ค่าย Human Right Geek ระนอง ตอน ตะลุย SEC: เรียนรู้สิทธิมนุษยชนการมีส่วนร่วมและการพัฒนา

Amnesty International

เมื่อวันที่ 4-8 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) กลุ่ม Law Long Beach คลับ ม.อ.หาดใหญ่ ,ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ม.อ.ปัตตานี และแอมเนสตี้คลับ ม.อ.ปัตตานี จัดค่ายรวมเยาวชนจากทั่วประเทศกว่า 40 คน มาเรียนรู้สิทธิมนุษยชน ลงพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้สิทธิในการมีส่วนร่วมและการพัฒนาร่วมกับชุมชนในจังหวัดระนอง และอำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร

กิจกรรมนี้มีเป้าหมายในการเสริมศักยภาพของแอมเนสตี้คลับในการจัดค่าย และจุดประกายเติมความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิในการมีส่วนร่วมในการพัฒนา ผ่านกรณีศึกษาจากพื้นที่จังหวัดระนองและชุมพร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้โครงการ ‘ระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้’ (SEC) รวมถึงการสร้างแรงบันดาลให้เยาวชนได้เป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนร่วมกันต่อไป

จังหวัดระนองและจังหวัดชุมพรเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นพื้นที่ที่ถูกปักหมุดโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ และกำลังมีร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor) หรือ พ.ร.บ.SEC ที่หากผ่านการพิจารณาเป็นกฎหมาย อาจทำให้คนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมง เกษตร ผู้ประกอบการท่องเที่ยว หรือคนไทยพลัดถิ่นที่อาจถูกเวนคืนที่ดินบริเวณที่อยู่อาศัยและสูญเสียพื้นที่ทำกิน รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดกับทรัพยากรทางธรรมชาติทั้งต้นไม้ ผืนดิน แหล่งน้ำ พื้นที่ทะเล วิถีชีวิตผู้คนที่อิงกับทรัพยากรอาจจะเปลี่ยนไปหรือสูญสลายจากการพัฒนาดังกล่าว แล้วผู้คนที่จะได้รับผลกระทบเหล่านี้ รับรู้ข้อมูลหรือได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดการพัฒนามากน้อยอย่างไร

ตลอดทั้ง 4 วัน ค่าย Human Rights Geek ระนอง ตอน ตะลุย SEC ได้สร้างกระบวนการการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมที่หลากหลายผ่านกิจกรรม การสัมผัส พูดคุยกับผู้คนในพื้นที่จริง ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักพื้นที่และศักยภาพเมืองระนองโดยวิทยากรจากชมรมมัคคุเทศก์เมืองระนอง การทำความรู้จักโครงการ SEC จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ หรือการลงพื้นที่ไปพูดคุยร่วมกับชุมชนที่บ้านหินช้าง ตำบลปากน้ำ และตำบลราชกรูด จังหวัดระนอง

รวมทั้งมีห้องเรียนสิทธิมนุษยชนที่เน้นย้ำถึงสิทธิในการมีส่วนร่วมและการพัฒนา การได้เรียนรู้รูปแบบการใช้สิทธิเพื่อการต่อสู้เรียกร้องการมีส่วนร่วมและการเคลื่อนไหวของกลุ่มภาคประชาชนต่าง ๆ ในทั้งพื้นที่และนอกพื้นที่ จากประสบการณ์การเคลื่อนไหวของเครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร และในวันสุดท้ายของกิจกรรมได้มีกระบวนการให้เยาวชนได้นำข้อมูลความรู้ มาทดลองคิด ออกแบบ กิจกรรมรณรงค์มาเสนอต่อตัวแทนจากภาคประชาชนและชุมชนอีกด้วย

เสียงจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ‘ค่าย Human Rights Geek ระนอง ตอน ตะลุย SEC’

ข้าว นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยเข้าร่วมกิจกรรม ค่าย Human Rights Geek: Campaigner 101 จังหวัดระยอง เธอมองว่าเป็นข้อดีที่ทำให้ตัวเองได้ทบทวนความรู้และความเข้าใจที่อาจจะหลงลืม

