความแตกต่างของสองกลุ่มนี้สะท้อนโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของชาวปาเลสไตน์ บางคนเลือกที่จะสนับสนุน PA เพราะหวังเห็นความมั่นคงและความสงบที่อาจเกิดจากการเจรจาและความร่วมมือกับนานาชาติ ขณะที่อีกหลายคนกลับมองว่าฮามาสคือผู้แทนของความกล้าหาญและการยืนหยัดต่อสู้กับการยึดครอง การเลือกฝั่งจึงไม่ใช่เพียงเรื่องการเมือง หากแต่เป็นการเลือก “ความหวัง” ในแบบที่ตนเองเชื่อว่าจะนำพาอนาคตที่ดีกว่าให้กับครอบครัวและชุมชน
“นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมต้องสูญเสียชีวิตมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กาชาดสากล เจ้าหน้าที่ของ UNRWA (สำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้) หรือเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติเอง นับตั้งแต่วันที่สหประชาชาติก่อตั้งมา”
ผศ. ดร. อาทิตย์ชี้ให้เห็นถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงครามความขัดแย้งนี้
การละเมิดสิทธิมนุษยชนบนหลักมนุษยธรรม
นับตั้งแต่ความขัดแย้งปะทุขึ้น รัฐอิสราเอลถูกวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลง รวมถึงมติของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอยู่หลายครั้ง สิ่งที่ปรากฏชัดเจนที่สุดจนถึงปัจจุบันคือการสังหารพลเรือน และการยึดครองดินแดนที่ไม่ควรเป็นของตน
หากย้อนกลับไปตามแผนการแบ่งดินแดนเดิม โลกควรได้เห็น “สองรัฐ” ที่ดำรงอยู่คู่กัน รัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์ แต่ในความเป็นจริง อิสราเอลกลับค่อยๆ ขยายอำนาจ ล้ำเส้นเข้าไปยึดครองพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์ พร้อมจัดตั้งนิคมถาวรและเคลื่อนย้ายชาวยิวเข้าไปตั้งรกรากในดินแดนเหล่านั้น ผลลัพธ์คือชาวปาเลสไตน์ดั้งเดิมถูกบีบบังคับให้ออกจากบ้านเกิดของตนเอง และต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นนับหลายแสนคน ความทรงจำที่ผูกพันกับผืนดินจึงถูกพรากไป พร้อมกับศักดิ์ศรีและสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรมีในฐานะมนุษย์
และเมื่อการละเมิดเช่นนี้ดำเนินต่อไป ท่ามกลางสายตาของประชาคมโลก คำถามสำคัญจึงผุดขึ้นมาเราจะยังสามารถเรียกระเบียบโลกปัจจุบันได้ว่า “ยุติธรรม” ได้จริงหรือไม่ หากกฎหมายระหว่างประเทศไม่อาจคุ้มครองชีวิตผู้บริสุทธิ์ และเสียงของผู้ถูกกดขี่กลับถูกลบหายไปในสนามการเมืองระหว่างประเทศ
“เขตเวสต์แบงก์ที่เคยถูกกำหนดให้เป็นดินแดนของชาวปาเลสไตน์ก็ถูกแทรกเข้าไป พร้อมทั้งถูกแบ่งออกเป็นโซน มีการสร้างกำแพง สร้างรั้ว และสร้างถนนจากทางฝั่งอิสราเอลที่กระทำการฝ่ายเดียว จึงทำให้การสัญจรไปมาและการทำมาหากินของชาวปาเลสไตน์นั้นถูกปิดกั้น ราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นนักโทษที่อาศัยอยู่ในบ้านของตัวเอง”
นอกจากนี้ ผศ. ดร.อาทิตย์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตามมติของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเยรูซาเล็มควรได้รับสถานะเป็น “เมืองสากล” ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการร่วมกันของนานาชาติ เหตุผลสำคัญเพราะที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของ 3 ศาสนาใหญ่ของโลก ได้แก่ ศาสนายูดาย ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เมืองเดียวกันที่รวบรวมรากเหง้าความเชื่อและประวัติศาสตร์อันยาวนานของผู้คนนับพันปี แต่ในความเป็นจริง อิสราเอลกลับเข้ายึดครองเยรูซาเล็มเพียงฝ่ายเดียว การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างชัดเจน และไม่เพียงยิ่งทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น แต่ยังนำไปสู่ความสูญเสียมหาศาลที่ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ถึงขั้นที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

