การบังคับบุคคลให้สูญหาย


ภาพรวม

การบังคับบุคคลให้สูญหาย หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “การอุ้มหาย” เป็นอีกหนึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง ซึ่งหมายถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับคำสั่งให้กระทำ สนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจในการจับกุม คุมขัง ลักพาตัวหรือลิดรอนเสรีภาพของบุคคล โดยพยายามปกปิดชะตากรรมหรือที่อยู่ของบุคคลนั้นๆ

เหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหายคือคนที่หายสาบสูญจริงๆ หายไปจากคนที่พวกเขารักและชุมชนของตนเอง พวกเขาหายตัวไปอันเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ (หรือบุคคลที่กระทำโดยได้รับความยินยอมจากรัฐ) จับตัวพวกเขาไป อาจจะจับตัวในขณะที่พวกเขาอยู่บนท้องถนนหรืออยู่ในบ้าน แต่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นกลับปฏิเสธหรือไม่ยอมบอกว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน บางครั้งการหายสาบสูญในรูปแบบดังกล่าวอาจเกิดขึ้นโดยฝีมือของกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐ เช่น กลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่ใช้กำลังอาวุธ ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ

ผู้คนเหล่านี้มักไม่เคยได้รับการปล่อยตัวและชะตากรรมของพวกเขายังคงไม่เป็นที่รับรู้อย่างแน่ชัด เหยื่อมักถูกทรมาน หลายคนถูกสังหาร หรือแม้กระทั่งต้องใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวว่าจะถูกฆ่าทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขารู้ดีว่าครอบครัวของตนไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและแทบไม่มีโอกาสเลยที่จะมีใครมาช่วยพวกเขาได้ แม้ว่าบางคนจะรอดพ้นจากความตายและได้รับการปล่อยตัวในที่สุด แต่ร่องรอยของบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจยังคงอยู่กับพวกเขาไปตลอด

การบังคับบุคคลให้สูญหายถือเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ผู้กระทำความผิดมักลอยนวลพ้นผิด ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อบุคคลที่ถูกทำให้สูญหาย บ่อยครั้งที่ผู้สูญหายไม่ได้รับการปล่อยตัวและไม่มีผู้ทราบชะตากรรมของพวกเขาอีกเลย จึงถือได้ว่าเป็นการละเมิดอย่างต่อเนื่องต่อสิทธิมนุษยชนของครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหาย ซึ่งไม่มีโอกาสได้ทราบความจริงว่าผู้สูญหายอยู่ที่ไหน

การบังคับบุคคลให้สูญหายได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก ในปากีสถานและฟิลิปปินส์ ซึ่งแทบไม่มีการรับผิดชอบต่อการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงานและสิทธิในที่ดิน ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและนักข่าว ล้วนเป็นกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหายในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา

ในประเทศไทยเอง มีคดีที่เป็นที่รู้จัก เช่น ทนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน อดีตรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความและอดีตประธานชมรมนักฎหมายมุสลิม ได้หายตัวไปในย่านรามคำแหง กรุงเทพมหานครฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนท่านนี้ยังคงหายตัวไปจนถึงทุกวันนี้ 

ทนายสมชายเป็นนักกิจกรรมที่มีชื่อเสียง เคลื่อนไหวรณรงค์เพื่อสิทธิของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู รวมทั้งผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อของการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ ระหว่างถูกทหารควบคุมตัวในจังหวัดชายแดนใต้ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่เจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวบุคคลเป็นเวลาเจ็ดวันในค่ายทหารโดยไม่ต้องมีข้อหา

คุณอังคณา นีละไพจิตร ภรรยาของทนายสมชาย นีละไพจิตร ได้ร่วมงานรณรงค์ครบรอบ 17 ปีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร ที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2564 ภาพโดย Amnesty International Thailand

