Monday for human rights: ชีวิตที่รับผิดชอบต่อสิทธิในความเป็นมนุษย์: เรื่องเล่าสมาชิกแอมเนสตี้ผ่านธุรกิจที่ไม่ได้ขายของ…แต่ขายความสัมพันธ์ 

สิทธิมนุษยชนไม่ควรเป็นแค่ชื่อที่ใช้เรียกในห้องประชุมหรือบนเวที แต่ควรเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกจานข้าว ทุกลมหายใจ ทุกความสัมพันธ์ที่เราเลือกจะมีเรื่องสิทธิต่อกันและกัน 

-น้ำตาล ภัทรานิษฐ์ สมาชิกแอมเนสตี้ ประเทศไทย-

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ บทบาทต่างๆ มักพาเราให้ห่างจากคำว่า “มนุษย์” ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แต่มีบางคนที่พยายามดึงชีวิตให้กลับมาเชื่อมโยงกับรากเหง้าของความเป็นมนุษย์ในทุกบทบาทที่ตัวเองเลือก คนขายอาหาร นักกิจกรรม ผู้ร่วมงาน และการเป็นสมาชิกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย 

น้ำตาล ภัทรานิษฐ์ ศรีจันทร์ดร ไม่ได้อธิบายตัวเองด้วยคำจำกัดความแบบ textbook เหมือนในหนังสือที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการ และเธอก็ไม่ได้เดินเข้าสู่โลกของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน ด้วยการออกไปเคลื่อนไหวถือป้ายบนถนนใหญ่ หรือประกาศอุดมการณ์ผ่านไมโครโฟน หากแต่เธอเลือกสร้างโลกเล็กๆ ที่หวังจะช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ผู้คนกลับมารู้สึกว่าพวกเขามีตัวตน มีสิทธิ และมีคุณค่า ผ่านพื้นที่ที่เรียกว่า The Goodcery Space ใจกลางเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 

ธุรกิจที่ไม่ได้ขายของ แต่ขายความสัมพันธ์ 

ในมุมหนึ่งของเมืองที่คุ้นเคยและหลากวัฒนธรรม ร้านเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้เรียกลูกค้าด้วยเมนูยอดนิยม หรือบรรยากาศครัวเปิดแบบคาเฟ่ร่วมสมัย แต่คือการเชิญชวนให้ผู้คนได้ “คิดก่อนกิน” และ “อยู่ก่อนซื้อ” ผ่านวัตถุดิบจากชุมชน พริกจากชาวกะเหรี่ยง ข้าวจากไร่ของกลุ่มชาติพันธุ์จากชุมชนที่อยู่บนภูเขา และอาหารเมียนมาร่วมสมัยที่ไม่ได้เสิร์ฟเพื่อความแปลกใหม่ แต่เสิร์ฟเพื่อให้เราได้เห็น “ความเป็นเพื่อนมนุษย์ที่เข้าใจกันและกัน” 

เรารู้สึกว่าอาหารมันบอกความสัมพันธ์มนุษย์ได้ง่ายกว่าอะไรหลายอย่าง เพราะอาหารไม่ต้องแปลความอะไรมากมาย เราไม่ต้องเข้าใจภาษากันก็ยังเข้าใจกันได้ว่า เพียงแค่เรารู้ว่าใครทำอาหารนี้ให้เรา และอาหารมีเรื่องเล่าอะไรอยู่ในจานบ้าง 

น้ำตาลไม่ได้เปิดร้านนี้เพื่อช่วยเหลือใครในฐานะผู้ให้เพียงอย่างเดียว แต่เธอสร้างพื้นที่แห่งนี้ขึ้นมา ในฐานะ “ผู้ร่วมอยู่” กับทุกคนในฐานะมนุษย์ที่เป็นคนเท่ากัน เพื่อเป็นพื้นที่ของการร่วมกันคิด ร่วมกันเสิร์ฟ และร่วมกันมีชีวิตที่เคารพกันในเรื่องสิทธิมนุษยชน 

สมาชิกแอมเนสตี้ในชีวิตที่ไม่มีบทบาทตายตัว 

หากถามว่าน้ำตาลเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ในบทบาทไหน เธอหัวเราะเบาๆ ระหว่างคุยกัน ก่อนตอบว่า “เปลี่ยนไปเรื่อย บางทีเป็นนักธุรกิจ บางคืนก็เป็นคนที่คิดถึงโลกมากจนต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง หรือบางบางวันก็เป็นคนธรรมดาการเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ของเธอจึงไม่ใช่แค่การกรอกฟอร์มและจ่ายค่าสมาชิกรายปีให้ผ่านๆ ไป แต่คือการวางใจ วางตัว และวางชีวิตในฝั่งของคนที่เลือกจะไม่เฉยกับความไม่ยุติธรรม แม้สิ่งที่ทำจะเล็กมากจนไม่มีใครเห็นก็ตามในบางครั้ง 

เราอยู่วงการที่ต้องใช้เหตุผล ใช้หลักกฎหมายในการทำงาน และเมื่อเข้าใจสิ่งนั้นดีพอ เราก็จะรู้ว่า ‘สิทธิ’ คือฐานของทุกอย่าง ถ้าเราเชื่อในความยุติธรรม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เห็นด้วยกับเรื่องสิทธิมนุษยชน” 

ทำไมต้องเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ 

เพราะเราไม่อยากให้โลกนี้มีใครรู้สึกว่าเขาไม่มีใครอยู่ข้างๆ” 