ในมุมมองทางรัฐศาสตร์ ผศ.ดร. อาทิตย์อธิบายว่า แนวคิดเรื่อง “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” สามารถทำความเข้าใจได้ผ่านสองกรอบสำคัญ คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยตรง (Genocide) และ การล่าอาณานิคมแบบรุกตั้งถิ่นฐาน (Settler Colonialism) โดยทั้งสองกรอบนี้ช่วยให้เห็นความซับซ้อนของการกระทำที่อิสราเอลมีต่อชาวปาเลสไตน์ เพราะหากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1948 เราจะพบว่าอิสราเอลได้ดำเนินการขับไล่ประชากรดั้งเดิมออกจากถิ่นฐานบ้านเกิดของตน ทำลายบ้านเรือนและเมืองเก่า ก่อนจะสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาทดแทน พร้อมกับเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านและภูมิภาค จนกลายเป็นการลบตัวตนของชาติหนึ่งอย่างเป็นระบบ พูดได้ว่าเป็นความพยายามทำให้ชาติหนึ่ง “หายไปจากแผนที่โลก” อย่างสิ้นเชิง
แปดทศวรรษผ่านไป ความเจ็บปวดและบาดแผลยังคงซ่อนอยู่ในทุกตารางเมตรของดินแดนปาเลสไตน์ บ้านที่ถูกทลายยังเหลือเพียงซากปรักหักพัง เมืองเก่าถูกแทนที่ด้วยชื่อใหม่ที่ไม่หลงเหลือความทรงจำเดิม และประชาชนนับล้านยังคงไร้บ้านในแผ่นดินที่ควรเป็นของพวกเขาเอง เมื่อภาพเหล่านี้ยังดำเนินอยู่ต่อหน้าต่อตา โลกจึงต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า เราจะยังยอมให้ความอยุติธรรมดำรงอยู่อย่างยาวนาน โดยปล่อยให้ผู้คนทั้งชาติถูกลบหายไปจากแผนที่เพียงเพราะอำนาจและการเมืองได้จริงหรือ
“แม้แต่น้ำมันมะกอกที่เคยเป็นสิ่งขึ้นชื่อของดินแดนบริเวณปาเลสไตน์ ก็ยังถูกอิสราเอลปล้นไปเป็นผลิตภัณฑ์ประจำชาติของตัวเอง”
บทบาทของสหรัฐอเมริกาในความขัดแย้งอิสราเอล–ปาเลสไตน์
ผศ. ดร.อาทิตย์ อธิบายว่า บทบาทของสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1948 ซึ่งเป็นช่วงที่ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์เพิ่งปะทุ สหรัฐฯ พยายามวางตนเป็นตัวกลางผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเดินไปบนเส้นทางสันติภาพ เปลี่ยนจากสมรภูมิที่คร่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน สู่โต๊ะเจรจาที่เปิดพื้นที่ให้เสียงของคู่ขัดแย้งได้ถกเถียง แม้จะไม่ใช่ทางออกทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นความพยายามที่ทำให้สถานการณ์มีความคืบหน้าในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม บทบาทเดียวกันนี้กลับพลิกผันไปในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในปี 2566 เมื่อสหรัฐฯ แสดงท่าทีสนับสนุนอิสราเอลอย่างเปิดเผยและเข้ามาแทรกแซงโดยไม่คำนึงถึงหลักกฎหมายและกติกาสากล ปฏิบัติการที่ควรจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งกลับกลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ผู้คนนับล้านจึงยังต้องเผชิญกับสงครามที่ไม่มีใครอาจบอกได้ว่าจะยุติลงเมื่อใด
“มหาอำนาจของเราไม่ได้ยึดอยู่กับหลักการ แต่กลับยึดอยู่ที่ว่านี่พวกฉัน นั่นพวกเธอ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก เพราะประวัติศาสตร์สงครามที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มต้นจากระเบียบกติกาสากลที่เคยถูกยึดถือถูกทำลาย จนกลายเป็นมาเป็นระบบพวกพ้อง”
