เสียงของคนรอ…’ครอบครัวอานนท์ นำภา’ ในวันที่พ่อต้องอยู่ในเรือนจำ

“ถ้าทนายความด้านสิทธิมนุษยชนยังติดคุก แล้วใครจะรอดบ้าง”

เสียงจากครอบครัว…อานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘อานนท์ นำภา’ ทนายความนักปกป้องสิทธิมนุษยชนนั้นถูกดำเนินคดีหลังจากที่เขาออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ เมื่อตรวจสอบข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่า ปัจจุบันอานนท์ต้องโทษในคดี พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 จากกรณีชุมนุม #ม็อบ27พฤศจิกา2563 และคดีที่มีความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เป็นสารตั้งต้นทำให้ชีวิตของเขาต้องถูกจำคุกเป็นเวลายาวนานกว่า 14 ปี 20 วัน

ในบทบาทของการเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน อานนท์ถือเป็นคนที่มีอุดมการณ์ชัดเจน และพร้อมต่อสู้ต่อกับความอยุติธรรม แต่สำหรับบทบาทของความเป็นพ่อของลูกทั้ง 2 คน และการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องโทษในคดีทางการเมือง จนต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ อาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก หากต้องก้าวผ่านสถานการณ์เช่นนี้ และในมุมมองของคนที่อยู่เคียงข้างชีวิตของอานนท์ นำภา และต้องอยู่เบื้องหลังชีวิตเขาจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของอานนท์ อาจทำให้ครอบครัวของเขาต้องต้องมีชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน เพราะผู้เป็นพ่อต้องโทษอยู่ในเรือนจำนานกว่า 10 ปี นั่นหมายความว่า เมื่อถึงวันที่เขาได้รับอิสรภาพ หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตหลังถูกปลดพันธนาการจากเรือนจำ อาจมีหลายสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม

ท่ามกลางกระแสการโจมตีของสังคมที่เข้ามา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ชวนคุยกับ ‘ลูกหว้า’ ภรรยาของทนายอานนท์ นำภา ในวันที่เธอต้องยืนหยัดเป็นเสาหลักให้กับลูกๆ พร้อมทั้งต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับอานนท์ นำภา ผู้ที่เป็นสามี

เหตุการณ์ซ้ำๆ ในกระบวนการ (ไม่) ยุติธรรม ที่ไม่เคยรู้สึกชินชา

“ตั้งแต่รู้จักกับอานนท์มา ครั้งนี้คือครั้งที่ 4 แล้วที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ไม่เคยรู้สึกชินเลยสักครั้ง แม้ว่าเขาจะเข้าเรือนจำไปกี่ครั้งแล้วก็ตาม”

เสียงสะท้อนจากลูกหว้า ภรรยาของทนายอานนท์ที่เคยคิดว่าการทำอะไรซ้ำๆ หรือเจอเรื่องเดิมหลายๆ ครั้งจะทำให้เธอรู้สึกเคยชินและไม่เสียใจมากนัก แต่สำหรับการที่ผู้เป็นที่รักต้องถูกจองจำอยู่ในกรงขังที่ไร้อิสรภาพจากการออกมาแสดงความคิดเห็นกลับมีผลลัพธ์ต่างไปอีกแบบ เพราะจากสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนั้นคือ ‘ความทุกข์’ ที่เธอไม่สามารถก้าวข้ามได้ แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม เพราะตั้งแต่เริ่มออกเคลื่อนไหว ทั้งครอบครัวและตัวของอานนท์ นภา ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าต้องกลายมาเป็นผู้ที่ถูกดำเนินคดี

อุดมการณ์กับพื้นฐานของความเท่าเทียม

‘สังคมมีความเท่าเทียม ทุกคนมีความเท่ากัน’ คืออุดมการณ์หลักที่อานนท์ยึดมั่น และมักจะพูดกับครอบครัวอยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งอานนท์และลูกหว้า ผู้เป็นภรรยามักจะสอนให้ลูกของเขารู้จักการเคารพผู้อื่น ที่ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการเมือง แต่ยังยึดโยงไปถึงเรื่องง่ายๆ ภายในบ้านที่เป็นสิ่งพื้นฐานของการใช้ชีวิต โดยลูกหว้ายกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนคือ ‘การล้างจาน’ ที่ทุกคนภายในบ้านสามารถช่วยกันทำได้

“ฉันก็ทำงานนอกบ้าน เธอก็ทำงานนอกบ้าน ทำไมเธอถึงไม่ล้างจาน เราจะเถียงกันประมาณ 2-3 วัน หรืออาจจะเป็นอาทิตย์ เราจะเถียงกันไปจนกว่าจะได้ข้อยุติว่าอะไรคือเหตุผล อะไรคือสิ่งที่ควรจะเป็น ทำไมเราถึงไม่เท่ากัน ในเมื่อเราทำงานหาเงินเลี้ยงลูกได้อย่างเท่ากัน”

