Amnesty International
“ปัจจุบันการทำข่าวออนไลน์มักจะถูกครอบงำด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘สั้น ซอย ถี่’ เพื่อดึงดูดความสนใจในระยะสั้น แม้จะสร้างยอดเข้าชมและการมีส่วนร่วม แต่ทำให้การเล่าเรื่องเชิงลึกและการพิจารณาประเด็นสิทธิมนุษยชนถูกลดทอนลงไป”
ความสำคัญของเรื่องเล่าที่มิอาจหลงลืม ในยุคที่การสื่อสารเป็นไปด้วยความรวดเร็วและการบริโภคข้อมูลถูกย่อให้กระชับ การเล่าเรื่องที่ลึกซึ้งและสะท้อนปัญหาสังคมอย่างละเอียดกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกละเลย ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการรางวัลสื่อมวลชนเพื่อสิทธิมนุษยชน Media Awards 2024 จากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ชี้ให้เห็นถึงจุดสำคัญที่สื่อมวลชนยังคงต้องแบกรับไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภูมิทัศน์สื่อ

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสื่อสิ่งพิมพ์จากความยาวสู่ความรวดเร็วว่า ในอดีตการอ่านงานสื่อสิ่งพิมพ์เปรียบเสมือนการลิ้มรสอาหารชั้นเลิศ ผู้เขียนมีเวลาสำหรับการถ่ายทอดรายละเอียดต่างๆ ในเนื้อหา เพื่อดึงผู้อ่านเข้าสู่ความลึกซึ้งของเรื่องราว ดร.พรรษาสิริ ได้เล่าถึงการที่สื่อสิ่งพิมพ์สามารถนำเสนอประเด็นได้อย่างประณีต เฉียบคม และสะท้อนปัญหาได้อย่างครบถ้วนว่า ‘สื่อสิ่งพิมพ์’ เปรียบเสมือนการอ่านหนังสือที่เป็นการให้เวลากับตัวเอง เพราะกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำได้มีการร้อยเรียงเนื้อหาและสร้างสรรค์ภาพที่สมบูรณ์เพื่อที่จะทำให้คนอ่านเข้าไปอยู่ในภวังค์ของเรื่องราวหรือจมกับเรื่องนั้นจนไม่รู้สึกเบื่อ
“แม้สื่อสิ่งพิมพ์จะเหลือน้อยลงในยุคนี้ แต่มันยังคงมีคุณค่าในฐานะพื้นที่ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างประณีต ละเมียดละไม และมีชั้นเชิงอย่างที่สื่ออื่นไม่สามารถทำได้ การเล่าเรื่องในสื่อสิ่งพิมพ์มีเสน่ห์ในการเรียงร้อยข้อมูลที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ซึ่งช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาที่มากกว่าการอ่านผ่านตา แต่สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณของเรื่องราว”
การปรับตัวของนักเขียน: ศิลปะแห่งการเล่าเรื่องในแพลตฟอร์มใหม่
แม้การทำสื่อในยุคปัจจุบันจะเน้นการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติของแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ต้องกระชับและดึงดูดความสนใจอย่างรวดเร็ว แต่ดร.พรรษาสิริยืนยันว่า การเขียนที่ดีนั้นเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุด “ถ้าคุณเริ่มจากการเขียนได้ดี การเล่าเรื่องบนแพลตฟอร์มอื่นๆ จะปรับตามมาเอง” การใช้ภาษาเพื่อดึงความสนใจและการปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับธรรมชาติของสื่อใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ควบคู่กับการรักษาความเป็นศิลปะในการสื่อสาร โดยเธอเล่าว่าสถานการณ์ของสื่อสิ่งพิมพ์ในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะถดถอยลงเรื่อย ๆ ซึ่งนำไปสู่คำถามว่าในอนาคตสื่อประเภทนี้จะสูญสลายไปหรือไม่
“เรามองได้สองมุมค่ะ การที่จำนวนสื่อสิ่งพิมพ์ลดลงสะท้อนถึงการลดลงขององค์กรสื่ออย่างชัดเจน ปัจจัยหลักก็มาจากเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำกำไรในธุรกิจนี้ แม้ว่าองค์กรขนาดใหญ่ จะยังคงเป็นเจ้าที่แข็งแกร่งและสร้างรายได้หลักจากสื่อสิ่งพิมพ์ แต่พวกเขาก็ต้องปรับตัว ลดขนาดองค์กร เพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างประหยัดและยั่งยืน การผลิตเนื้อหาลึกซึ้งแบบเดิมที่ใช้เวลาและทรัพยากรจึงลดลง”
เธอยังได้พูดถึงงานข่าวเชิงสืบสวนสอบอีกว่า แม้ทุกวันนี้เรายังเห็นงานสืบสวนสอบสวนในสื่อสิ่งพิมพ์บ้าง แต่บ่อยครั้งงานเหล่านั้นไม่ได้เชื่อมโยงให้เห็นถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรสื่อใหญ่ยังคงเน้นการรายงานเรื่องคอรัปชั่นและการตรวจสอบที่คุ้นเคย แต่ขาดการนำเสนอในมุมมองที่กว้างและลึกกว่า เช่น การเชื่อมโยงเรื่องสิ่งแวดล้อมกับสิทธิชุมชนโดยมีศิลปะในการเล่าเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องการการเล่าเรื่องที่ละเอียดอ่อน ภายใต้ข้อมูลที่รอบด้านซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำข่าวทุกวันนี้
นอกจากนี้ ดร.พรรษาสิริยังเน้นถึงการปรับตัวของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ต้องหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อีกว่า เมื่อสื่อสิ่งพิมพ์ลดจำนวนลง หลายสำนักจึงหันมาเน้นการผลิตเนื้อหาที่กระชับและรวดเร็วเพื่อเข้าถึงผู้รับสารอย่างรวดเร็ว แต่การเน้นงานที่สั้นและฉับไวนี้เองที่ทำให้การเล่าเรื่องแบบลึกซึ้ง ขาดการเชื่อมโยงประเด็นสิทธิมนุษยชนและความซับซ้อนในสังคมกลับถูกละเลย
“การที่สื่อมุ่งเน้นงานขนาดสั้นที่รวดเร็ว ทำให้การเล่าเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนและลึกซึ้งในการสะท้อนปัญหาสิทธิมนุษยชนถูกลดทอนลงไป”
ความท้าทายสื่อดิจิทัลจาก ‘สั้น ซอย ถี่’ สู่การสร้างคุณค่างานสื่อสารสิทธิมนุษยชน

แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล การบริโภคข่าวสารก็อาจเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ผู้อ่านในยุคนี้ที่อยู่กับอินเทอร์เน็ตเกือบ 24 ชั่วโมง ใช้ชีวิตประจำวัน ทำงานแข่งกับเวลาในแต่ละวัน ก็อาจจะไม่มีเวลามากพอสำหรับการอ่านบทความยาวๆ จนส่งผลทำให้ทุกวันนี้การแข่งขันในการสื่อสารประเด็นต่างๆ ผลิตเนื้อหาที่มีลักษณะ ‘สั้น ซอย ถี่’ และมักถูกปรับให้เหมาะสมกับความรวดเร็วของแพลตฟอร์ม สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ดร.พรรษาสิริ มองว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในวงการสื่อสารมวลชน เพราะการทำเนื้อหาให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์มต่างๆ จะต้องตระหนักด้วยว่าจะรักษาคุณภาพและความลึกซึ้งของเนื้อหาท่ามกลางการทำงานที่ต้องดึงดูดความสนใจจากผู้รับสารได้อย่างไร
และยิ่งในยุคปัจจุบันที่โลกสื่อสารรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การปรับตัวของวงการสื่อจึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี หากแต่เป็นเรื่องของการเข้าใจในคุณค่าของ ‘สิทธิมนุษยชน’ ในการเล่าเรื่องที่มีประสิทธิภาพ ทุกข่าวสารที่เราพบเจอสามารถถอดรหัสเป็นประเด็นสิทธิมนุษยชนได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือความเข้าใจในเรื่องนี้ที่ฝังอยู่ในวิธีคิดและวิธีเล่าของผู้ผลิตเนื้อหา โดย ดร.พรรษาสิริ ย้ำระหว่างการพูดคุยกันว่าปัจจุบันการทำข่าวออนไลน์มักจะถูกครอบงำด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘สั้น ซอย ถี่’ ที่เน้นการนำเสนอเนื้อหาที่สั้น กระชับ และเผยแพร่จำนวนเยอะๆ เพื่อดึงดูดความสนใจในระยะสั้น ซึ่งแม้จะสร้างยอดเข้าชมและการมีส่วนร่วมได้มาก แต่กลับทำให้การเล่าเรื่องในเชิงลึกและการพิจารณาสิทธิมนุษยชนถูกลดทอนลงไป จนทำให้เรื่องราวสิทธิมนุษยชนที่ต้องการนำเสนอเหมือนเป็นเพียงเงาสะท้อนของข้อมูลที่ถูกแยกส่วนจนขาดบริบทที่สมบูรณ์ในการเล่าเรื่อง
“สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการรายงานประเด็นของสื่อมวลชน ไม่ใช่การมีเทคโนโลยีหรือเครื่องมือใหม่ แต่เป็นความเข้าใจในแก่นแท้ของงานวารสารศาสตร์และสิทธิมนุษยชนมากกว่า”
คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ต่อให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเพียงใด สิ่งที่สำคัญคือการที่ผู้ผลิตสื่อต้องเข้าใจถึงคุณค่าของการเล่าเรื่องที่สะท้อนความเป็นจริงอย่างครบถ้วนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่การทำงานในเชิงลึกของสื่อสารมวลชนที่เคยเป็นจุดแข็งของสื่อสิ่งพิมพ์ ที่ผ่านการทำงานอย่างปราณีตละเอียดละออหรือยุคสมัยนี้เรียกว่า ‘งานคราฟต์’ กำลังถูกกดดันจากวิถีสื่อออนไลน์ที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็วในตลาดที่แข่งขันสูง การปรับลดความสำคัญของการสื่อสารประเด็นสิทธิมนุษยชนอาจเป็นเพราะปัจจัยขององค์กรสื่อเชิงพาณิชย์ที่อาจมุ่งหวังผลตอบแทนทันที มากกว่าการสร้างเนื้อหาที่มีผลกระทบสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมในระยะยาว
Craft งาน: คุณค่าและศิลปะที่ถูกลดทอนในโลกดิจิทัล?
ดร.พรรษาสิริ ได้กล่าวถึงการทำงานของสื่อในยุคก่อนที่ยังใช้เวลาและความพิถีพิถันในการทำงานที่เธอเรียกว่าการ Craft งาน ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ลงรายละเอียดอย่างละเมียดละไม และเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ “งานที่เราเรียกว่า Craft คือการเล่าเรื่องที่ผู้ผลิตใช้เวลาสร้างสายสัมพันธ์กับแหล่งข่าว ค้นหาความจริง และเก็บข้อมูลที่รอบด้านเพื่อให้เรื่องที่นำเสนอมันมีมิติเชิงลึก ซึ่งสิ่งนี้กำลังถูกลดทอนลงในยุคที่เน้นความเร็ว” เธอกล่าว
ตัวอย่างหนึ่งที่ยกขึ้นมาเป็นผลงานจาก 101.World เรื่องของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา เรื่องนี้ไม่เพียงแค่เล่าเรื่องราวชีวิตเด็กคนหนึ่งที่ต้องเผชิญความลำบาก แต่ยังรวมข้อมูลเชิงสถิติและมุมมองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบ แม้จะเป็นการทำงานแบบพันธมิตรหรือที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า collaboration กับหน่วยงานอื่น แต่เรื่องราวที่ถูกนำเสนอฉายภาพให้เห็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้อย่างลึกซึ้งทั้งในเชิงอารมณ์และเชิงข้อมูล
“การเล่าเรื่องที่ดีคือการดึงแง่มุมของปัญหา การให้ข้อมูลประกอบที่ถูกต้อง และการสร้างความเข้าใจถึงทางออกที่เป็นไปได้ มันไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องเพื่อบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันต้องสะท้อนว่าทำไมและจะทำอย่างไรต่อไป”
นอกจากนี้ ดร.พรรษาสิริ ฉายให้เห็นภาพของธุรกิจสื่อทุกวันนี้อีกว่า หากวิเคราะห์ในมุมมองที่ก้าวหน้ากว่านั้น การนำแนวคิดของ ‘Human Rights for Business’ มาใช้ในองค์กรสื่ออาจจะเป็นการช่วยพลิกเกมสื่อยุคนี้ให้ดีขึ้น แต่การใช้แนวคิดนี้ต้องไม่ใช่แค่การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กรในรูปแบบที่มักนิยมเรียกกันว่า CSR ที่ทำกันอย่างผิวเผิน แต่คือการฝังแนวคิดสิทธิมนุษยชนลงในแกนของการดำเนินธุรกิจ เธอเชื่อว่าสิ่งนี้ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างสื่อกับผู้สนับสนุนหรือสปอร์นเซอร์ในระยะยาว และเป็นเกราะป้องกันองค์กรจากความเสียหายทางภาพลักษณ์และความเสี่ยงในภายหลัง หากมีการนำเสนอเรื่องราวสิทธิมนุษยชน
“ถ้าคุณเป็นธุรกิจ คุณก็ต้องเป็นธุรกิจที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่แค่ท่องคำว่า CSR แล้วจบ แต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วยความใส่ใจ”
ดร.พรรษาสิริชี้ให้เห็นว่าแนวคิดนี้สื่อให้เห็นเรื่องราวการรับรู้สิทธิมนุษยชนว่าไม่ใช่แค่การบันทึกลงในหน้าเว็บไซต์หรือช่องทางการสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการบันทึกอยู่ในใจและวิถีปฏิบัติของธุรกิจสื่อ ซึ่งนี้สอดคล้องกับที่เธอได้พูดไปข้างต้นว่า การเล่าเรื่องเพื่อการเข้าใจในประเด็นสิทธิมนุษยชนจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่าง ‘สั้น ซอย ถี่’ กับความลึกซึ้งของข้อมูลและการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
“การเล่าเรื่องราวสิทธิมนุษยชนหรือประเด็นอื่นๆ ในรูปแบบสั้น ซอย ถี่เกินไป ในบางครั้งอาจทำให้เรื่องราวถูกซอยออกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่ง่ายต่อการบริโภคก็จริง แต่ถ้าขาดการเล่าเชิงวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง ก็เท่ากับว่าเราละทิ้งโอกาสที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้เช่นกัน”
เสียงจากชายขอบ: ศิลปะและความลึกซึ้งในการเล่าเรื่องสิทธิมนุษยชน
ดร.พรรษาสิริเล่าถึงตัวอย่างการเล่าเรื่องเชิงสิทธิมนุษยชนที่สามารถสร้างผลกระทบได้จริง เช่น งานของสื่อที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับผู้สูงอายุ LGBTI ที่มีสถานะชายขอบในสังคมอย่างโดดเด่น งานเหล่านี้สามารถกระตุ้นความรู้สึกของผู้รับสารได้โดยไม่ต้องใช้การบิ้วอารมณ์ “เพียงแค่เล่าเรื่องของพวกเขาด้วยความซื่อตรงและเปิดเผย คนอ่านก็รู้สึกถึงความสะเทือนใจและเข้าใจปัญหาโดยไม่จำเป็นต้องเสริมความเวทนาหรือดราม่า”
ในยุคที่การสื่อสารหมุนเวียนอย่างรวดเร็วและสื่อดิจิทัลกลายเป็นกระแสหลักที่ต้องผลิตเนื้อหาเพื่อตอบสนองความต้องการแบบทันทีทันใด การเล่าเรื่องเชิงลึกที่เคยเป็นหัวใจของการทำงานสื่อสิ่งพิมพ์จึงต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ดร.พรรษาสิริ อธิบายว่าสื่อมวลชนในปัจจุบันต้องหาจุดสมดุลระหว่างความรวดเร็วและความลึกซึ้งในการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
เธอยกตัวอย่างการเล่าเรื่องที่สะท้อนเสียงชายขอบ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนความท้าทายนี้คือการทำงานของสื่ออย่าง SPECTRUM ซึ่งเคยเสนอเรื่องราวของผู้สูงอายุที่เป็น LGBTI และพิการในต่างจังหวัด นับเป็นการเปิดเผยชีวิตของผู้คนที่อยู่ใน ‘ชายขอบของชายขอบ’ เรื่องราวนี้ดึงความสนใจอย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องอาศัยการบีบคั้นอารมณ์ แต่กลับสร้างความรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง “เพียงแค่ให้เขาเล่าเรื่องราวของตัวเอง มันก็พอแล้วที่จะทำให้เรารู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมและความเปราะบางของระบบสังคม” ดร.พรรษาสิริ กล่าว
ผลงานที่ยกตัวอย่างมานี้เป็นเรื่องราวของผู้สูงอายุที่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ โดยเล่าถึงความท้าทายในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการขาดสิทธิขั้นพื้นฐาน และการไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าในโลกที่เราอาจมองว่าก้าวหน้า ยังมีคนอีกมากที่ยังต้องต่อสู้เพื่อสิทธิที่ควรจะมีตั้งแต่แรก
“มันเป็นเรื่องที่น่าประทับใจเมื่อเราได้เห็นว่าการทำสื่อที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างอารมณ์ดราม่าเพื่อลากคนดู แต่ควรทำให้คนดูได้สัมผัสถึงความเป็นจริงและศักดิ์ศรีของผู้เล่าเรื่อง”
ความสำคัญของการเคารพศักดิ์ศรีในการเล่าเรื่อง

หนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดที่นักข่าวควรมีคือการเล่าเรื่องโดยไม่ทำให้แหล่งข่าวดูเป็นเหยื่อหรือน่าสมเพชหรือน่าสงสารจนเกินกว่าเหตุ ในขณะเดียวกันการนำเสนอควรนำเสนอเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้ยังมีศักดิ์ศรี มีความเป็นมนุษย์ แม้พวกเขาจะเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต
โดยเธอย้ำว่างานที่ดีจะต้องเน้นการเล่าเรื่องเชิงลึกในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงปัญหาในเชิงโครงสร้างที่เป็นต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น “บางครั้งการเล่าเรื่องที่มีรายละเอียดและข้อมูลเชิงลึกช่วยเปิดเผยถึงโครงสร้างที่ทำให้คนต้องเผชิญกับความยากลำบาก การเล่าเรื่องเช่นนี้ไม่เพียงแต่บอกว่าใครคือผู้ถูกกระทำ แต่ยังถามว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบให้ดีขึ้น” เธอกล่าวเสริม
ท้ายที่สุด ดร.พรรษาสิริ สรุปว่าการเล่าเรื่องที่ดีต้องไม่ใช่แค่การบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต้องทำให้คนดูเข้าใจถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง การเล่าเรื่องเพื่อสิทธิมนุษยชนไม่ใช่แค่การทำให้คนเห็นปัญหา แต่ต้องทำให้คนรู้สึกและเข้าใจว่าพวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในเชิงนโยบายหรือโครงสร้างสังคมได้อย่างไร และยิ่งในยุคที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็วและการทำงานข่าวต้องแข่งขันกับเวลามากกว่าคุณภาพ การเล่าเรื่องเชิงลึกและมีคุณภาพในแบบ Craft เธอเชื่อว่ายังเป็นสิ่งที่ยังคงสำคัญและจำเป็นสำหรับการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในสังคม
สิทธิมนุษยชน: การถักทอเรื่องราวจากมุมมองที่ซับซ้อนสู่การเล่าเรื่องที่ทรงพลัง
ดร.พรรษาสิริ เน้นย้ำถึงความสำคัญของสื่อมวลชนในการทำความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยชี้ให้เห็นว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมสามารถถูกถอดรหัสและแปลความหมายเพื่อสร้างความเข้าใจในประเด็นสิทธิได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทะเลาะวิวาทในชุมชน การใช้อาวุธของผู้ติดยา หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นประเด็นทางสิทธิมนุษยชนได้ หากเราเข้าใจว่าการกระทำของผู้คนล้วนมีที่มาจากความเปราะบางและความไม่เท่าเทียมของโครงสร้างสังคม
การนำเสนอข่าวที่สะท้อนความซับซ้อนของปัญหาก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยเธอชี้ให้เห็นว่าการเล่าเหตุการณ์เพียงผิวเผินไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง “ไม่มีใครที่อยากจะกลายเป็นผู้กระทำผิดโดยไม่มีเหตุผล มันสะท้อนถึงโครงสร้างสังคมที่อ่อนแอและการขาดโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม” เธอกล่าวถึงการที่สังคมต้องพิจารณาถึงสิทธิของทุกคน ทั้งผู้ที่ถูกกระทำและผู้กระทำ ซึ่งเป็นมิติที่มักจะถูกมองข้ามในการรายงานข่าวแบบดั้งเดิมที่เน้นการประณามผู้กระทำผิด
การรายงานข่าวที่มุ่งเพียงการประณามหรือกล่าวโทษผู้กระทำ ดร.พรรษาสิริ มองว่าไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน แต่กลับทำให้ปัญหาความรุนแรงยังคงวนเวียนอยู่ในสังคม การทำข่าวที่ลึกซึ้งและมีความเข้าใจในบริบทของสิทธิมนุษยชนจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่สร้างความยั่งยืน นอกจากนี้ การเล่าเรื่องราวในมิติของสิทธิมนุษยชน ไม่จำเป็นต้องนำเสนอในรูปแบบที่ตะโกนให้เห็นว่าเป็นเรื่องของสิทธิ แต่ควรให้ความสำคัญกับวิธีการเล่าเรื่องที่ทำให้คนเข้าใจถึงความลึกซึ้งของปัญหาหรือเห็นความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่าย ในบางครั้งเล่าเรื่องไปตามธรรมชาติโดยไม่แต่งแต้มอารมจากเสียงเพลงหรืออารมณ์ของเจ้าของผลงาน เพียงเท่านี้เรื่องสิทธิก็ถูกพูดถึงได้โดยไม่ต้องตะโกนจนเกินไป
“การเล่าเรื่องที่ดีก็คือการนำเสนอเนื้อหาที่ชัดเจน มีความละเอียด และไม่จำเป็นต้องใส่คำว่า ‘สิทธิ’ ลงไปในบทความเพื่อให้ดูยิ่งใหญ่ หากแต่ควรทำให้เรื่องราวสื่อถึงความเป็นมนุษย์และคุณค่าของสิทธิมนุษยชนโดยธรรมชาติ”
ยิ่งไปกว่านั้น การรายงานข่าวที่ทำให้เข้าใจถึงความลึกซึ้งของปัญหาสิทธิมนุษยชน สำหรับ ดร.พรรษาสิริ มองว่าไม่ควรเน้นเพียงแค่เหตุการณ์ที่ดูรุนแรงหรือสลดใจเท่านั้น แต่ควรมุ่งสร้างความเข้าใจในบริบทที่หลากหลายและเป็นจริงคือต้องทำให้การรายงานข่าวสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหา และต้องไม่ยึดติดกับการรายงานที่สรุปว่าผู้กระทำผิดคือคนร้าย โดยที่ไม่ได้วิเคราะห์หรือแสวงหาสาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นเช่นนั้น
ตัวอย่างของการเล่าเรื่องที่น่าชื่นชม ดร.พรรษาสิริ ได้นำเสนอถึงตัวอย่างที่ดีของการเล่าเรื่องที่ครอบคลุมทุกองค์ประกอบในการทำข่าวที่ดี เธอยกตัวอย่างงาน The101.world ที่มีการนำเสนอเรื่องราวที่ประณีตและมีศิลปะในการเล่าเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของคุณปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย ขึ้นมาระหว่างสนทนากัน “เรื่องราวนี้ไม่ใช่แค่การนำเสนอความยากจนของเด็กคนหนึ่ง แต่ยังสะท้อนถึงระบบการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมและปัญหาทางเศรษฐกิจที่กดดันครอบครัว ทำให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เชื่อมโยงกัน และนี่คือสิ่งที่ทำให้งานนี้มีความหมายและมีพลังในการสื่อสาร” เธอกล่าว
ขณะการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นหัวใจของงานวารสารศาสตร์ ไม่ว่าผู้ให้สัมภาษณ์จะเป็นใคร เรื่องเล่าของพวกเขายังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่ละเอียดถี่ถ้วน “แม้แม่ของคุณบอกว่ารักคุณ คุณก็ต้องตรวจสอบ” เป็นคำพูดที่สะท้อนถึงความสำคัญของการหาหลักฐานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงในทุกๆ การนำเสนอ เนื่องจากงานข่าวที่ผิดพลาดอาจส่งผลเสียต่อความเข้าใจในปัญหาสิทธิมนุษยชนและสร้างความเสียหายแก่ผู้เกี่ยวข้อง นี่คือความรับผิดชอบของสื่อมวลชนในการทำข่าวเชิงลึกที่ต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่รอบคอบ ในหลักการสำคัญในงานวารสารศาสตร์
“การรายงานข่าวสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความพยายามในการค้นคว้า การเชื่อมโยงข้อมูล และการเข้าใจถึงความซับซ้อนของปัญหา สื่อมวลชนควรมีบทบาทในการเป็นกระบอกเสียงที่ช่วยปกป้องและส่งเสริมสิทธิของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ และช่วยให้สังคมเข้าใจถึงปัญหาในเชิงลึกเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน”
เรื่องสิทธิมนุษยชน ภารกิจที่ท้าทายแต่ทรงคุณค่า

แม้จะเป็นภารกิจที่ยากลำบากในการทำประเด็นข่าวสิทธิมนุษยชน แต่ ดร.พรรษาสิริ มองว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้คือการจดจำประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงความไม่ชอบมาพากลของสังคม การบันทึกนี้จะเป็นเครื่องมือให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ เข้าใจ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในสังคมต่อไปไม่ช้าก็เร็ว เพียงแค่เรื่องราวเหล่านี้ยังถูกนำเสนอผ่านสายตาผู้คนและไปถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องให้ตระหนักว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นการสร้างฐานรากที่มั่นคงให้แก่สังคม การที่สื่อมวลชนทำให้ประเด็นเหล่านี้ได้รับความสนใจ ไม่ใช่แค่เพื่อวันนี้ แต่เพื่ออนาคตที่ทุกคนจะได้เห็นถึงคุณค่าของการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ขอเชิญสื่อมวลชนส่งผลงานเข้าประกวด “รางวัลสื่อมวลชนเพื่อสิทธิมนุษยชน” ประจำปี 2567 (Media Awards 2024) ซึ่งมุ่งมั่นทำงานด้านการสื่อสารสาธารณะและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน จึงจัดประกวด “รางวัลสื่อมวลชนเพื่อสิทธิมนุษยชน” ขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเชิดชูเกียรติและสร้างแรงบันดาลใจให้กับสื่อมวลชนที่ทำงานด้วยจิตสำนึกในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
การประกวดนี้มีเป้าหมายที่จะยกย่องสื่อมวลชนในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญในสังคม ไม่เพียงแต่เป็นผู้รายงานข่าว แต่ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยบ่มเพาะความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชน ช่วยให้เกิดความตระหนักรู้และการเคารพซึ่งกันและกันในสังคมอย่างยั่งยืน ผ่านมุมมองและการนำเสนอที่คำนึงถึงความเคารพในศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคนในทุกประเด็นสิทธิ
Media Awards 2024 มุ่งเน้นที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้กับสื่อมวลชนที่ไม่เพียงทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง แต่ยังกล้าหาญในการหยิบยกประเด็นสิทธิมนุษยชนออกมาสื่อสารต่อสาธารณะอย่างรอบด้าน เพื่อให้คนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิ์ และการมีส่วนร่วมในการสร้างความยุติธรรมในทุกมิติของชีวิต ขอเชิญชวนสื่อมวลชนทุกท่านร่วมส่งผลงานที่คุณภาคภูมิใจเข้าประกวด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของสังคมไทย และร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านพลังของการเล่าเรื่อง เพื่อมาทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน มาร่วมกันสร้างสื่อที่มีพลังและเป็นกระบอกเสียงเพื่อสิทธิมนุษยชน เพราะเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน ส่งผลงานเข้าประกวดได้ที่: https://bit.ly/3MsL0Iu