และคดีของบิลลี่ หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขาเป็นหลานชายของ “ปู่คออี้” เขาเรียกร้องในประเด็นเรื่องสิทธิชุมชน ซึ่งในหลายกรณีเป็นความขัดแย้งระหว่างชาวกะเหรี่ยงกับเจ้าหน้าที่รัฐในประเด็นที่อยู่อาศัยและการไล่รื้อที่อยู่ของชาวบ้าน เขาเป็นหนึ่งแกนนำในการเตรียมฟ้องคดีต่อเจ้าหน้าที่ กรณีการเข้ารื้อทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัวที่ใจแผ่นดิน เมื่อปี 2554 และเป็นหนึ่งในพยานคดีที่ชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอยยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ข้อหาเผาบ้านและยุ้งฉางของชาวบ้านให้ได้รับความเสียหาย บิลลี่ได้หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ที่ด่านมะเร็ว อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังจากถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติควบคุมตัวในข้อหามีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครอง

ไทม์ไลน์เกี่ยวกับบิลลี่ หรือ นายพอละจี รักจงเจริญ ภาพโดย Amnesty International Thailand

ปัญหา

เครื่องมือแห่งความหวาดกลัว

การบังคับบุคคลให้สูญหายมักจะถูกใช้เป็นกลยุทธ์ในการสร้างความหวาดกลัวต่อสังคมในวงกว้าง การกระทำอันโหดร้ายดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อสร้างบรรยากาศที่ไม่ปลอดภัย ความรู้สึกไม่มั่นคงและความกลัวที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับญาติใกล้ชิดของผู้สูญหายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อชุมชนและสังคมโดยรวมอีกด้วย

ปัญหาระดับโลก

ในอดีต การบังคับบุคคลให้สูญหายเคยถูกใช้โดยระบอบเผด็จการทหารเป็นหลัก แต่ปัจจุบัน การบังคับบุคคลให้สูญหายเกิดขึ้นในทั่วทุกภูมิภาคของโลกและในหลากหลายบริบท ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศ โดยเฉพาะจากรัฐบาลที่พยายามปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่ใช้กำลังอาวุธ

ใครบ้างที่มีความเสี่ยง?

นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ญาติของผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหาย พยานสำคัญและทนายความ มักตกเป็นเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง

ความเจ็บปวดทรมานและอันตรายสำหรับครอบครัว

ครอบครัวและเพื่อนของผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายต้องเผชิญกับความทรมานทางจิตใจอย่างช้าๆ พวกเขาไม่รู้ว่าลูกชาย ลูกสาว พ่อหรือแม่ของตนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นถูกควบคุมตัวอยู่ที่ไหน หรือถูกปฏิบัติอย่างไรบ้าง การตามหาความจริงอาจทำให้ทั้งครอบครัวตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง ความไม่รู้ที่แน่ชัดว่าคนที่ตนรักจะกลับมาหรือไม่ ทำให้ญาติต้องใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ไร้จุดหมายและไม่อาจก้าวต่อไปได้

ผู้ชายมักจะตกเป็นเป้าหมาย ส่วนผู้หญิงต้องเป็นผู้นำในการต่อสู้

ทั่วโลก เหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหายส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่ผู้หญิงกลับต้องเป็นผู้นำในการต่อสู้เพื่อดิ้นรนค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลา วันและปีหลังจากที่คนที่ตัวเองรักหายตัวไป ซึ่งทำให้พวกเธอเองต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการถูกข่มขู่ คุกคามและการใช้ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับพวกเธอ

นอกจากนี้ ผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายมักจะเป็นเสาหลักของครอบครัว เป็นคนเดียวที่สามารถทำการเกษตรหรือดูแลกิจการของครอบครัวได้ สถานการณ์กลับเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อกฎหมายในบางประเทศไม่อนุญาตให้ครอบครัวรับเงินบำนาญหรือความช่วยเหลืออื่นๆ ได้หากไม่มีใบมรณบัตร

การควบคุมตัวโดยพลการ

เหยื่อจำนวนมากของการบังคับบุคคลให้สูญหายมักจะถูกจับกุมหรือควบคุมตัวโดยพลการ กล่าวคือ ถูกจับกุมหรือควบคุมตัวโดยไม่มีหมายจับตามกฎหมาย

