“สิทธิมนุษยชนไม่ใช่แค่เรื่องของปากท้อง แต่มันคือการมีชีวิตที่มีคุณภาพและมีศักดิ์ศรี
ซึ่งเป็นสิทธิที่ทุกคนควรได้รับ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
ต้นกำเนิดหมู่บ้านคลิตี้ล่างและห้วยคลิตี้ เรื่องเล่าเกี่ยวกับเสือใหญ่
‘คี่ถี่ทา’ แปลว่า ‘เสือตัวเดียว’ หรือ ‘เสือโทน’ เมื่อฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน คำพูดที่ส่งต่อกันมา พาทำให้คำนี้เพี้ยนเปลี่ยนไปเป็นคำว่า ‘คลิตี้ล่าง’ ชื่อหมู่บ้านของพี่น้องชาวกะเหรี่ยงโปว์ ที่มีฐานที่มั่นตั้งอยู่ในตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี สถานที่แห่งนี้มี ‘ล้ำห้วยคลิตี้’ ที่เป็นดั่งสายธารคอยหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขา สำหรับคนที่ตั้งรกรากมานานตั้งแต่บรรพบุรุษเปรียบเปรยว่านี่เป็นดั่งสมบัติล้ำค่า เป็นดั่งเส้นเลือดใหญ่ที่คอยประคองให้มีแรงกายและแรงใจใช้ชีวิต เพราะสายธารแห่งนี้ทำให้พวกเขามีน้ำกิน น้ำใช้ในชีวิตประจำวัน
ข้อมูลจากวิกิชุมชนศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(https://wikicommunity.sac.or.th/community/110) ขยายความสภาพพื้นที่หมู่บ้านคลิตี้ล่างเมื่อในอดีตว่า สมัยก่อนในพื้นที่มีเสือตัวหนึ่งที่ดุร้าย หากใครเรียกชื่อ ‘เสือทนใหญ่’ เสือตัวนี้จะเผยตัวออกมาให้เห็นและอาจทำให้ชาวบ้านได้รับอันตรายถึงชีวิต ทำให้พี่น้องชาวกะเหรี่ยงมักเลี่ยงพูดคำว่าคี่ถี่แต่เปลี่ยนเป็น ‘คี่ตี่’ หรือ ‘หม่องบือ’ ที่แปลว่า ‘น้องคนเล็ก’ แทน เพราะเชื่อว่าจะทำให้เสือดุร้ายน้อยลง แต่พอวันเวลาเปลี่ยนผ่านจึงกลายมาเป็นคำว่า ‘คลิตี้’ จวบจนถึงทุกวันนี้ ที่หลายคนได้รับผลกระทบจากสารตะกั่วปนเปื้อนตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก
การละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านทางสายเลือด ยืดเยื้อข้ามรุ่น

“ผมถูกละเมิดสิทธิตั้งแต่สารตะกั่วอยู่ในเลือดของแม่ถ่ายทอดมาสู่เลือดของผม”
ธนกฤต โต้งฟ้า หรือ มิก ชายหนุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงจากหมู่บ้านคลิตี้ล่าง จังหวัดกาญจนบุรี เขาคนนี้คือหนึ่งในสมาชิกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ผู้ที่เติบโตท่ามกลางสภาวะสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายจากการทำเหมืองแร่ตะกั่วในชุมชน จนทำให้เกิดสารปนเปื้อนในลำห้วยคลิตี้ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดคดีความฟ้องร้องเยียวยา เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าชดเชยเสียหายและต้องพลิกฟื้นผืนดินและลำน้ำให้ดีขึ้น
การฟ้องร้องนี้เกิดขึ้นระหว่างชาวบ้านกับบริษัทและหน่วยงานรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่ ‘ธนกฤต’ และครอบครัว รวมถึงพี่น้องชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่เพียงแค่นั้น แต่ยังพบการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้คนในชุมชนมานานนับปี เพราะผู้คนที่อาศัยอยู่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา อยู่กับป่าเขาลำเนาห้วย การจะห้ามไม่ให้เล่นน้ำหรือเข้าไปอยู่ใกล้สายธารน้ำแห่งนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้กระทั่ง ‘ธนกฤต’ ที่ตอนนั้นเขายังเด็ก ไม่รู้ประสีประสา จึงไม่รู้ซึ้งถึงผลกระทบจากสารพิษที่อยู่ในลำห้วยคลิตี้ จึงทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาต้องสัมผัสสารพิษจากตะกั่วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ผมเป็นพี่น้องชาติพันธุ์คนหนึ่งที่โตมาในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ตะกั่ว
โครงการพัฒนาที่เข้าไปในชุมชนของตัวเองที่อยู่ในป่าลึก เอาง่ายๆ ว่า ผมถูกละเมิดสิทธิตั้งแต่ผมยังไม่ได้ลืมตามาดูโลกใบนี้ด้วยซ้ำ คือเหมืองแร่ตัวนี้ถ้านับมาถึงปัจจุบันน่าจะเกินครึ่งศตวรรษ คือ 50 กว่าปีแล้ว”
ความไม่รู้ที่ฝังลึกจากรุ่นแม่ถึงรุ่นลูก
ถูกละเมิดสิทธิชีวิตกันตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่มีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง คือสิ่งที่ ‘ธนกฤต’ เล่าผ่านความคิดและความรู้สึกของเขาให้เราฟัง เพราะตั้งแต่เติบโตมาจนรู้ประสีประสาจำความได้ ภาพที่เขาเห็นผ่านสายตาเด็กคนหนึ่ง นั่นคือแม่ผู้เป็นที่รักต้องใช้น้ำในลำห้วยคลิตี้มากินใช้ในบ้านแทบทุกวัน หากเปรียบลำห้วยคลิตี้คือเส้นเลือดใหญ่พี่น้องชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้าน การมีสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในน้ำคงเป็นเหมือนการละเมิดสิทธิมนุษยชนผ่านสายเลือด ที่ถูกส่งต่อจากเลือดพ่อแม่สู่เลือดลูก เพียงเพราะพวกเขาใช้น้ำที่อยู่ในลำห้วยหุงหาอาหาร รดน้ำต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ตามวิถีชีวิตชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของตัวเอง
“ตั้งแต่แม่ผมตั้งท้องผมมา คลอดผมออกมา แม่ก็ต้องใช้น้ำในห้วยคิลตี้ ใช้ดื่มกิน หุงอาหาร รดน้ำพืชผัก เลี้ยงสัตว์ทุกอย่าง ผมเลยคิดว่าชีวิตตัวเองถูกละเมิดสิทธิตั้งแต่สารตะกั่วถูกถ่ายทอดมาจากในเลือดของแม่สู่เลือดของผม สารพิษพวกนี้ทำให้ผมถูกละเมิดสิทธิตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ”
กลิ่นอายความไม่รู้ของ ‘ธนกฤต’ สมาชิกแอมเนสตี้ ประเทศไทย เมื่อครั้งยังเด็กถูกเล่าผ่านให้เราฟัง เพื่อตอกย้ำให้คิดภาพตามว่า ทำไมเขาถึงตัดสินใจเป็นหนึ่งในคนธรรมดากว่า 10 ล้านคนทั่วโลก ที่ตัดสินใจร่วมขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเขาเล่าว่าชีวิตที่ผ่านมาต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่อบอวลไปด้วยมลพิษ ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับพี่น้องชาวกะเหรี่ยงในหมู่บ้านคลิตี้ล่างคือสุขภาพที่ย่ำแย่ สิ่งแวดล้อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะสารตะกั่วที่มีสายพิษ ทั้งที่ในความเป็นจริงที่ควรจะเป็นนั้น บ้านเกิดของเขาในหมู่บ้านคลิตี้ล่างเคยเป็นชุมชนที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ เคยมีอากาศที่ดี เคยมีน้ำที่บริสุทธิ์ แต่มาวันหนึ่งทั้งลำห้วยคลิตี้และผืนดินทำกินกลับต้องปนเปื้อนไปด้วยสารตะกั่วที่อันตราย
เพราะความไม่รู้ในวัยเด็กของ ‘ธนกฤต’ ส่งผลกระทบต่อชีวิตและจิตใจของเขา ครอบครัว รวมถึงคนในชุมชนไม่น้อย เพราะช่วงเวลาที่ยังเด็กที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง นับเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องสัมผัสกับสารตะกั่วที่เป็นสารพิษโดยไม่รู้ตัวมาโดยตลอด แม้จะถูกห้ามปรามจากพ่อแม่และคนในชุมชนแล้วก็ตาม แต่ในตอนนั้นความเป็นเด็กคือเด็กคนหนึ่งที่เที่ยวเล่นตามวัยในหมู่บ้าน
ที่ผ่านมาชาวบ้านคลิตี้ล่างต่างรู้ดีว่าสารตะกั่วที่อยู่น้ำนั้นอันตราย แต่พวกเขาไม่ได้รู้ลึกว่าสารพิษในตะกั่วอาจพรากชีวิตของพวกเขาให้ถึงตายได้ในวันหนึ่ง หากสัมผัสหรือรับเข้าร่างกายมากเกินไป สิ่งที่พวกเขาทำได้ในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง คือการบอกลูกบอกหลานไม่ให้เข้าไปใกล้แหล่งน้ำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะวิถีชีวิตของเด็กๆ ในชุมชน ล้วนเติบโตมากับดิน น้ำ ลำธารตั้งแต่พวกเขาลืมตาดูโลก
ส่วนการรับรู้ว่าห้วยคลิตี้นั้นปนเปื้อนสารตะกั่วที่อันตราย ชาวบ้านส่วนใหญ่รับรู้จากสีของน้ำที่แปลกปลอม มีกลิ่นเหม็น เห็นการล้มตายของวัวควาย ที่ส่งสัญญาณอันตรายแจ้งเตือนว่าน้ำที่พวกเขากิน ดื่ม ใช้ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ‘ธนกฤต’ หนึ่งในลูกหลานชาวกะเหรี่ยงคลิตี้ล่าง ได้รับโอกาสทางการได้รับการศึกษา เขายอมรับว่าสิ่งนี้ทำให้เขาตาสว่างขึ้น จึงตัดสินใจลุกขึ้นมาต่อสู้ในสิทธิที่อยู่อาศัย สิทธิในที่ดินทำกิน และเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง เพื่อทำให้ทั้งชีวิตของเขาและมิตรสหายในหมู่บ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
การศึกษา: จุดเริ่มต้นสู่การต่อสู้
“ผมมีโอกาสได้เข้ามาเรียนหนังสือในเมือง มีคนอุปถัมภ์อุปการะเลี้ยงดูไว้ทำให้ตาสว่างมากขึ้น การที่ผมโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษทั้งในลำห้วยและบนดิน สำหรับเด็กที่ชอบเล่นน้ำเป็นชีวิตจิตใจ เที่ยงมาอากาศร้อนก็วิ่งไปเล่นน้ำ ทำอะไรเสร็จก็ไปโดดน้ำ ยอมรับว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ผมสัมผัสกับสารตะกั่วและได้รับการละเมิดสิทธิมากที่สุด”
การได้เรียนหนังสือเติมเต็มความรู้ทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้น นี่คือสิ่งที่ ‘ธนกฤต’ พยายามสื่อสารถึงเราและทุกคน หากไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เขาคงเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตเที่ยวเล่นตามวิถีทั่วไปในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง จังหวัดกาญจนบุรี เขาคงต่อสู้กับพ่อแม่พี่น้องโดยไม่รู้หลักการหรือกฎหมายใดๆ เพราะในหมู่บ้านสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน ทำให้หลายคนไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือบางคนได้รับโอกาสเรียนแล้วกลับต้องหลุดจากระบบการศึกษา เพราะหลายครอบครัวมีต้นทุนชีวิตที่ไม่ได้พร้อมมากนัก ทั้งที่เป็นสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาเป็นสิทธิที่ติดตัวตั้งแต่เกิดในประเทศไทย
ความโชคดีในความโชคร้ายของเด็กคนหนึ่งที่เติบโตในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง ‘ธนกฤต’ ได้รับโอกาสไปเรียนในโรงเรียกินนอน หรือ โรงเรียนประจำ และได้ไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเห็นข่าวคราวและปัญหาการต่อสู้เรียกร้องของชาวบ้านคลิตี้ล่างตามหน้าหนังสือพิมพ์ และสื่ออื่นๆ ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดการแก้ปัญหา โลกหลังได้รับการศึกษาจึงเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้เขาอยากกลับไปช่วยเหลือหมู่บ้านของตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิต่างๆ ที่ควรจะได้รับการดูแลแบบเต็มกำลัง

ก้าวแรกที่ได้รู้จักการทำงานภาคประชาสังคมหรือเอ็นจีโอ ‘ธนกฤต’ เล่าว่าเขาเริ่มจากการทำประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย หรือเรียกว่าเริ่มจากศูนย์ก็ยังได้ แต่การได้โอกาสเข้าศึกษาเล่าเรียนช่วยเติมเต็มให้เขา ต่อจิ๊กซอว์ความคิดในสิ่งที่หวังต่อไปได้ ด้วยการสานพลังทำงานกับผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน เช่น นักกฎหมาย นักกิจกรรม นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน เพื่อมาประกอบร่างสร้างเป็นขุมพลังยิ่งใหญ่ ผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนให้เปล่งเสียงและเห็นผลตามที่ตั้งใจ เขายอมรับว่าการทำงานแบบรวมพลังขับเคลื่อนเป็นขบวนการ (Movement) ทำให้เขาได้มารู้จักกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการรวมพลังของคนธรรมดาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นในระดับชุมชน ประเทศ และระดับโลก
“จำได้ว่ามีพี่ๆ เอาพื้นที่เราไปเป็นพื้นที่เรียนรู้ ก็เลยมาประสานกับเรา พากันลงพื้นที่ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้ทำงานกับแอมเนสตี้ จากคนธรรมดาจนกลายเป็นสมาชิกของแอมเนสตี้ถึงทุกวันนี้ เราก็ทำให้เขาได้ไปเห็นประเด็น เห็นสถานการณ์ เห็นบริบทของพื้นที่ เห็นการถูกละเมิดสิทธิจากสิ่งแวดล้อมในสุขภาพของผู้คน นับแต่นั้นมาก็เรียนไปด้วยทำกิจกรรมไปด้วยกัน เรียกว่าเราเรียนรู้ประเด็นสิทธิ ประเด็นสิ่งแวดล้อม ประเด็นกฎหมายไปด้วยกัน ถามว่ารักเลยไหม (อมยิ้ม) แต่ชอบที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในขบวนที่ขับเคลื่อนด้วยกันกับแอมเนสตี้ไปเรื่อยๆ”
“เราเลยเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ก่อนตอนนั้น คิดว่ากฎหมายน่าจะกลับมาช่วยหมู่บ้านตัวเองได้ เพราะตอนนั้นมันก็มีการฟ้องคดีทั้งคดีแพ่ง คดีปกครอง ก็เลยเลือกเรียนกฎหมาย แล้วตอนนั้นมันทำให้รู้ว่า สิ่งที่เราได้รับผลกระทบมาโดยตลอดมันเรียกว่าการถูกละเมิดสิทธิ เราก็เลยได้รู้จักกับภาคประชาสังคม องค์กรไม่แสวงหากำไร เอ็นจีโอ หนึ่งในนั้นคือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย”
นอกจากทำงานลงพื้นที่แล้วการเป็นสมาชิกแอมเนสตี้สำหรับ “ธนกฤต” ทำให้เขามีโอกาสไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้คน ได้เรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนศึกษา ที่ไม่ได้มีแค่เรื่องการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบเพียงอย่างเดียว รวมถึงการเป็นสมาชิกยังทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องข้อกฎหมายและสิทธิมนุษยชนระดับสากล ส่งต่อความรู้เรื่องสิทธิไปยังผู้คนในกิจกรรมต่างๆ และในชีวิตของเขา หรือแม้บางครั้งไม่สามารถนำพาร่างกายของตัวเองไปในงานนั้นๆ ได้ แต่การเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นเหมือนสะพานเชื่อมหนึ่งที่ทำให้เขาได้ทำสิ่งนั้นไปพร้อมกับคนธรรมดากว่า 10 ล้านคนทั่วโลก
สู้เพื่อสิทธิในบ้านเกิด สู่…สิทธิระดับโลก
การเห็นภาพของการละเมิดสิทธิในระดับสากลมากขึ้น และได้เห็นการสนับสนุนจากองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน ธนกฤตมองว่าตั้งแต่รู้จักแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สำหรับเขาที่นี่ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสียงของชุมชนไปยังภาคส่วนต่างๆ แต่ยังช่วยสนับสนุนชุมชนในการฟ้องร้องและรณรงค์เพื่อความเป็นธรรม ถึงแม้ว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนในทุกวันนี้อาจดูไกลตัว แต่ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิในรูปแบบต่างๆ จึงทำให้เขายังคงยืนหยัดและยืนยันว่าถ้าเรามีสิทธิมนุษยชนที่ดี คุณภาพชีวิตเราก็จะดีขึ้น และเราจะไม่ต้องดิ้นรนมากเท่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ปัจจุบันธนกฤตยังคงทำงานร่วมกับเยาวชนในหมู่บ้านคลิตี้ล่างของเขา สร้างความตระหนักรู้เรื่องสิทธิ เพื่อทำให้พี่น้องชาวกระเหรี่ยงและคนในหมู่บ้านกล้าลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิของตัวเอง เขามองว่าการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจในเรื่องสิทธิในหมู่บ้านโดยเฉพาะกับเยาวชน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว เขายอมรับว่าการมีอยู่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ทำให้เขาได้เห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับการโดนละเมิดสิทธิมนุษยชน และรู้วิธีการเรียกร้องสิทธิหรือมีปากมีเสียงบนโลกใบนี้