น้ำตาล ย้ำว่าการเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ ประเทศไทย สำหรับเธอ คือการไม่ทิ้งให้คนที่ถูกละเมิดต้องต่อสู้เพียงลำพัง แม้เราจะไม่สามารถไปช่วยเขาได้ตรงๆ แต่อย่างน้อยก็สามารถส่งเสียงร่วมกับเขาได้ เราสมัครเพื่อจะอยู่ตรงนี้ อย่างน้อยในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง หรือในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมรับว่าความอยุติธรรมคือเรื่องธรรมดาในสังคมนี้ โดยน้ำตาลเชื่อว่าการสมัครเป็นสมาชิก ไม่ว่าจะรายเดือนหรือรายปี ไม่ได้เป็นแค่การสนับสนุนองค์กร แต่เป็นการยืนยันกับตัวเอง ว่าเราจะไม่ยอมอยู่เฉยในโลกที่ความรุนแรงหรือการละเมิดสิทธิ ถูกทำให้กลายเป็นปกติ หรือการละเมิดสิทธิคือเรื่องที่ถูกปล่อยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย 

โลกเล็กๆ ที่อยากให้เป็นธรรม กับ อาหารหนึ่งจาน กับโลกทั้งใบ 

ทุกวันในร้านของน้ำตาลคล้ายกับการทดลองทางจริยธรรมขนาดย่อมเรื่องชีวิตผู้คนและสิทธิมนุษยชน โดยมีการตั้งราคาขายที่ประเมินแล้วว่าสามารถจับต้องได้ รวมถึงการเลือกพาร์ตเนอร์ธุรกิจที่ตรวจสอบการทำงานแล้วว่าไม่กดทับสิทธิแรงงาน และการตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำๆ ว่า “เรากำลังผลิตสิ่งที่รับผิดชอบต่อโลกอยู่หรือเปล่า เธอบอกว่าโลกที่ใหญ่เกินควบคุม อาจไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจัดการได้ แต่โลกเล็กๆ รอบตัวคือสิ่งที่เราคุมได้เสมอในความคิดส่วนตัวของเธอ 

ถ้าโลกใบนี้ใหญ่เกินไป ก็เริ่มจากจานข้าวในบ้านเรา เริ่มจากเพื่อนร่วมครัวเรา เริ่มจากคนที่เราจ่ายเงินให้ และเริ่มจากตัวเราที่เลือกจะไม่ละเลยอีกต่อไป” 

ในความเข้าใจของน้ำตาล เมนูธรรมดาที่สุดอย่าง “ข้าวกระเพราไก่” สำหรับเธอแล้วคิดว่าเมนูนี้ก็สามารถเล่าเรื่องสิทธิมนุษยชนได้ หากวัตถุดิบในจานนั้นมาจากชาวบ้านที่ได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม ไก่เติบโตมาโดยไม่ถูกทารุณกรรม และคนกินมีสติว่าอาหารไม่ใช่ของถูก แต่คือของที่เต็มไปด้วยความสัมพันธ์ ถ้าเปรียบเทียบอาหารกับสิทธิมนุษยชนเธอยกเมนูนี้ขึ้นมา เพราะเห็นว่าคนไทยนึกอะไรไม่ออกก็สั่งกระเพราไก่ไข่ดาวกิน 

มันเป็นอาหารที่กินง่าย เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ทุกวัตถุดิบที่อยู่ในนั้น ต้องเป็นของที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ของอร่อยที่ทำให้เรามีความสุขคนเดียว” 

เธอบอกว่า ถ้าแอมเนสตี้ ประเทศไทยเป็นอาหาร ก็เป็นกระเพราไก่จานนั้น คือไม่หวือหวา ไม่อลังการ แต่ยืนหยัดและจริงใจ ไปไหนไปด้วยกัน…. 

สิทธิที่อยู่ในจังหวะเล็กๆ ของชีวิต 

น้ำตาลมองว่าสิทธิมนุษยชนไม่ควรถูกกักเก็บไว้ในเอกสารราชการ หรือจำกัดไว้ในห้องเรียน เพราะสิทธิสำหรับเธอคือเรื่องธรรมดาที่สุดของการมีชีวิต สิทธิมนุษยชนคือ สิ่งที่มนุษย์ควรจะได้ตั้งแต่ลืมตาดูโลก ไม่ใช่ต้องแย่ง ไม่ใช่ต้องอธิบาย หรือพิสูจน์ให้ใครเห็นว่าเราคู่ควร” และเพราะเธอเชื่อเช่นนั้น เธอจึงไม่ยอมให้ความเป็นมนุษย์ของใครถูกลดทอนลงด้วยคำว่า สิทธิไม่ใช่เรื่องของเรา’ 

เพราะความเป็นมนุษย์ไม่ใช่ของใครคนเดียว 

สิ่งที่น่าประทับใจในตัวน้ำตาลอาจไม่ใช่แค่ร้านอาหารหรือบทบาทในฐานะสมาชิกองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ ประเทศไทย หากคือความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงคำว่า “อยู่ร่วมกัน” อยู่ด้วยกันโดยไม่เบียดเบียน อยู่โดยไม่ทำร้าย อยู่โดยเห็นว่าทุกคนต่างมีที่ทางในโลกนี้ 

การเป็นสมาชิกแอมเนสตี้อาจจะดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่การเป็นสมาชิกเป็นเหมือนการบอกตัวเองว่า เราเลือกจะอยู่ฝั่งที่เห็นคนอื่นเป็นมนุษย์ เท่ากับที่เราอยากให้เขาเห็นเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน” 

ท้ายที่สุด… 

หากคุณเคยรู้สึกว่าโลกนี้น่าจะดีกว่านี้ หากคุณเคยอยากทำอะไรสักอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน บางที…การสมัครเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการกลับมา “รับผิดชอบต่อความเป็นมนุษย์” อีกครั้ง สามารถสมัครเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้ที่ https://bit.ly/4kEJSkL เพราะสิทธิมนุษยชนไม่ควรเป็นของใครคนเดียว สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน 

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน