นโยบายเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ


ภาพรวม

ตำรวจมีหน้าที่ในการป้องกันและตรวจจับอาชญากรรม รักษากฎหมายและกฎระเบียบ และปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่บ่อยครั้งที่ตำรวจกลับใช้อำนาจในทางที่ผิด จากกรณีการสังหาร จอร์จ ฟลอยด์ ในสหรัฐอเมริกาไปจนถึงการวิสามัญฆาตกรรมชาวแอฟโฟร-บราซิลเลียน (Afro-Brazilians) ในชุมชนแออัดของบราซิล รวมถึงการปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงในบังกลาเทศและฮ่องกง การใช้กำลังโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้ ล้วนก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง

บางครั้งตำรวจได้สังหารหรือทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงต่อผู้คนระหว่างการจับกุม และในอีกหลายกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังโดยมิชอบอย่างรวดเร็ว รวมถึงการสอดแนมที่เกินขอบเขต และจับกุมหรือควบคุมตัวโดยพลการเพื่อปราบปรามการชุมนุมประท้วงโดยสงบ การกระทำเหล่านี้มักมีสาเหตุจากการเหยียดเชื้อชาติและการเลือกปฏิบัติในรูปแบบอื่นๆ การใช้อาวุธที่ไม่อันตรายถึงชีวิตในการควบคุมฝูงชนเช่น แก๊สน้ำตา กระสุนยาง กระบองและระเบิดแสง โดยไม่ระมัดระวังอาจนำไปสู่การบาดเจ็บที่ร้ายแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตและเกิดบาดแผลทางจิตใจในระยะยาว

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด การใช้กำลังโดยมิชอบของตำรวจอาจทำให้ประชาชนถูกพรากสิทธิที่จะมีชีวิตหรือตกเป็นเหยื่อของการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ แม้การละเมิดสิทธิมนุษยชนเหล่านี้จะร้ายแรงเพียงใด แต่เจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดกลับไม่เคยถูกนำตัวมารับผิดชอบตามกฎหมายแต่อย่างใด

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้รวบรวมและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลังโดยมิชอบของตำรวจทั่วโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “ปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วง” หรือ Protect the Protest เรายังรณรงค์เพื่อผลักดันให้มีสนธิสัญญาเพื่อควบคุมการค้าขายเครื่องมือทรมานที่ตำรวจใช้กับผู้ชุมนุมประท้วง แอมเนสตี้ยังได้พัฒนาหลักสูตรออนไลน์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับอนุญาตให้กระทำได้หรือกระทำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้างและเหตุผลว่าทำไมการรับผิดชอบต่อการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เราต้องประกันให้ตำรวจยุติการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ที่สังหารบุคคลโดยมิชอบด้วยกฎหมายจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ อีกต่อไป และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องตระหนักถึงสิทธิของตนเอง

เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลของรัสเซียปิดถนนระหว่างการชุมนุมสนับสนุนอเล็กเซย์ นาวัลนี (Alexei Navalny) นักวิจารณ์เครมลินที่ถูกจำคุก ในใจกลางเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2564 ภาพโดย ©OLGA MALTSEVA/AFP จาก Getty Images

กฎระเบียบในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจคืออะไร?

เมื่อปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศในการเคารพ ปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิที่จะมีชีวิต เสรีภาพและความปลอดภัยของบุคคล สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก แต่สิทธิเหล่านี้กำลังถูกละเมิดจากการใช้กำลังหรือปฏิบัติการอื่นๆ ที่ผิดกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอาจรวมถึงการทำร้ายร่างกาย การเหยียดเชื้อชาติ การใช้อาวุธที่ไม่อันตรายถึงชีวิตโดยไม่ระมัดระวัง ตลอดจนการสังหารและการทรมานที่ผิดกฎหมาย

ความชอบด้วยกฎหมาย ความจำเป็นและความได้สัดส่วน เป็นหลักการสำคัญในการบังคับใช้กฎหมาย วิธีการและสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้กำลังได้นั้น ถูกกำหนดไว้ในกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศซึ่งได้ควบคุมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนี้ หลักการเรื่องความระมัดระวัง (หลักการป้องกันไว้ก่อน) การไม่เลือกปฏิบัติและความรับผิดชอบ ก็เป็นหลักเกณฑ์ที่คอยกำกับการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะการใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต อยู่ภายใต้การควบคุมกำกับอย่างเข้มงวดของกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ ซึ่งหน่วยงานของรัฐรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีภารกิจสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเคารพและคุ้มครองสิทธิที่จะมีชีวิตรอด

ตามกฎหมายระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจควรใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิตเป็นแนวทางสุดท้ายเท่านั้น หมายความว่าให้ใช้ได้เฉพาะเท่าที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันตนเองหรือบุคคลอื่นจากภัยคุกคามเฉพาะหน้าที่อาจถึงขั้นเสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส และให้ใช้ได้เฉพาะเมื่อทางเลือกอื่นที่จะลดความรุนแรงไม่ได้ผลมากเพียงพอ ดังนั้นการสังหารบุคคลของเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายกรณีที่เราได้เห็นทั่วโลก จึงไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์เหล่านี้อย่างชัดเจน

เจ้าหน้าที่ตำรวจอิสตันบูลได้สลายการชุมนุมซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำของกลุ่มคุณแม่ชาวตุรกีที่รำลึกถึงการหายตัวไปของญาติในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ชุมนุมหลายสิบคน ภาพโดย HAYRI TUNC/AFP จาก Getty Images

ความทารุณโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (Police brutality) คืออะไร?

คำว่า “ความทารุณโหดร้ายของตำรวจ” ในบางครั้งได้ถูกใช้เมื่อพูดถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนนานัปการที่กระทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจรวมถึงการทุบตี การปฏิบัติที่มิชอบอันเนื่องด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ การสังหารโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การทรมานหรือการใช้กองกำลังตำรวจปราบจลาจลเข้าปราบปรามการชุมนุมประท้วงอย่างไม่เลือกเป้าหมาย

อะไรเป็นสาเหตุของความทารุณโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ?

ในประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับสูง มักเป็นผลมาจากองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่ไม่เข้มงวดหรือกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยว การเลือกปฏิบัติอันเนื่องด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติหรืออื่นๆ ความไม่มั่นคงหรือความขัดแย้งและการลอยนวลพ้นผิดที่ฝังรากลึก

รัฐบาลประเทศต่างๆ ที่มักละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน ทั้งเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ มักให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในการใช้กำลังที่รุนแรงเพื่อตอบโต้หรือปราบปรามการชุมนุมประท้วงและการเดินขบวน อีกทั้งการลอยนวลพ้นผิดภายหลังการสังหารของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังนำไปสู่วงจรการใช้ความรุนแรงอีกด้วย

เหตุใดความทารุณโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชน?

ในกรณีที่เลวร้ายสุด การใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อาจส่งผลให้บุคคลถูกละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตรอด กรณีที่เป็นการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่จำเป็นหรือเกินขอบเขต อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นการทรมานหรือการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ ด้วย

การใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังอาจละเมิดสิทธิที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ สิทธิที่จะมีอิสรภาพและความมั่นคง และสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมภายใต้กฎหมาย

มีกฎหมายและแนวปฏิบัติอะไรบ้างที่ใช้ควบคุมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ?

มาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกบัญญัติไว้ในเอกสารสำคัญต่อไปนี้:

  • หลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย (The United Nations Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials – BPUFF) เป็นเครื่องมือหรือแนวปฏิบัติระหว่างประเทศที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลักการนี้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้มาตรการที่ไม่รุนแรงเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะใช้กำลังหรืออาวุธปืน นอกจากนี้ยังระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้กำลังที่อาจอันตรายถึงชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้นเพื่อปกป้องตนเองหรือผู้อื่นจากภัยคุกคามที่ใกล้จะเกิดขึ้นซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส และจะต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อวิธีการอื่นๆ ที่ใช้ในการลดระดับความรุนแรงหรือยุติสถานการณ์โดยการใช้กำลังที่รุนแรงน้อยกว่านั้นไม่เพียงพอ
  • จรรยาบรรณการปฏิบัติหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย (UN Code of Conduct for Law Enforcement Officials) เอกสารฉบับนี้กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่ไม่เพียงแต่จะต้องรักษากฎหมายเท่านั้น แต่ยังต้องเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนในการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย นอกจากนี้ยังระบุว่า เจ้าหน้าที่สามารถใช้กำลังได้เฉพาะเมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งและในขอบเขตที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเท่านั้น

โดยอ้างอิงตามเอกสารกฎหมายสองฉบับนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงได้จัดทำ แนวทางการปฏิบัติของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลว่าด้วยการใช้กำลังและแนวทางการปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย แนวทางนี้อ้างอิงจากกฎหมายภายในประเทศ ระเบียบข้อบังคับและเอกสารฝึกอบรมจาก 58 ประเทศเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้รัฐบาลสามารถนำหลักการพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติไปใช้ปฏิบัติได้จริงและเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสิทธิมนุษยชน

แนวปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยอาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำในการบังคับใช้กฎหมาย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการออกแบบ ผลิต ถ่ายโอน จัดหา ทดสอบ ฝึกอบรม นำไปใช้งานและการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีความรับผิดชอบ อาวุธเหล่านี้รวมถึงกระบอง แก๊สน้ำตา ปืนฉีดน้ำและปืนช็อตไฟฟ้า ซึ่งเป็นอาวุธที่เสนอให้ใช้แทนอาวุธร้ายแรง เช่น อาวุธปืนที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ทันที

พายุ บุญโสภณ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมวัย 29 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเข้าที่ตาขวา หนึ่งในกระสุนยางได้ทะลุลูกตาของพายุ ทำให้เขาตาบอด ภาพโดย ©Chanakarn Laosarakham

เมื่อใดที่การใช้กำลังถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย?

เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องยึดมั่นในหลักการเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย ความจำเป็น ความได้สัดส่วนและการไม่เลือกปฏิบัติอยู่เสมอ การใช้กำลังใดๆ ที่ไม่เป็นไปตามหลักการเหล่านี้ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หลักความชอบด้วยกฎหมายระบุว่า การใช้กำลังจะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศและต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมายที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเท่านั้น

หลักความจำเป็น หมายความว่า การใช้กำลังจะต้องเกิดขึ้นเมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น และใช้ในขอบเขตเท่าที่จำเป็นเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพยายามใช้มาตรการที่ไม่รุนแรงก่อนเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น การสั่งการด้วยวาจา การเจรจา การแจ้งเตือนหรือแม้แต่การรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ล้วนเป็นวิธีที่สามารถใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่ต้องใช้กำลัง และเมื่อจำเป็นต้องใช้กำลัง เจ้าหน้าที่จะต้องเลือกวิธีที่เป็นอันตรายน้อยที่สุดแต่ยังคงมีประสิทธิภาพ การใช้กำลังดังกล่าวจะต้องยุติทันทีเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วหรือเมื่อเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้อีกต่อไป

หลักความได้สัดส่วน หมายความว่า การใช้กำลังต้องมีความสมดุลระหว่างประเภทและระดับของกำลังที่ใช้กับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับบุคคล โดยต้องพิจารณาจากระดับของภัยคุกคามที่บุคคลนั้นก่อขึ้น ความเสียหายที่เกิดจากการใช้กำลังต้องไม่เกินกว่าความเสียหายที่พยายามจะป้องกัน

เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้กำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนของทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไม่ใช้กำลังต่อบุคคลใดๆ ด้วยอคติหรือด้วยเจตนาที่เลือกปฏิบัติไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม

การใช้กำลังโดยพลการหรือโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งไม่ได้มุ่งหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่มีเจตนาเพื่อเป็นการลงโทษ ทรมานหรือล่วงละเมิดหรือเป็นการใช้กำลังโดยไม่จำเป็นหรือเกินกว่าเหตุในสถานการณ์นั้น ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ผู้ชุมนุมประท้วงเริ่มวิ่งหนีหลังจากมีการยิงแก๊สน้ำตาในระหว่างการประท้วง ณ กรุงดาการ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 หลังจากผู้นำฝ่ายค้านของประเทศ อุสมาน ซอนโก (Ousmane Sonko) ถูกตั้งข้อหาข่มขืน ภาพโดย ©JOHN WESSELS/AFP จาก Getty Images

การใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำ

จากอาร์เจนตินาถึงซิมบับเว ตำรวจมักใช้กำลังโดยไม่จำเป็นและเกินกว่าเหตุเพื่อปราบปรามการชุมนุมโดยสงบ การกระทำเช่นนี้มักเกิดจากการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำอย่างไม่เหมาะสม เช่น กระสุนวิถีโค้งที่มีแรงกระแทกหรือกระสุนจลนศาสตร์ (Kinetic Impact Projectiles – KIPs) แก๊สน้ำตา ระเบิดแสง และกระบอง

รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลซึ่งอ้างอิงจากการวิจัยในกว่า 30 ประเทศ ได้บันทึกกรณีที่ผู้ชุมนุมประท้วงและผู้ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงหลายพันคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายจากการใช้กระสุนวิถีโค้งฯ โดยประมาทและไม่ได้สัดส่วนในระยะประชิด อาวุธเหล่านี้ก่อให้เกิดบาดแผลที่รุนแรง เช่น ตาบอด แผลไฟไหม้รุนแรง กะโหลกศีรษะแตก ซี่โครงหักและปอดทะลุ

ผู้ชุมนุมประท้วงคนหนึ่งได้เตะระเบิดแก๊สน้ำตากลับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลระหว่างการชุมนุมในเมืองนองต์ ทางตะวันตกของประเทศฝรั่งเศส ภาพโดย ©LOIC VENANCE/AFP จาก Getty Images

กรณีศึกษา: เลย์ดี กาเดนนา (Leidy Cadena) ประเทศโคลอมเบีย

เมื่ออายุได้ 22 ปี ชีวิตของเลย์ดี กาเดนนา (Leidy Cadena) ก็เปลี่ยนไปตลอดกาล หลังจากที่เธอถูกกระสุนยางยิงใส่ระหว่างการชุมนุมประท้วงในใจกลางกรุงโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย

เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 นักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์คนนี้ได้ออกมาร่วมเดินขบวนกับคนอื่นๆ อีกหลายร้อยคนเพื่อประท้วงการจัดการวิกฤตเศรษฐกิจของรัฐบาลและเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศ

“ขณะที่พวกเรากำลังชุมนุมโดยสงบ พร้อมร้องเพลงและสวดมนต์อยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เริ่มยิงแก๊สน้ำตา และผู้คนก็เริ่มวิ่งหนี” เลย์ดีเล่า ขณะที่เธอและเพื่อนพยายามเดินทางกลับบ้าน หน่วยตำรวจชุดหนึ่งได้สกัดทางที่พวกเธอกำลังจะผ่านนั้นไว้ เจ้าหน้าที่นายหนึ่งได้ยิงกระสุนยางใส่เลย์ดีในระยะประชิด กระสุนพุ่งเข้าใส่เธอส่งผลให้เธอต้องสูญเสียดวงตาข้างขวาไปจากเหตุการณ์ครั้งนั้น

ต่อมา เลย์ดีได้ยื่นคำร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและถูกเรียกสอบปากคำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 10 ครั้ง คดีของเธอกลายเป็นคดีที่ถูกจับตามองทั่วประเทศโคลอมเบียในฐานะที่เป็นคดีที่สะท้อนถึงความโหดร้ายจากการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างการประท้วงระดับชาติ (National Strike) และผลกระทบที่รุนแรงจากการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย หลังจากที่เธอออกมาประณามการโจมตีของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ดังกล่าว เธอได้รับคำขู่และการคุกคามหลายครั้งจนต้องลี้ภัยออกจากประเทศ

การปล่อยให้อาวุธประเภทนี้อยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ที่ใช้อำนาจ
โดยมิชอบ เป็นการนำชีวิตของผู้คนไปเสี่ยงกับการถูกทรมาน
และได้รับบาดเจ็บที่ร้ายแรง เหมือนอย่างที่ฉันเคยเจอมา

เลย์ดี กาเดนนา กล่าว

การเลือกปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมาย

งานวิจัยของแอมเนสตี้ชี้ให้เห็นว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรที่กระทำความผิดเล็กน้อย ผู้ชุมนุมประท้วง นักกิจกรรมเยาวชนที่เป็นนักเรียนนักศึกษาหรือแม้แต่คนที่เพียงแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มักตกเป็นเหยื่อของการสังหาร ถูกทุบตีทำร้ายร่างกาย ถูกข่มขืน ถูกละเมิดศักดิ์ศรีหรือกระทำทารุณกรรมในรูปแบบอื่นๆ โดยเจ้าหน้าตำรวจมากที่สุดส่วนใหญ่แล้วเป็นคนยากจนและคนชายขอบ

ในสหรัฐอเมริกา การบังคับใช้กฎหมายโดยมีอคติทางเชื้อชาติได้นำไปสู่การเสียชีวิตอย่างน่าสะเทือนใจของจอร์จ ฟลอยด์ ไมเคิล บราวน์ บรีออนนา เทย์เลอร์ เอริค การ์เนอร์ และคนผิวดำที่ไม่มีอาวุธอีกจำนวนมาก การใช้งานระบบจดจำใบหน้าที่เพิ่มมากขึ้นยังส่งผลให้คนผิวดำตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมผิดตัวหรือถูกใช้กำลังเกินกว่าเหตุโดยมิชอบด้วยกฎหมายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ในเม็กซิโก ผู้หญิงที่ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้ “สงครามต่อต้านยาเสพติด” มักถูกข่มขืน ถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกทรมานในรูปแบบต่างๆ เช่น การช็อตไฟฟ้าที่อวัยวะเพศเพื่อบังคับให้พวกเธอ “รับสารภาพ” ในข้อหาที่มีความผิดร้ายแรง ในฟิลิปปินส์ คนยากจนและคนยากไร้ด้อยโอกาสที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการใช้หรือค้ายาเสพติด มักถูกตำรวจยิงเสียชีวิตทั้งที่พวกเขากำลังร้องขอชีวิตจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศทั่วโลกยังคงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุกคามและล่วงละเมิดเป็นประจำ ตัวอย่างเช่น ในปี 2560 เจ้าหน้าที่รัฐในสาธารณรัฐเชชเนียของรัสเซียได้เปิดฉากโจมตีคนที่เชื่อว่าเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน โดยมีชายเกย์หลายสิบคนในเชชเนียถูกลักพาตัวและทรมานโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลายคนถูกสังหารในสถานกักกันลับ

ผู้ชุมนุมประท้วงคนหนึ่งชูมือที่มีข้อความเขียนอยู่บนมือว่า ‘DON’T SHOOT’ (อย่างยิง) ระหว่างการชุมนุมประท้วงต่อต้านความรุนแรงของตำรวจในเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 ภาพโดย ©NICHOLAS KAMM/AFP จาก Getty Images

กรณีศึกษา: จินา มะฮ์ซา อามินี (Jina Mahsa Amini)

ในตัวอย่างอันโหดร้ายของการเลือกปฏิบัติโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ จินา มะฮ์ซา อามินี ถูก “ตำรวจศีลธรรม” ของอิหร่าน (gasht-e ershad: กัชตีเอรชาด) เรียกตรวจขณะเดินทางเยือนกรุงเตหะรานพร้อมกับพี่ชายของเธอในเดือนกันยายนปี 2565 หน่วยกัชตีเอรชาดเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการคุกคามและควบคุมตัวผู้หญิงโดยพลการเป็นประจำ หากพบว่าพวกเธอไม่ปฏิบัติตามกฎหมายบังคับให้สวมผ้าคลุมศีรษะซึ่งเป็นกฎหมายที่เข้มงวดและเลือกปฏิบัติของประเทศ หน่วยกัชตีเอรชาดได้จับกุมเธออย่างรุนแรง

พยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ผลักเธอขึ้นรถตู้และทุบตีร่างกาย ก่อนนำตัวเธอไปยังศูนย์กักกันโวซารา (Vozara detention centre) ในกรุงเตหะราน พี่ชายของเธอก็ถูกทุบตีเช่นกันเมื่อเขาพยายามประท้วงการจับกุม ต่อมา เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ตำรวจบอกกับจินา มะฮ์ซา อามินี ว่าเธอจะต้องเข้าร่วม “ชั้นเรียนให้ความรู้” ที่ศูนย์กักกันโวซารา ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อ “ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” ของผู้หญิงและเด็กหญิงที่ละเมิดระเบียบการแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามของประเทศ

จากรายงานที่น่าเชื่อถือ ตำรวจศีลธรรมได้ทรมานและปฏิบัติต่อจินา มะฮ์ซา อามินี อย่างโหดร้ายในระหว่างที่อยู่ในรถตู้ของตำรวจ รวมถึงการทุบตีศีรษะของเธอ เธอหมดสติจนอยู่ในอาการโคม่าและถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลโดยยังคงอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายและเธอเสียชีวิตในอีกสามวันต่อมาหรือเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565

เธออายุแค่ 22 ปี

การเสียชีวิตของเธอได้จุดชนวนให้เกิดความโกรธขึ้นทั่วโลกและนำไปสู่การลุกฮือเพื่ออิสรภาพในชีวิตของผู้หญิงในประเทศอิหร่าน เพื่อต่อต้านการปราบปรามและการเลือกปฏิบัติทางเพศที่ดำเนินมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ

ผู้ชุมนุมประท้วงคนหนึ่งถือภาพของมะฮ์ซา อามินี ระหว่างการชุมนุมสนับสนุนอามินี หญิงสาวชาวอิหร่านที่เสียชีวิตหลังจากถูกตำรวจศีลธรรมของสาธารณรัฐอิสลามจับกุมในกรุงเตหะราน ภาพโดย ©OZAN KOSE/AFP จาก Getty Images

ความทารุณโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ตำรวจและการเหยียดเชื้อชาติ

กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศห้ามการเลือกปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไม่ว่าในรูปแบบใดๆ และห้ามไม่ให้ผู้บังคับใช้กฎหมายปฏิบัติต่อบุคคลแตกต่างกัน เพียงเพราะเชื้อชาติ เพศสภาพ รสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ ศาสนาหรือความเชื่อ ความเห็นทางการเมืองหรืออื่นๆ ชาติพันธุ์ ชาติกำเนิดหรือสังคม ความพิการหรือสถานะอื่นใด บุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย

แต่ถึงอย่างนั้น การเหยียดเชื้อชาติและการเลือกปฏิบัติในรูปแบบอื่น ได้ฝังรากลึกในการบังคับใช้กฎหมายและระบบยุติธรรมทั่วโลก ตั้งแต่การกำหนดบุคคลเป็นเป้าหมายโดยใช้เหตุผลด้านเชื้อชาติ (racial profiling) และการเลือกตรวจบุคคลบางคนเป็นการเฉพาะของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเลือกปฏิบัติและการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายอย่างกว้างขวาง

ในสหราชอาณาจักร แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ฐานข้อมูลด้านเชื้อชาติที่ลำเอียงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลกรุงลอนดอนที่ชื่อว่า Gangs Matrix ซึ่งฐานข้อมูลนี้ถูกใช้เพื่อเอาผิดทางอาญาและสร้างตราบาปให้กับชายหนุ่มผิวดำ ส่งผลให้มีการขึ้นบัญชีบุคคลจำนวนมากว่าเป็นสมาชิกกลุ่มอาชญากรรม โดยอ้างอิงจากเหตุผลเพียงเล็กน้อย เช่น เพลงที่พวกเขาชอบฟังหรือวีดิโอที่พวกเขาดูทางออนไลน์

เมื่อบุคคลถูกขึ้นบัญชีอยู่ในฐานข้อมูล Gangs Matrix แล้ว จะส่งผลให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตราบาปของการถูกขึ้นบัญชีว่าเป็นสมาชิก “แก๊ง” ยังทำให้เกิดความยากลำบากมากขึ้นในการหางานทำ ที่อยู่อาศัยหรือการเข้าถึงการศึกษา ในปี 2561 Information Commissioner’s Office พบว่า การใช้ฐานข้อมูล Gangs Matrix เป็นการละเมิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลและไม่มีการแยกแยะระหว่างผู้เสียหายกับผู้ก่ออาชญากรรม จึงนำไปสู่การปฏิรูประบบนี้อย่างจำกัดในเวลาต่อมา

การใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายระหว่างการจับกุมและคุมขัง

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้จัดทำเอกสารหลักฐานมาอย่างยาวนานเกี่ยวกับการใช้กำลังโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจในระหว่างการจับกุม บุคคลที่ถูกจับกุมอาจถูกต่อย ถุกทุบตีด้วยกระบองหรือถูกเตะเข้าที่ใบหน้า แม้ว่าจะไม่มีการขัดขืนหรือมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ตาม อาวุธช็อตไฟฟ้ามักถูกนำมาใช้ในบริบทเช่นนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงในกรณีที่ผู้ถูกจับกุมไม่มีแนวโน้มที่จะเป็นภัยคุกคามต่อคนอื่นๆ และมักจะถูกใช้ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานในลักษณะที่รุนแรงโดยเฉพาะในโหมด “ช็อตแบบสัมผัสโดยตรง” (stun mode เป็นการใช้อาวุธแนบกับร่างกายโดยตรง) ซึ่งควรถูกห้ามใช้โดยสิ้นเชิง

การใช้กำลังโดยมิชอบสามารถดำเนินต่อไปได้ภายหลังจากการจับกุม ไม่ว่าจะเป็นภายในห้องขังของสถานีตำรวจ ห้องสอบสวนหรือเรือนจำ ในหลายกรณี เจ้าหน้าที่กระทำการทรมานหรือปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ ต่อผู้ต้องหาเพื่อเป็น “การลงโทษ” สำหรับการพูดโต้ตอบ การแสดงท่าทีไม่ให้ความร่วมมือหรือเพื่อบังคับให้ผู้ต้องหารับสารภาพ

ในระหว่างการลุกฮือเพื่ออิสรภาพในชีวิตของผู้หญิงในประเทศอิหร่านเมื่อปี 2565 กองกำลังความมั่นคง ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guards Corps) ได้กระทำการทรมานและปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ ต่อผู้ชุมนุมประท้วงและผู้ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างกว้างขวาง การกระทำเหล่านี้รวมถึงการข่มขืนอย่างโหดร้าย ทั้งการรุมโทรมหรือการข่มขืนหมู่และการใช้ความรุนแรงทางเพศในรูปแบบอื่นๆ ต่อผู้ชุมนุมประท้วงที่ถูกควบคุมตัว

อาเทม คาร์มาร์ดิน นักกิจกรรมและนักกวี ถูกจับกุมในรัสเซียเมื่อเดือนกันยายน ปี 2565 จากการเข้าร่วมการอ่านบทกวีสาธารณะเพื่อต่อต้านสงครามของรัสเซียในยูเครน ขณะถูกควบคุมตัว เขาถูกทรมาน โดยตามรายงานของทนายความ เขาได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการสมองกระทบกระเทือน ฟกช้ำหลายแห่งและอาการบาดเจ็บอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ทางการปฏิเสธที่จะนำตัวเขาส่งโรงพยาบาล ภาพโดย ©SOTA

การควบคุมการชุมนุมประท้วงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ทั่วโลก เรากำลังเห็นแนวโน้มที่ตำรวจมีลักษณะความเป็นทหารมากขึ้นและการใช้กำลังโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อปราบปรามการชุมนุมประท้วง ในหลายพื้นที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจตอบโต้การชุมนุมประท้วงด้วยการนำรถหุ้มเกราะ เครื่องบินทหาร โดรนสอดแนม ปืนและอาวุธจู่โจม ตลอดจนระเบิดแสงมาใช้

รัฐมีหน้าที่ในการรับรองว่าทุกคนสามารถใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ รวมถึงการประท้วงได้ รัฐมีหน้าที่ในการเคารพ ปกป้องและอำนวยความสะดวกในการชุมนุมโดยสงบด้วย

ตำรวจปราบจลาจลของจอร์เจียฉีดแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมประท้วงขณะตั้งแนวกั้นระหว่างการปะทะกับผู้ชุมนุมใกล้อาคารรัฐสภาในกรุงทบิลิซี เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 ภาพโดย ©AFP จาก Getty Images

มีมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างการชุมนุมประท้วง ซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้สรุปไว้ในแนวปฏิบัติเกี่ยวกับสิทธิในการชุมนุมโดยสงบดังนี้:

  • หน้าที่ของตำรวจคือการอำนวยความสะดวกให้เกิดการชุมนุมโดยสงบ ในบางกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องมีความอดทนในระดับหนึ่ง รวมถึงไม่กระทำการใดๆ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายบางประการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สถานการณ์บานปลายโดยไม่จำเป็น และเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเกิดความตึงเครียดขึ้น เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายมีหน้าที่ในการคลี่คลายสถานการณ์เพื่อลดความตึงเครียดและต้องปกป้องผู้ชุมนุมและบุคคลอื่นๆ จากความรุนแรงอย่างจริงจัง
  • หากผู้ชุมนุมบางคนกระทำความรุนแรง ก็ไม่ได้ทำให้การชุมนุมซึ่งโดยรวมเป็นไปโดยสงบกลายเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ เจ้าหน้าที่ตำรวจควรรับประกันว่าผู้ที่ยังคงชุมนุมโดยสงบสามารถดำเนินการชุมนุมประท้วงต่อไปได้
  • การใช้ความรุนแรงโดยคนส่วนน้อยไม่อาจเป็นข้ออ้างในการใช้กำลังโดยไม่เลือกเป้าหมายได้
  • หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้กำลังได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้กำลังให้น้อยที่สุดและเท่าที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
  • การตัดสินใจสลายการชุมนุมควรเป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น และสามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนและเมื่อวิธีการอื่นๆ ที่จำกัดสิทธิน้อยกว่าได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่ประสบผลสำเร็จ การสลายการชุมนุมไม่ใช่เหตุผลที่จะสามารถใช้กำลังได้โดยอัตโนมัติและผู้ชุมนุมต้องได้รับโอกาสให้ออกจากพื้นที่โดยสมัครใจ ก่อนที่จะมีการใช้อาวุธที่มีความร้ายแรงต่ำอื่นๆ เพื่อควบคุมฝูงชน ผู้ชุมนุมต้องได้รับคำเตือนล่วงหน้าและมีโอกาสปฏิบัติตามคำสั่งให้สลายตัวก่อน
  • แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเป็นอาวุธที่ส่งผลกระทบในวงกว้างและสามารถนำมาใช้ได้เฉพาะในกรณีที่เกิดความรุนแรงอย่างกว้างขวางและเมื่อเห็นได้ชัดเจนว่าวิธีการอื่นที่เจาะจงเป้าหมายโดยเฉพาะนั้นใช้ไม่ได้ผลหรือไม่เพียงพอในการควบคุมความรุนแรง ต้องมีการแจ้งเตือนด้วยเสียงที่ชัดเจนก่อนที่จะใช้อุปกรณ์เหล่านี้และต้องให้เวลากับผู้ชุมนุมอย่างเพียงพอในการสลายตัวโดยสมัครใจ ห้ามใช้แก๊สน้ำตาในที่ปิด ยิงจากที่สูงหรือใช้ในปริมาณมากเกินไปและห้ามยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงอย่างเด็ดขาด ในทำนองเดียวกัน ห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงยิงใส่ผู้ชุมนุมที่เป็นเป้าหมายในระยะประชิดหรือเล็งไปที่ศีรษะหรือใบหน้าโดยตรง และห้ามใช้หรือเล็งปืนฉีดน้ำแรงดันสูงใส่คนที่ถูกควบคุมตัวหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
  • กระสุนวิถีโค้งที่มีแรงกระแทก เช่น กระสุนยางหรือกระสุนพลาสติก สามารถนำมาใช้ได้เฉพาะเมื่อจำเป็นเพื่อป้องกันความรุนแรงต่อบุคคลเท่านั้น โดยเล็งเฉพาะบุคคลที่เป็นเป้าหมายที่กระทำความรุนแรงดังกล่าวอย่างชัดเจน ต้องใช้อย่างระมัดระวังและห้ามยิงกระสุนเหล่านี้ใส่ฝูงชนแบบสุ่มสี่สุ่มห้าโดยเด็ดขาด
  • อาวุธปืนไม่เหมาะสำหรับการควบคุมฝูงชนและห้ามนำมาใช้ในการสลายการชุมนุมโดยเด็ดขาด แม้ว่าในบางกรณีจะมีผู้ชุมนุมบางส่วนใช้ความรุนแรง แต่ตำรวจจะสามารถใช้อาวุธปืนได้เมื่อเป็นวิธีการหรือมาตรการสุดท้ายและเมื่อจำเป็นเท่านั้น เพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามต่อชีวิตหรืออาการบาดเจ็บสาหัสที่ใกล้จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชายคนหนึ่งยืนหยัดอยู่กับที่ ขณะเจ้าหน้าที่รักษาความสงบแห่งชาติ (National Gendarmerie) เคลื่อนกำลังลงมาตามถนนข้างอาคารรัฐสภาแห่งชาติ ในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ภาพโดย ©Santi Garcia Diaz/SOPA Images/LightRocket จาก Getty Images

ความรับผิด

ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ซึ่งมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย

ทุกกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิต จะต้องได้รับการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นอิสระ ไม่ลำเอียงและโปร่งใส หากมีพยานหลักฐานชี้ว่าเป็นการสังหารโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบควรถูกดำเนินคดีทางอาญา

แต่แอมเนสตี้เก็บข้อมูลของตำรวจซึ่งแม้จะสังหารหรือทำร้ายบุคคลอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็มักจะลอยนวลพ้นผิด

การลอยนวลพ้นผิด

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลในหลายประเทศเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสังหารหรือทำร้ายบุคคลโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยที่พวกเขามักจะรอดพ้นจากการถูกลงโทษ บางครั้งไม่มีการสอบสวน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข่มขู่ฝ่ายตุลาการ พยานหรือผู้รอดชีวิตและกดดันให้พวกเขาถอนฟ้อง ในบางกรณี กฎหมายให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งถือเป็นการสร้างบรรยากาศของการลอยนวลพ้นผิดที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถกระทำการดังกล่าวได้โดยไม่ต้องกลัวผลกระทบที่จะตามมา

ข้อกล่าวหาทุกประการเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องได้รับการสอบสวนและผู้ที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามกฎหมายและสอดคล้องกับสิทธิมนุษยชน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลทำอะไรบ้างเพื่อช่วยเหลือในประเด็นนี้?

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล บันทึกกรณีการใช้กำลังโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการใช้ ‘อุปกรณ์มาตรฐานของตำรวจ’ อย่างไม่เหมาะสม เช่น กระสุนยางและกระบองของตำรวจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนโดยไม่จำเป็น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกำลังรณรงค์ให้มีการแบนการผลิตและการค้าขายอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการทรมาน เช่น อุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าแบบสัมผัสโดยตรงและกระบองที่มีหนาม รวมถึงอุปกรณ์สำหรับการบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ที่อาจมีจุดประสงค์การใช้งานโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่บ่อยครั้งกลับถูกนำไปใช้ในการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่น ๆ

ในแคมเปญหลักของเราที่ชื่อว่า “ปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วง” (Protect the Protest) เราทำงานเพื่อเปิดเผยในกรณีที่สิทธิในการชุมนุมประท้วงถูกละเมิด โดยเฉพาะการใช้กำลังโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรายังได้ออกแบบหลักสูตรออนไลน์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในด้านการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ขณะที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างสงบเพื่อสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง โจเอล ปาเรเดส (Joel Paredes) ช่างปั้นเซรามิกชาวอาร์เจนตินา ถูกยิงเข้าที่ตาขวาจนทำให้ตาขวาของเขาบอด กรณีของโจเอลถูกนำเสนอในแคมเปญ Write for Rights หรือแคมเปญเขียน เปลี่ยน โลก ประจำปี 2567 ขององค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

เข้าร่วมคอร์สออนไลน์ฟรีของเราเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและสิทธิมนุษยชน

ในคอร์สที่เรียนด้วยตนเองนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย


แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลในประเด็นการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ทุกประเทศต่างมีกฎหมายของตนเองและไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่จะประกันให้มีการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและปลอดภัยมากขึ้น

แนวปฏิบัติอย่างละเอียดเกี่ยวกับการใช้กำลังของผู้บังคับใช้กฎหมายของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กำหนดอย่างชัดเจนว่า ตำรวจและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอื่นๆ ทั่วโลก จะสามารถปรับปรุงกฎหมาย นโยบายและการปฏิบัติได้อย่างไร โดยเรามีข้อเสนอแนะที่สำคัญบางส่วนดังนี้   

  • อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเลือกใช้กำลังและอาวุธปืนต้องถูกควบคุมกำกับอย่างเพียงพอตามกฎหมาย
  • หลักการ “คุ้มครองชีวิต” ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมาย และอนุญาตให้ใช้กำลังถึงขั้นเสียชีวิตได้เพียงเพื่อคุ้มครองจากภัยคุกคามเฉพาะหน้าที่อาจทำให้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น 
  • กรณีที่การใช้กำลังของตำรวจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จะต้องมีการสอบสวนโดยทันที อย่างละเอียดถี่ถ้วน เป็นอิสระและโดยไม่ลำเอียง และผู้มีส่วนรับผิดชอบต้องเข้าสู่การไต่สวนตามกระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม
  • ในระหว่างการชุมนุมประท้วง เจ้าหน้าที่ตำรวจควรปฏิบัติตามหน้าที่ของตนที่จะสนับสนุนให้เกิดการชุมนุมโดยสงบและไม่ควรเริ่มต้นการปฏิบัติการจากการใช้กำลัง
  • ให้ความสำคัญในการใช้วิธีการที่ไม่รุนแรง เช่น การเจรจา การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการไกล่เกลี่ยเพื่อลดการปะทะที่อาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง
  • ประกันว่าเครื่องมือที่มีอานุภาพในการทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงอย่างไม่เลือกเป้าหมายและไม่แยกแยะ เช่น แก๊สน้ำตาหรือปืนฉีดน้ำแรงดันสูง จะต้องถูกนำมาใช้สลายการชุมนุมในสถานการณ์ที่มีความรุนแรงในวงกว้างและสามารถใช้ได้หลังจากที่ได้ใช้วิธีการอื่นๆ และไม่สามารถควบคุมความรุนแรงได้แล้วเท่านั้น โดยต้องเปิดโอกาสให้ผู้ชุมนุมประท้วงสามารถออกจากพื้นที่ชุมนุมโดยสมัครใจ ต้องไม่ใช้เมื่ออยู่ในพื้นที่ปิดหรือเมื่อถนนและเส้นทางอื่นๆ ถูกปิดกั้นและต้องทำการแจ้งเตือนผู้ชุมนุมก่อนจึงจะสามารถนำวิธีการดังกล่าวมาใช้ได้ 
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องติดเครื่องหมายระบุตัวตนที่เห็นได้ชัดเจน