การทรมาน

ผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกทรมาน เนื่องจากพวกเขาจะถูกนำตัวไปยังพื้นที่ที่อยู่นอกขอบเขตของการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่เหยื่อไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายทำให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าหวาดกลัวและไม่สามารป้องกันตนเองโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ เหยื่อของการบังคับบุคคลให้สูญหายยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบอื่น เช่น ความรุนแรงทางเพศหรือแม้กระทั่งการถูกสังหาร

อนุสัญญาว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหาย

อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ มีผลบังคับใช้ในปี 2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการบังคับบุคคลให้สูญหาย เปิดเผยความจริงเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้รอดชีวิตและครอบครัวของเหยื่อจะได้รับความยุติธรรม เข้าถึงความจริงและได้รับการเยียวยา

อนุสัญญาฯ ฉบับนี้ถือเป็นหนึ่งในสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็งที่สุดที่องค์การสหประชาชาติเคยรับรอง แตกต่างจากอาชญากรรมอื่นภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การทรมาน เพราะก่อนที่อนุสัญญาฯ ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในปี 2553 ยังไม่เคยมีเครื่องมือทางกฎหมายในระดับสากลฉบับใดที่ห้ามการบังคับให้สูญหายโดยเฉพาะ

อนุสัญญาฯ ฉบับนี้ได้ให้คำนิยามของอาชญากรรมจากการบังคับบุคคลให้สูญหายอย่างชัดเจน และกำหนดแนวปฏิบัติที่จำเป็นที่รัฐต้องดำเนินการ ทั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาชญากรรมนี้ขึ้นและเพื่อให้สามารถสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำความผิดได้

การดำเนินการตามอนุสัญญาฯ ฉบับนี้อยู่ภายใต้การติดตามโดยคณะกรรมการว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหาย (CED) โดยเมื่อรัฐให้สัตยาบันหรือเข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญาฯ นี้แล้ว หรือให้สัตยาบันในภายหลัง รัฐนั้นอาจประกาศยอมรับอำนาจของคณะกรรมการฯ ในการรับและพิจารณาข้อร้องเรียนจากเหยื่อ หรือในนามของเหยื่อ หรือจากรัฐภาคีอื่นๆ ได้ คณะกรรมการฯ ยังมีหน้าที่ในการให้คำตีความอนุสัญญาอย่างเป็นทางการอีกด้วย

การบังคับบุคคลให้สูญหายเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง?

การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นปัญหาร้ายแรงในหลายประเทศทั่วทุกภูมิภาคของโลก ทั้งจากเม็กซิโกถึงซีเรีย จากบังกลาเทศถึงลาว และจากบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาถึงสเปน เมื่อเร็วๆ นี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้จัดทำเอกสารเกี่ยวกับกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เกิดขึ้นในประเทศที่กระทำผิดร้ายแรงที่สุดบางประเทศ

ซีเรีย

รูปถ่ายของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายในซีเรีย ภาพโดย ©Amnesty International

มีผู้คนราว 82,000 คนที่ถูกบังคับให้สูญหายในซีเรียตั้งแต่ปี 2554 โดยคนที่หายสาบสูญส่วนใหญ่หายตัวไปหลังจากเข้ามาอยู่ในศูนย์ควบคุมตัวของรัฐบาล แต่ก็มีมากกว่า 2,000 คนที่หายตัวไปหลังจากถูกควบคุมตัวโดยฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือจากกลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่ใช้กำลังอาวุธและกลุ่มติดอาวุธที่เรียกตัวเองว่า “รัฐอิสลาม” (Islamic State)

ท่ามกลางความโหดร้ายและการนองเลือดจากความขัดแย้งในซีเรีย โศกนาฏกรรมของผู้ที่หายสาบสูญหลังจากถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือถูกควบคุมตัวโดยกลุ่มติดอาวุธ เป็นโศกนาฏกรรมที่ประชาคมโลกส่วนใหญ่มองข้ามและไม่ได้ให้ความสนใจ ครอบครัวนับหมื่นครอบครัวต่างพยายามอย่างสิ้นหวังในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของญาติพี่น้องที่หายตัวไป ในเดือนกรกฎาคม 2561 รัฐบาลซีเรียได้ยืนยันการเสียชีวิตของประชาชนอย่างน้อย 161 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกบังคับให้สูญหายนับตั้งแต่เริ่มมีความขัดแย้งเกิดขึ้น