สำหรับกิจกรรมครั้งนี้เธอให้มุมมองว่า มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด โดยค่ายอาจจะนำข้อผิดพลาดในการจัดกิจกรรมครั้งก่อนที่ยังติดขัดมาแก้ไขให้ราบรื่นมากขึ้น โดยเฉพาะเซคชั่นการทดลองสร้างแคมเปญรณรงค์ที่มีกรอบและคำแนะนำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคิดสามารถเกิดขึ้นได้จริง และจะนำความรู้ที่ได้รับจากการลงพื้นที่ไปต่อยอดต่อไป

“ณ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าทำอะไรต่อ แต่ความรู้ที่ได้รับค่อนข้างแน่น และได้รับแรงบันดาลใจมากมาย สักวันอาจจะรวมกลุ่มกับเพื่อน จัดกิจกรรมอะไรสักอย่าง หรือสื่อสารออกไปไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างน้อยก็อยากให้เพื่อนในมหา’ลัยของตัวเองรู้ถึงปัญหาของ พรบ. SEC” เธอกล่าว

เช่นเดียวกันกับ ไนซ์ จากสถาบันเดียวกันเล่าว่า เคยมีประสบการณ์การเข้าค่ายเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของผลกระทบในพื้นที่จาก พ.ร.บ.SEC ของทางสถาบัน แต่ไม่ได้มีลักษณะในการรับฟังหรือพื้นคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ เธอเล่าว่า สำหรับค่ายนี้ เธอได้รับมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเสียงจากชาวบ้านในพื้นที่มาเล่าถึงผลกระทบที่ตัวเองต้องพบเจอ อีกทั้งยังมีองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) คอยให้คำแนะนำ และช่วยเหลือผลักดันการเรียกร้องถึงปัญหาที่ชาวบ้านต้องพบเจอ

“หลังจากนี้ เราก็อยากจะกลับไปทำโปรเจคที่สโมสรรัฐศาสตร์เพราะว่าตัวเองเป็นฝ่ายพัฒนาสังคมอยู่แล้ว ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกัน จึงอยากจะทำโปรเจคที่จะพูดพูดถึงเรื่องของ SEC แต่จะ Present ในรูปแบบมุมมองของชาวบ้านมากกว่าที่จะเป็นมุมมองของรัฐ เพราะเรามองว่ามุมมองของรัฐสามารถหาได้ง่ายมากกว่าของชาวบ้านมักจะถูกปิดไป” เธอกล่าว

นอกจากนี้ ไนซ์ยังเล่าถึงความประทับใจที่มีต่อค่ายว่า รู้สึกชื่นชมที่ภายในทีมงานหลายคน และวิทยากรเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่หรือใกล้เคียง ทำให้เธอรู้สึกว่า คนที่มาให้ความรู้มีความเข้าใจพื้นที่และสามารถที่จะดึงข้อมูลมานำเสนอให้คนที่ไม่มีข้อมูลได้อยากครบถ้วน ทำให้ได้ข้อมูลในมุมมองมิติที่หลากหลาย รวมถึงเพื่อนในค่ายที่มาจากหลายสถาบัน หลายองค์ความรู้ วัฒนธรรม และศาสนา รวมทั้งบางคนยังเป็นคนที่ได้จะได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.SEC โดยเธอได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองทั้งด้านวิถีชีวิต อาหาร ศาสนา และที่สำคัญคือได้ทำความรู้จักกับภาคใต้มากขึ้นจากปากเพื่อน ๆ ของเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกผูกพันธ์และอยากที่จะกลับมาเยี่ยมเยือนภาคใต้อีกมากขึ้น

นาย นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เธอเล่าว่า รู้จักชื่อของ Amnesty International Thailand ว่าเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว จึงเกิดความสงสัยและอยากรู้ว่าค่าย Human Rights Geek ระนอง จะมีลักษณะเป็นอย่างไร หรือจะมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองเกิดขึ้นด้วยหรือไม่ อีกทั้งเธอยังมีความสนใจเรื่องของ พ.ร.บ.SEC อยู่แล้วเกี่ยวกับเรื่องของการเข้ามาของทุนผูกขาดที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ จึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมค่ายในครั้งนี้

เธอเล่าว่า คุณภาพของเนื้อหาภายในค่ายมีความลึกและรอบด้าน ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวและตื่นเต้นที่จะได้ทำกิจกรรมและอยากจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อน ๆ และพี่ ๆ เพราะทุกคนไม่มีใครที่มีความคิดเห็นของตัวเองที่แน่วแน่เกินไป ซึ่งเธอเชื่อและชื่นชอบในสิทธิการแสดงออกภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียม

“เคยคิดว่าค่ายนี้เป็นแค่การอบรมธรรมดา ไม่ได้นึกถึงการลงพื้นที่จริง หรือการพูดคุยกับชาวบ้าน นอกจากนี้ทุกคนค่ายให้ความเป็นกันเอง ดูแลกันเป็นอย่างดี เวลามีปัญหาก็ช่วยเหลือตลอด ให้ความรู้สึกต่างจากค่ายอื่น ๆ ที่มีเพียงแค่การอบรมเพียงอย่างเดียว”

ก่อนจะจบค่าย กลุ่มของนายยังได้ร่วมคิดแคมเปญทดลองการนำวัตถุดิบอาหารจากในชุมชนของชาวบ้านมาต่อยอดเป็นสินค้าจำหน่ายเพื่อหารายได้กลับเข้าสู่ชุมชน ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเธอยังหวังว่าในอนาคต หากชาวบ้านติดต่อเธอมาอีกครั้ง เธอก็พร้อมที่จะขยายผลต่อให้เกิดแบรนด์ชุมชนต่อไป เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งมาช่วยขับเคลื่อนเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชนของชาวบ้านต่อไป

ในด้านของ เฟิร์ส ว่าที่บัณทิตจากสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เล่าว่า ในช่วงเวลานี้ตัวเองกำลังจะเตรียมศึกษาต่อในระดับปริญญาโทด้าน Economic, Social and Cultural Rights ค่ายนี้จึงตอบโจทย์ในการเพิ่มพูนความรู้ด้าน Human Right และ Project Manager ผ่านกระบวนการเรียนรู้จากกิจกรรมให้กับตัวเองได้ ซึ่งตอบโจทย์ความคาดหวังที่ตั้งไว้ อีกทั้งยังเล่าถึงความประทับใจในค่ายนี้อีกว่า แม้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากหลายๆ ศาสตร์องค์ความรู้ หลากหลายวัฒนธรรม แต่ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและผสานสิ่งเหล่านั้นอย่างราบรื่น

“เรื่องของ Human Right ไม่จำเป็นต้องเรียนนิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ในค่ายนี้มีทั้งคนที่เรียนศึกษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รวมถึงโลจิตติกส์ ทุกคนก็ยังมีความเข้าใจเรื่องของ Human Right และหาคิดทางออกของการถูกละเมิดสิทธิต่าง ๆ ได้ด้วยการองค์ความรู้แบบเดียวกัน” เฟิร์สกล่าว

นาย นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่าที่คุณครูสังคมผู้สนใจประเด็นเกี่ยวกับ พ.ร.บ. SEC เพราะบ้านเกิดของเธออยู่ในพื้นที่โครงการที่เกิดขึ้นจาก ‘พระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก’ (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยเธอกล่าวว่า พ.ร.บ.SEC เป็นเหมือนการโคลนนิ่ง พรบ.EEC ที่ในอดีตเป็นพื้นที่ที่มีมาตราฐานการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่สำหรับการทำอุตสาหกรรม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาให้แก่ระบบนิเวศและวิถีชีวิตของประชาชน

“หากหาข้อมูลจากแค่ในหนังสือหรือจากในเอกสาร เราก็จะเข้าใจในประเด็นแค่ที่คนเขียนอยากให้คนอ่านรู้หรือชี้นำคนอ่าน แต่พอเราเข้าไปชุมชนกับค่ายนี้ เราได้เข้าใจคำว่า เดือดร้อน มันไม่ใช่แค่เดือดร้อนแต่เป็นเรื่องของชีวิตคนทั้งชีวิต ชาวบ้านบางคนเขาบอกว่า ชีวิตมันไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์แต่ว่ามันคือการติดลบ เพราะบางคนที่เขาเป็นคนไทยผลัดถิ่น แล้วเขาไม่มีสิทธิอะไร ลองคิดภาพว่าถ้าบ้านของพวกเขามีโครงการแลนด์บริดจ์หรือ SEC มันเข้ามา พวกเขาจะมีอนาคตยังไง”