จากเรื่องพื้นฐานภายในบ้าน สู่การลุกขึ้นมาเรียกร้องความเท่าเทียมให้สังคม แน่นอนว่าสิ่งที่ครอบครัวของอานนท์ นำภา ต้องเจอ อาจไม่ใช่เพียงแค่ถูกมองว่าเป็นคนที่แตกต่าง แต่กลับถูกโจมตีจากกระบวนการที่ทำให้ชีวิตของอานนท์ต้องไร้อิสรภาพ ในฐานะภรรยา ลูกหว้าไม่เคยรู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เธอกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเพราะระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยกำลังใจจากคนที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างกับจุดยืนเสมอ

“ไม่กล้วเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าเราแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่มีความกล้าหาญและพร้อมที่จะช่วยเหลือเราในทุกๆ ทาง เพราะฉะนั้นจึงรู้สึกว่าครอบครัวของเราไม่ใช่เพียงแค่ พ่อ แม่ ลูกแล้วตอนนี้ แต่มันคือทุกคนที่เราเดินผ่าน ทุกคนที่อยู่ในร้านอาหาร ทุกคนที่ที่อยู่ริมถนน หรือทุกคนที่เข้ามาทักและก็ให้กำลังใจเรา”

ลืมไปเลยว่าชีวิตปกติ ของ ‘ครอบครัวอานนท์ นำภา’ เป็นอย่างไร

“เรื่องราวเกิดขึ้นเยอะมาก จนเราลืมไปเลยว่าชีวิตปกติเป็นอย่างไร”

หากย้อนกลับไปในช่วงปี 2563 ที่มวลชนเริ่มออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิต่างๆ อานนท์ นำภาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และในเวลาเดียวกันก็เป็นช่วงที่ครอบครัวของเขาต้องพบเจอกับเหตุการณ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกติดตามจากบุคคลภายนอก หรือแม้แต่ถูกคุกคามบนโลกออนไลน์ที่ผู้คนมากมายต่างพุ่งเป้าไปที่ลูก จึงทำให้เกิดเป็นความกังวลในเรื่องความปลอดภัย ทั้งในตอนที่อานนท์ ยังใช้ชีวิตอยู่ภายนอกเรือนจำ จนถึงวันที่ต้องเข้าไปอยู่ในกรงขัง หลังถูกตัดสินจำคุกเพราะออกมาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ

“มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างรุนแรงนะการแสดงความคิดเห็นแบบไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช้ชื่อจริง ไม่ใช้รูปของตัวเอง และมาคอมเมนต์คนอื่นแบบสร้างความเกลียดชัง เพราะบางครั้งเพียงแค่โพสต์รูปลูกที่เป็นทารก ก็ยังมีคนเข้ามาด่า”

ลูกหว้า ภรรยาของอานนท์ นำภา เล่าย้อนกลับไปในช่วงนั้นว่า กิจวัตรประจำวันเดิมๆ ของครอบครัวก็ต้องเปลี่ยนไป จากเดิมที่อานนท์สามารถไปรับ-ส่งลูกที่โรงเรียนได้ก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผู้ปกครองที่โรงเรียนจะรู้สึกอย่างไรหากรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของอานนท์ นำภา และเมื่อถึงวันที่อานนท์ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำก็เห็นความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะชีวิตปกติที่เคยมีเพื่อนคู่คิด มีชีวิตที่เคยช่วยกันเลี้ยงลูกๆ กลายเป็นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะในวันนี้ ต้องมีแค่แม่ที่ต้องคอยทำหน้าที่ตรงนั้น ทำให้การออกไปใช้ชีวิตข้างนอกเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับลูกหว้าในวันที่ไม่มีช่วยแบ่งเบาภาระหรือเป็นกำลังเสริมในความรับผิดชอบที่ครอบครัวต้องช่วยกันตรงนี้

“ชีวิตช่วงนี้ต้องพึ่พาคนอื่นเยอะมากจริงๆ เพื่อนร่วมงานก็จะคอยมาช่วยเราเลี้ยงลูก เพราะเราทำคนเดียวไม่ไหวจริงๆ”

ภาพจำของลูก กับความเป็นจริงของพ่อ

ในห้วงเวลา 1 ปีของการจำคุก มีเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้นที่อานนท์ นำภา จะได้รับอิสรภาพออกมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ซึ่งแน่นอนว่าเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นสำหรับเด็กคนหนึ่งที่กำลังเติบโตและต้องการใช้เวลาอยู่กับผู้เป็นพ่อ เพราะก่อนหน้านี้อานนท์จะมีโอกาสได้เจอลูกก็ต่อเมื่อต้องเดินทางออกจากเรือนจำไปขึ้นศาล ซึ่งทำให้กลายเป็นภาพจำของลูกทุกครั้งที่จะเห็นพ่อในชุดนักโทษสีน้ำตาล ผมสั้นเกรียน และจะมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์อีกหลายคน

“เขาจะรู้สึกไม่โอเคกับศาลหรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่คุมตัวพ่อมา เขามักจะบอกว่าหนูไม่ชอบคนพวกนี้เลย เพราะว่าเขาไม่ให้พ่อกลับบ้าน ถ้าพ่อเดินมากับคนพวกนี้ พ่อก็ต้องกลับกับเขา”

และในมุมของอานนท์ ความห่วงใยเป็นสิ่งแรกเสมอที่เขาจะพูดอยู่เสมอ เนื่อจากช่วงเวลาของการเข้าไปอยู่ในเรือนจำนั้นคือช่วงเวลาเดียวกันกับการเติบโตของลูกๆ และนั่นก็หมายความว่าความทรงจำบางส่วนอาจะเลือนหายไป หรือทำให้อานนท์ นำภา ต้องกลายเป็นคนที่ถูกลืม สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการที่ลูกทั้ง 2 คนหลงลืมพ่อหรือมีความทรงจำร่วมกันไม่มาก เพราะพ่อต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่ให้สิทธิในการประกันตัว

“เขากลัวว่าลูกจะจำหน้าพ่อไม่ได้”

ความสิ้นหวังในกระบวนการยุติธรรม

“ในทางคดีไม่ค่อยมีหวังเท่าไหร่ และก็ไม่อยากหวังด้วย เพราะเราเห็นกันอยู่แล้วว่าทุกวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น และเราเห็นขั้นตอนการสู้คดีอย่างละเอียด เราศาลศาลไม่ออกพยานหลักฐานให้เราสู้คดี ซึ่งเราจะไปต่อสู้ได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้รับการสนับสนุน”

เพราะตั้งแต่ต่อสู้มา ลูกหว้ายังไม่เห็นความหวังเลยว่าตัวเองและครอบครัวจะสามารถต่อสู้คดีจนชนะได้ หากเพียงแต่ความหวังทางสังคมยังคงอยู่ ความหวังที่ต้องการเห็นสังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทิศททางที่ดีขึ้น ความหวังของการสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้คนเกิดการลุกขึ้นมาตั้งคำถามและต่อสู้กับความอยุติธรรม

“การต่อสู้ของทุกคนมันไม่เคยน่าสิ้นหวัง เราไม่เคยรู้สึกว่าเราใกล้จะแพ้เลย เพราะการที่อานนท์ติดคุกมันเป็นเพียงแค่กระบวนการที่นำไปสู่การเติบโตของสังคมที่มากยิ่งขึ้น”

ลูกว่าเล่าต่ออีกว่า หากเทียบกับช่วงแรกที่อานนท์เริ่มออกมาเรียกร้องสิทธิและถูกดำเนินคดี ถือได้ขณะว่าสถานการณ์ดีขึ้น แต่การต่อสู้ก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับสังคม เพราะแม้ว่าทุกวันนี้อานนท์จะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ แต่เขาก็ยังคงต่อสู้อยู่ พยายามสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ผ่านจดหมายมายังคนข้างนอก รวมถึงเขียนถึงลูกทั้ง 2 คนผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา

ซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ก็ได้รณรงค์เพื่อเรียกร้องให้ทางการปล่อยตัวนักโทษคดีทางการเมืองผ่านรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนจดหมายถึงเพื่อนที่อยู่ในเรือนจำ หรือการลงชื่อเรียกร้องและกดดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปล่อยตัวนักโทษคดีทางการเมืองโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข และทนายอานนท์ นำภาก็เป็นหนึ่งในเคสที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยยกขึ้นมาในการรณรงค์

ความหวังที่ยังไม่หมดหวัง….สังคมเท่าเทียม ทุกคนเท่ากัน

ลูกหว้าทิ้งท้ายกับแอมเนสตี้ ประเทศไทย ถึงผู้คนในสังคมว่าอย่าเพิกเฉยต่อการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน เพราะการเพิกเฉยนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว ทุกคนสามารถลุกขึ้นมาทำอะไรและต่อสู้เพื่อสังคมได้ โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องการเมือง เพียงลุกขึ้นมาทำในสิ่งเล็กน้อยที่ตัวเองสามารถทำได้ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีมากพอแล้ว เพราะสังคมจะเดินต่อได้อาศัยการต่อสู้ของกลุ่มคน อย่างที่อุดมการณ์ของอานนท์ที่ต้องการเห็น คือทุกคนเท่ากัน และสังคมมีความเท่าเทียม

“เราทำอย่างไรก็ได้ให้สังคมมันสามารถเดินไปด้วยกัน ความเจริญและสิทธิเสรีภาพสามารถเดินไปพร้อมๆ กัน และชีวิตทุกคนจะต้องดีไปด้วยกัน”

ลงชื่อเรียกร้องปล่อยตัวอานนท์ นำภาได้ที่ : https://bit.ly/3AbYsh4
สนับสนุนงานรณรงค์เพื่อขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนได้ที่ : https://bit.ly/4cqmouQ

ฟังเสียงของครอบครัวทนายอานนท์ นำภา เพิ่มเติมได้ที่ : https://spoti.fi/3yoPE6W

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแอมเนสตี้
บริจาคสนับสนุนแอมเนสตี้