“เมื่อก่อนเราไม่รู้ว่ามีคนมาตีเรา คนมากระทำเรา คนมาทำลายสิ่งแวดล้อมบ้านเรา เราไม่รู้ว่านั่นคืออะไร เขาอาจจะทำด้วยพฤติกรรมหรือนิสัยของเขา แต่เราไม่รู้ว่านั่นคือการละเมิดสิทธินะ ทั้งที่ในน้ำจะต้องใสต้องสะอาด กินได้ดื่มได้ เราควรจะมีสิทธิที่จะใช้ชีวิตโดยที่มีสุขภาพที่ดี ไม่ควรจะมีสารตะกั่วอยู่ในเลือดที่เกินมาตรฐาน มันทำให้เราเห็นภาพได้ชัดว่าคุณถูกละเมิดสิทธิแล้วนะ คุณต้องเรียกร้องสิทธิของคุณว่าคุณมีสิทธิในสุขภาพยังไงบ้าง คุณมีสิทธิในสิ่งแวดล้อมยังไงบ้าง ต่อหน่วยงานไหนบ้างที่เขาจะต้องมาดูแล ต้องมารับผิดชอบ”
“การรู้จักแอมเนสตี้ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นว่าเรื่องนี้สามารถนำไปร้องเรียนตั้งแต่ระดับท้องถิ่นเลย ทำให้เราสามารถยื่นเรื่องให้กับท้องถิ่นได้ สามารถยื่นเรื่องให้กับหน่วยงานทางราชการได้ ยื่นเรื่องให้กับระดับประเทศได้แล้วก็ยื่นเรื่องให้กับระดับสากลนานาชาติได้ โดยมีสิทธิอะไรรองรับบ้าง”
‘ธนกฤต’ เล่าว่า ทุกๆ ปีแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทย จะมีการประชุมสามัญประจำปีสำหรับสมาชิก ทุกคนจะได้มาพบปะเจอหน้า แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกัน ตรงจุดนี้หากใครอยากเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชนระดับโลก สำหรับเขามองว่า สิ่งนี้ตอบโจทย์กับชีวิตหรือจุดยืนอย่างมาก เพราะจะได้เห็นเครื่องมือและเห็นวิธีการที่แอมเนสตี้พยายามที่จะสื่อสาร หรือพยายามใช้เทคนิคต่างๆ ในการรณรงค์เพื่อสนับสนุนนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว รวมถึงชุมชนหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกละเมิดสิทธิให้กล้าออกมาส่งเสียงของพวกเขา ให้กล้าลุกขึ้นมาปกป้องทรัพยากรหรือชุมชนของตัวเองที่อยู่มาก่อนบริษัท ที่อยู่มาก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจ หรือก่อนกฎหมายฉบับแรกจะประกาศใช้จนส่งผลกระทบต่อชุมชน
ข้อความจาก ‘ธนกฤต’ สมาชิกแอมเนสตี้ สายเลือดชาวกะเหรี่ยงคลิตี้ล่าง
บทสนทนามาถึงช่วงท้ายชายผู้นี้ อยากส่งเสียงของเขาถึงทุกคนที่กำลังมองหาพื้นที่ในการส่งเสริมเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและระดับโลก ผ่านประโยคที่มาจากคนที่ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกในท้องของแม่ ที่หมู่บ้านคลิตี้ล่าง จังหวัดกาญจนบุรี
“สมัยเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้สนใจเรื่องการบริจาคหรือเรื่องสิทธิมนุษยชนเท่าไหร่นะครับ เวลาที่ไปเดินห้างแล้วเจอคนมาขอบริจาค ผมก็รู้สึกเฉยๆ บางทีรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำไป ก็แค่ให้เงินไปเพื่อให้เรื่องมันจบๆ ไม่เคยรู้สึกว่ามันสำคัญขนาดไหน จนกระทั่งได้มาอยู่ในแวดวง เอ็นจีโอ และเห็นปัญหาที่หมู่บ้านตัวเองเผชิญ มันทำให้ผมเข้าใจได้ชัดเจนว่าการที่เราสมัครสมาชิกแอมเนสตี้ หรือบริจาคเพียงไม่กี่บาทต่อปี มันสามารถเปลี่ยนชีวิตคนจำนวนมากที่กำลังถูกละเมิดสิทธิได้จริงๆ”
“การเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ เหมือนเป็นการช่วยคนอื่นในแบบที่เราคิดไม่ถึง เพราะเราคงไม่ได้มีศักยภาพที่จะไปช่วยเหลือพวกเขาได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา แต่แอมเนสตี้สามารถทำได้ เขาเป็นเหมือนตัวแทนของพวกเราในการส่งความช่วยเหลือไปยังชุมชนที่ถูกละเมิดสิทธิ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยแต่ทั่วโลก บางคนอาจจะมองว่าเรื่องสิทธิมันไกลตัว แต่จริงๆ แล้วมันอยู่รอบตัวเรา ทำไมถึงมีคนไร้บ้าน? ทำไมถึงมีคนที่ยังไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี? ทำไมถึงมีคนที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐาน? ทุกอย่างมันมีรากมาจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งสิ้น”
“การที่ประเทศไหนมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ มันมาจากการละเมิดสิทธิเป็นหลักทั้งนั้น เพราะถ้าทุกคนมีสิทธิมนุษยชนที่ดี มีความเท่าเทียม เราคงไม่ต้องดิ้นรนมากมายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ พอเรามาเห็นว่าปัญหาส่วนใหญ่มันมาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน มันทำให้เราตระหนักได้ว่า การสนับสนุนองค์กรแบบแอมเนสตี้ หรือองค์กรอื่นๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เป็นสิ่งที่มีความหมายมาก ถึงแม้ว่าเราเองอาจจะไม่ได้ทำงานในภาคสนามโดยตรง แต่การที่เราเป็นสมาชิกหรือบริจาคเงินเล็กๆ น้อยๆ มันก็ช่วยสร้างการขับเคลื่อนสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้”
“ยกตัวอย่างใกล้ตัว หลายคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ อาจจะไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกละเมิดสิทธิ แต่ลองคิดดูดีๆ เวลาคุณต้องดิ้นรนแย่งขึ้นรถไฟฟ้า BTS หรือแย่งกันขึ้นรถเมล์ คนต่างจังหวัดก็เหมือนกัน กว่าจะไปถึงโรงพยาบาล กว่าจะได้รับการรักษา มันคือสิ่งที่คนในประเทศควรได้รับสิทธิ์พื้นฐานอยู่แล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น”
“ในฐานะที่ผมเป็นคนชาติพันธุ์ ผมเห็นชัดเลยว่าพื้นที่ที่พี่น้องชาติพันธุ์เราอยู่มักจะมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ มีทั้งป่าไม้และแม่น้ำ แต่ปัญหาคือจะมีกลุ่มทุนเข้ามายึดครองทรัพยากรเหล่านั้น แล้วใช้กฎหมายหรืออำนาจในการผลักดันพวกเราออกจากพื้นที่ ทั้งๆ ที่เราอยู่ในพื้นที่นี้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พวกเรามีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ ดูแลป่า ดูแลน้ำให้ยั่งยืน แต่กลับโดนผลักดันออกเพียงเพราะกลุ่มทุนต้องการเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากร”
“พี่น้องชาติพันธุ์ของเราถูกละเมิดสิทธิมายาวนาน ทั้งจากโครงการพัฒนาเหมืองแร่ โรงไฟฟ้า หรือเขื่อน พื้นที่เหล่านี้มักจะเป็นพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ต้องย้ายถิ่นฐานออกไปโดยไม่ได้รับการเยียวยาที่เป็นธรรม ไม่มีการมีส่วนร่วมจากชุมชน”
“ผมอยากฝากถึงทุกคนว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่แค่ปัญหาของพี่น้องชาติพันธุ์ แต่เป็นปัญหาของเราทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ เพราะเราทุกคนล้วนมีโอกาสถูกละเมิดสิทธิได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม ผมเชื่อว่าการขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่สำคัญและเร่งด่วนมากๆ การสนับสนุนองค์กรอย่างแอมเนสตี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ผมขอเชิญชวนทุกคนมาช่วยกันสมัครสมาชิกและร่วมกันขับเคลื่อนการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนไปด้วยกันครับ”
เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน ร่วมกันขับเคลื่อนเรื่องสิทธิมนุษยชนได้ที่: https://bit.ly/3NX3WzG