นายเล่าต่ออีกว่า ในอนาคตเมื่อตัวเองกลายเป็นครู ประสบการณ์จากค่ายนี้จะเป็นแรงบันดาลใจในการสอนนักเรียนของเธอให้มีความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนอย่างลึกซึ้ง โดยให้เหตุผลประกอบว่า หาก พ.ร.บ.SEC ผ่านการอนุมัติ ในอนาคตจะเกิด ‘พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ’ (Northern Economic Corridor: NEC) ตามมา และจะก่อให้เกิดปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน ซึ่งนักเรียนของเธอที่อยู่ในภาคเหนือจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น มลภาวะทางอากาศ หรือปัญหาสาธาณูปโภค

“ในฐานะนักศึกษาวิชาชีพครูคนหนึ่ง ตอนเราฝึกสอน เช่นเรื่อง สิทธิการชุมนุม อย่างมากที่สุดก็แค่อ่าน Paper เพิ่มเกี่ยวกับเหตุการณ์ตัวอย่างเพื่อไปสอน แต่สุดท้ายแล้วเราไม่ได้เกิดความเข้าใจกับมันจริง ๆ เหมือนเราจำเพื่อไปสอน แต่พอมาค่ายนี้เมื่อความรู้เราเพิ่มขึ้นเราก็เหมือนได้พัฒนานักเรียนตัวเองด้วย และก็ทำตามแบบตามจรรยาบรรณของวิชาชีพคือ ครูจะต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองพัฒนาตัวเองเสมอแล้วเราทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่” เธอกล่าว

มิน นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เล่าว่า ตนมีความสนใจในประเด็น ‘สิทธิการมีส่วนร่วมในการพัฒนา’ และ ‘สิทธิชุมชน’ ของชาวบ้าน โดยให้เหตุผลว่า “เสียงของชาวบ้าน คือเสียงที่ไม่ได้ทำให้ถูกมองเห็นโดยใครบางคน แม้เสียงเหล่านั้นคือความต้องการจริง ๆ ของพื้นที่” ซึ่งมองว่า ผลกระทบของ พ.ร.บ.SEC จะมีผลเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและปากท้องของชาวบ้านโดยตรง มินจึงตั้งความคาดหวังในค่ายนี้ว่า จะได้เรียนรู้แล้วทำความเข้าใจถึงความต้องการของชุมชม ความท้าทาย รวมถึงแง่มุมในมิติต่าง ๆ ทั้ง นิติธรรม บริบททางประวัติศาสตร์ ความเป็นอยู่และการมีอยู่ของคนในพื้นที่

“พอเราเข้ามาดูจริง ๆ เข้ามาเห็นจริง ๆ ทำให้เราได้เห็นว่า ผลกระทบของ SEC มันไม่ได้เกิดกับแค่คนระนอง แต่รวมถึงคนชุมพรที่ได้รับผลกระทบ เรามีคนไทยพลัดถิ่น มีคนเกาะ มีคนไม่มีสัญชาติ ซึ่งอาชีพเดียวที่เขาทำได้คือประมง แต่ทะเลของพวกเขากำลังจะหายไป”

มินกล่าวทิ้งท้ายว่า ค่ายนี้ได้มอบแรงบันดาลใจให้กับตน เพราะเสียงจากชาวบ้านคือความหวัง และความฝัน คือรากเหง้าของวิถีชีวิต ซึ่งจะกลายเป็นแรงผลักดันให้ตนในอนาคตในการสนับสนุนและเรียกร้องความเป็นธรรมในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนต่อไป

ช้าง นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เข้าร่วมค่ายนี้เพราะอยากได้รับประสบการณ์ในการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาจากชาวบ้านถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก พ.ร.บ.SEC โดยมองว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไม่สามารถรับรู้ได้ถ้าไม่ใช่จากปากของคนในพื้นที่

โดยช้างมีความประทับใจในค่ายนี้เป็นอย่างมาก โดยเล่าว่า สิ่งที่ได้รับจากค่ายเกินจากความคาดหวังไว้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ ที่หลายคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทุกคนมาพร้อมด้วยความกระตือรือร้นทื่อยากจะเรียนรู้ในประเด็นต่าง ๆ ทั้งเรื่องของผลกระทบจาก พ.ร.บ.SEC เสียงเรียกร้องของชาวบ้าน สิทธิมนุษยชนในด้านต่าง ๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจากเพื่อนในค่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ตนรู้สึกต้องผลักดันตัวเองให้ตื่นตัวและได้คิด วิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา

“ผมอยากจะเชิญชวนเพื่อน ๆ ที่มีความสนใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน มีความคิดเห็นเป็นของตัวเองชัดเจน ให้มาค่ายลักษณะแบบนี้ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดของกันและกัน เพราะอย่างน้อย ๆ ในค่ายนี้ สิ่งที่ผมจะสามารถนำกลับเอาไปใช้ได้ คือเรื่องของวิธีการพูดคุยกับชุมชน การถามถึงปัญหา หรือรวมไปถึงเรื่องของการร่วมคิดและแลกเปลี่ยนความเห็นในสร้างโปรเจคหรือแคมเปญต่าง ๆ ในการสื่อสารเสียงจากชุมชนสู่ภาครัฐ”

ฮานัน นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล่าในมุมมองคนภาคใต้ว่าผลกระทบจาก พ.ร.บ.SEC ไม่ได้มีผลกระทบกับแค่ในพื้นที่จังหวัดระนองและชุมพร แต่รวมไปถึงพื้นที่ทางทะเลของภาคใต้ในจังหวัดอื่น ๆ ที่คนส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ของประเทศนี้ประกอบอาชีพประมง หรือแย่ที่สุดอาจจะส่งผลต่อน่านน้ำทะเลอื่น ๆ รวมถึงปัญหา Climate Change จากการสูญเสียทรัพยากรทรัพยาชาติทั้งในป่า และทะเล

นอกจากนี้ยังมองปัญหาของคนไทยผลัดถิ่นว่าเป็นกลุ่มคนที่จะถูกซ้ำเติมในสังคมด้วยปัญหาการไร้สัญชาติ เพราะหากที่ดินที่อยู่อาศัยถูกเวียนคืน สถานะของพวกเขาจะถูกบีบให้เป็นคนไร้บ้านโดยปริยาย

“ตอนมาค่ายนี้หนูรู้จักความหมายของ SEC แค่เป็นระเบียงเศรษฐกิจ แต่ไม่รับรู้เรื่องราวอย่างอื่นนอกจากนั้น แต่เพราะค่ายนี้ จึงทำให้รู้ว่า มันมีน้ำตาของความเจ็บปวดของคนในพื้นที่ที่ต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัว และต้องเกาะกลุ่มกันเองเพื่อต่อต้านตามลำพังโดยไม่มีคนช่วยพวกเขา” เธอกล่าว

โดยฮานันหวังว่าหลังจากจบกิจกรรมค่ายนี้ เธอจะพยายามประชาสัมพันธ์ถึงผลกระทบและรวมเสียงสนับสนุนให้กับชาวบ้านให้ไม่ต้องต่อสู้อยู่ผู้เดียว

“ยังมีบุคคลที่ถูกทอดทิ้งและต้องการให้ผู้คนได้ยินเสียงของพวกเขา ที่ผ่านมาเขาสู้โดยตลอดที่เขามีแค่มีกลุ่มของพวกเขาที่รับรู้กันเอง แต่หากเขามีคนนอกที่เราที่เขารับฟังเราเขาก็มีความหวัง” เธอกล่าว

บูม นักศึกษาชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ศูนย์ฯ ระนอง เล่าว่า มุมมองคนภายนอกยังมองว่า วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ของตน ถูกตั้งเพื่อผลิตเพื่อมารองรับการเข้ามาของโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งทำให้ตนมีความสนใจเกี่ยวกับ พรบ.SEC อยู่แล้ว แต่ยังมองเห็นผลกระทบของโครงการอย่างผิวเผินเช่นการเปลี่ยนผังเมืองจากพื้นที่สีเขียวกลายเป็นพื้นที่สีม่วง

ภายหลังการร่วมกิจกรรม ค่าย Human Rights Geek ระนอง ทำให้มุมมองด้านผลกระทบจากโครงการแลนด์บริดจ์ของบูมได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่เพียงแต่รับรู้ผลกระทบจากการสูญเสียทรัพยากรสิ่งแวดล้อม แต่จากการลงพื้นที่ของกิจกรรมทำให้รับรู้ปัญหาต่าง ๆ ของชมชน เช่น การมีอยู่กลุ่มคนไทยผลัดถิ่น ซึ่งแม้บูมจะเป็นคนในพื้นที่ ก็กลับไม่มีความรู้ว่ามีกลุ่มคนเหล่านี้อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ หากสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย พื้นที่ป่าและพื้นที่ทางทะเลในธรรมชาติไป ซึ่งเป็นเหมือนการกดทับให้กลุ่มคนเหล่านั้นไม่มีที่อยู่ ที่กิน และที่ไป

“เราควรจะหันมามองว่า ผลกระทบที่เกิดจากโครงการแลนด์บริดจ์กับผลประโยชน์ที่จะได้รับได้มันคุ้มค่ากันหรือไม่ เพราะสิ่งที่จะถูกพรากไปคือชีวิต ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก และสุดท้ายมันจะนำไปสู่การพรากชีวิตของคนทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ ในฐานะที่เราเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้จากภายในค่าย เราก็อยากเป็นกระบอกเสียงที่จะกระจายเรื่องราวเหล่านี้ให้อีกหลาย ๆ คนได้รับรู้ต่อไป”

เช่นเดียวกันกับ แมวส้ม  รุ่นน้องจากสถาบันเดียวกัน ซึ่งมีความตั้งใจอยากจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อบอกเล่าถึงผลกระทบที่จะตามมาให้กับคนผู้คนได้รับรู้ โดยเขากล่าวว่า ความเข้าใจแรกเกี่ยวกับกิจกรรมนี้คือ เป็นเพียงค่ายอบรมทั่วไป และไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ โดยแมวส้มเป็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่บ้านเกิดอยู่ใน อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ซึ่งเป็น 1 ในพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากการเวียนคืนที่ดินในการพัฒนาเส้นทางรถไฟรางคู่ของโครงการแลนด์บริดจ์

โดยแมวส้มกล่าวว่า ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ทราบเพียงว่าเนื้อหาของค่ายมีความเกี่ยวข้องกับบ้านเกิดของตน แต่ตนยังไม่ทราบถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะตามมาจากตัวโครงการ แต่ภายหลังจากการเรียนรู้ในห้องเรียนสิทธิมนุษยชนและการลงพื้นที่ชุมชน ทำให้ตนได้ตระหนักรู้ถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อที่อยู่อาศัยของตัวเองและสิ่งแวดล้อมที่จะสูญเสียไป

“ผมอยากนำความรู้จากค่ายไปใช้กับคนในหมู่บ้าน เพราะพวกเขาไม่มีแรงจะไปต่อสู้คัดค้านในเรื่องพวกนี้ พวกเขายอมแพ้เพราะไม่มีโฉนด แต่สิ่งที่ผมได้อบรมคือมันสามารถสู้ได้นะ เสียงของพวกเราความหวังที่อาจจะสามารถหยุดโครงการนี้ได้”

เสียงเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมค่าย Human Right Geek ระนอง ตอน ตะลุย SEC ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายในความสนใจด้านสิทธิมนุษยชน รวมถึงผลตอบรับและเป้าหมายในอนาคตที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ตลอดระยะเวลา 4 วัน 3 คืน ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ทั้งจากวิทยากร ห้องเรียนสิทธิมนุษยชน และการลงพื้นที่จริง นอกจากนี้ยังเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นมุมมองชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ หรือความรู้เฉพาะตัว สิ่งเหล่านี้ได้สร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เข้มแข็ง

การพบเจอและพูดคุยกับเพื่อนใหม่ในค่ายทำให้เกิดการตกผลึกความรู้ในหลากหลายมิติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความเข้าใจและสร้างพลังขับเคลื่อนเพื่อสิทธิมนุษยชนต่อไป