ผศ.ดร.อาทิตย์ยังชี้ให้เห็นว่า ในอดีต ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของโลก รวมถึงสงครามโลกทั้งสอง ต่างมีรากเหง้ามาจากการที่มหาอำนาจไม่เคารพกติกาหรือข้อตกลงร่วมกัน เมื่อกติกาถูกทำลาย ระบบโลกก็เหลือเพียงการใช้อำนาจและผลประโยชน์ของ “ระบบพวกพ้อง” ที่ใครอยู่ฝั่งไหนก็ถือว่าถูก หากโลกยังคงดำเนินไปภายใต้แนวคิดเช่นนี้ โดยไร้หลักการที่ทุกฝ่ายยึดถือร่วมกัน ความวุ่นวายย่อมทวีคูณ และท้ายที่สุดอาจนำไปสู่หายนะครั้งใหม่ ที่โลกทั้งใบจำต้องบันทึกไว้เป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์อีกครั้ง
“เรื่องที่เราควรจะกังวลมากๆ ในวันนี้คือเรื่องที่ของระเบียบและวิถีปฏิบัติที่เราเคยยึดถือ มันล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง ทั้งการจัดการข้อพิพาทอย่างสันติ กลไกของสหประชาชาติ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนต่างก็ถูกทำลายไปหมด โดยที่ไม่สามารถบังคับพฤติกรรมของผู้ที่ละเมิดให้เข้ามาเคารพกติกาได้”
เมื่อข้อตกลงและหลักการที่เคยเป็นเกราะคุ้มกันล่มสลายลง การเอาผิดกับรัฐหรือประเทศที่ละเมิดกติกาก็กลายเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้ และสุดท้ายแล้ว สิ่งที่อาจหลงเหลืออยู่กลับเป็นเพียง “กฎแห่งป่า” (Law of the Jungle) ที่ผู้แข็งแกร่งย่อมได้เปรียบผู้ที่อ่อนแอ และทางออกของข้อพิพาทก็อาจเหลือเพียงการใช้กำลังเท่านั้น
“สิ่งที่เลวร้ายก็คือการจัดการความขัดแย้งโดยไม่เข้าใจ และก็ขัดแย้งโดยการกดมันเอาไว้จนมันระเบิดออกมาเป็นความรุนแรง”
อิหร่านกับบทบาทที่อาจทิศทางความขัดแย้ง
รัฐธรรมนูญของอิหร่านได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการ “ปลดปล่อยดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวอิสลาม” ดินแดนที่หมายถึงปาเลสไตน์ ดังนั้น การสนับสนุนปาเลสไตน์จึงไม่ใช่เพียงนโยบายระยะสั้น หากแต่เป็นพันธกิจที่อิหร่านยึดถือมาโดยตลอด ขณะที่อีกฟากหนึ่ง อิสราเอลย่อมไม่อาจอยู่นิ่งเฉยต่อพลังสนับสนุนเช่นนี้ และทำให้อิหร่านกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่อิสราเอลเฝ้าระวังและต้องการสกัดกั้น
ผศ. ดร.อาทิตย์ อธิบายว่า หากต้องการคลี่คลายความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ โลกจำเป็นต้องย้อนกลับไปทบทวนหลักการจัดตั้งรัฐที่เคยถูกกำหนดไว้ในแผนการแบ่งแยกดินแดนดั้งเดิมของอิสราเอลและปาเลสไตน์ ขณะเดียวกัน สหประชาชาติก็เคยเสนอแนวคิด “รัฐเดียว” ที่มีการแบ่งเขตการปกครองภายใน เพื่อรองรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนาที่สลับซับซ้อนในพื้นที่ พร้อมทั้งตอบโจทย์เรื่องผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์กว่า 10 ล้านคนทั่วโลกที่ยังคงมีสิทธิอันชอบธรรมในการกลับคืนถิ่นฐาน
ทว่าความท้าทายไม่ได้อยู่เพียงแค่การจัดวางเขตแดน หากยังรวมถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวยิวที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ กับชาวยิวดั้งเดิมที่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่มาเนิ่นนาน ความสัมพันธ์อันเปราะบางเหล่านี้ทำให้ปัญหายิ่งทับซ้อน กลายเป็นสมการที่ไม่มีคำตอบง่ายๆ และเป็นโจทย์ที่ยังคงเปิดกว้างสำหรับประชาคมโลกว่าจะหาทางออกอย่างไรในวันที่ทุกฝ่ายต่างแบกประวัติศาสตร์และบาดแผลของตนเองเอาไว้
แล้วท้ายที่สุด…เราจะสามารถสร้างสันติภาพได้จริงหรือไม่ หากสันติภาพนั้นต้องอาศัยการอยู่ร่วมกันของผู้คนที่ต่างสะสมทั้งความหวัง ความสูญเสีย และความไม่ไว้วางใจมานานกว่าครึ่งศตวรรษ?
“เรื่องพื้นฐานก็คือสิทธิในการมีลมหายใจ เพราะไม่มีอะไรรับประกันสิทธิในการมีชีวิตของพวกเขา (ชาวปาเลสไตน์) ได้เลย ไม่ว่าจะยามกิน ยามตื่น หรือยามนอน แม้กระทั่งกลางดึกก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้พลัดถิ่นทุกเมื่อ”
ข้อเรียกร้องของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลต่อรัฐต่างๆ และประชาคมโลก
- หยุดยิงทันที ยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา และยกเลิกการปิดล้อมโดยอิสราเอล ต้องมีการหยุดยิงโดยทันที ถอนกำลังทหารอิสราเอล และยกเลิกการปิดล้อมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงโดยเสรีและปลอดภัย
- ยุติการยึดครองที่มิชอบด้วยกฎหมายและระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติต่อชาวปาเลสไตน์ ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ที่ยืนยันว่าการยึดครองของอิสราเอลไม่ชอบด้วยกฎหมาย และระบบแบ่งแยกเชื้อชาติถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
- ร่วมกันฟื้นฟูฉนวนกาซา และเยียวยาชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบ รัฐต้องให้คำมั่นต่อการฟื้นฟูและการเยียวยาประชาชนในกาซา โดยไม่บังคับอพยพ และต้องมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมปาเลสไตน์
- จัดตั้งกลไกการเยียวยาและค่าชดเชยให้กับชาวปาเลสไตน์ จัดทำทะเบียนความเสียหายสากล และมอบการเยียวยาที่ครอบคลุมทั้งการคืนสภาพ การชดเชย การฟื้นฟู การสร้างใหม่ และการรับประกันว่าจะไม่เกิดซ้ำ
- สนับสนุนความรับผิดทางกฎหมายต่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การแบ่งแยกเชื้อชาติและการยึดครองทางทหาร ต้องบังคับใช้หมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) และสนับสนุนการสอบสวน รวมถึงใช้กลไก เขตอำนาจศาลสากล เพื่อนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
- เพิ่มแรงกดดันต่ออิสราเอลให้ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ หยุดการสนับสนุนการละเมิดทุกรูปแบบ รวมถึงการค้าขาย การลงทุน และการจัดหาอาวุธ รื้อฟื้นกลไกพิเศษของสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอัปาร์ไธด์ และกดดันภาคธุรกิจไม่ให้มีส่วนร่วมในการละเมิด
ร่วมลงชื่อเพื่อยุติการฆ่าล้าเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา ได้ที่นี่
สามารถติดตามและฟังบทสนทนาเต็มๆ กับ ผศ. ดร.อาทิตย์ ทองอินทร์ ได้ใน Talk อะ Rights Podcast โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้ที่
YouTube: https://shorturl.asia/Kjren
Spotify: https://shorturl.asia/tc4nk
Apple Podcasts:https://shorturl.asia/Ln8Ee