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กำลังติดตามสถานการณ์และรณรงค์ต่อต้านการบังคับบุคคลให้สูญหายและการลักพาตัว ตลอดจนการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในซีเรียนับตั้งแต่เริ่มต้นวิกฤตเมื่อปี 2554

ศรีลังกา

ศรีลังกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีจำนวนผู้สูญหายมากที่สุดในโลก โดยมีจำนวนระหว่าง 60,000 ถึง 100,000 คนที่หายสาบสูญตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2523) เป็นต้นมา

การหายสาบสูญจำนวนมากของผู้ที่ยอมมอบตัวหลังจากความขัดแย้งกันด้วยอาวุธในประเทศสิ้นสุดลง ถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนซึ่งสะท้อนถึงการทำให้การบังคับบุคคลให้สูญหายกลายเป็นการกระทำที่เป็นระบบ โดยรัฐมีส่วนในการปกปิดชะตากรรมและสถานที่อยู่ของคนที่หายสาบสูญ

ศรีลังกามีความก้าวหน้าในประเด็นนี้แล้วบางส่วน เมื่อมีการบัญญัติให้การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นความผิดทางอาญาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงต้องดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนมาตรการเหล่านี้ โดยต้องดำเนินการเชิงรุกเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจังแก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับญาติและคนที่พวกเขารัก

ในเดือนพฤษภาคม 2561 รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เรียกร้องให้รัฐบาลศรีลังกาเปิดเผยข้อมูลต่อครอบครัวของผู้ที่หายสาบสูญ ทั้งรายชื่อและข้อมูลโดยละเอียดของคนที่ได้มอบตัวต่อกองทัพหลังจากสงครามสิ้นสุดลง

พิธีจุดเทียนรำลึกถึงเหยื่อการบังคับให้สูญหาย ณ Place des Nations ด้านหน้าสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2558 โดยมีผู้เข้าร่วมที่สำคัญ ได้แก่ เอสเตลลา เด การ์ลอตโต (Estella de Carlotto) ประธานองค์กร Abuelas de Plaza de Mayo จากอาร์เจนตินา แซนดยา เอกนาลิโกดา (Sandya Eknaligoda) ภรรยาของนักข่าว ปรากีธ เอกนาลิโกดา (Prageeth Enaligoda) ผู้สูญหายในศรีลังกาเมื่อเดือนมกราคม 2553 และ สิธี ยามีนา (Sithy Yameena) แม่ของโมฮัมเหม็ด ฮาคีม (Mohamed Hakeem) ผู้สูญหายในเดือนมีนาคม 2552 ที่ศรีลังกา ภาพโดย ©Jean-Marie Banderet

อาร์เจนติน่า

หนึ่งในกรณีของการบังคับบุคคลให้สูญหายจำนวนมากที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 คือช่วงการเป็นเผด็จการสุดท้ายในประเทศอาร์เจนตินาระหว่างปีพ.ศ. 2519 ถึง 2526 ซึ่งประเทศอเมริกาใต้แห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของทหาร กองกำลังความมั่นคงได้ลักพาตัวประชาชนราว 30,000 คน โดยจนถึงวันนี้ยังมีอีกหลายคนที่เรายังคงไม่ทราบถึงชะตากรรมของพวกเขา

มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและเป็นระบบในช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงการทรมานและการประหารชีวิตนอกกระบวนการยุติธรรมขนานใหญ่ หนึ่งในวิธีการที่โหดร้ายที่สุดคือ “เที่ยวบินมรณะ” ซึ่งเหยื่อถูกโยนลงจากเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพจนเสียชีวิต

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รณรงค์มาอย่างยาวนานเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเหยื่อและผลักดันให้มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนรับผิดชอบในอาชญากรรมดังกล่าว โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีผู้กระทำผิดจำนวนไม่น้อยถูกนำตัวขึ้นศาลพลเรือนตามกฎหมาย

ซิมบับเว

ทุกเรื่องราวของการบังคับบุคคลให้สูญหายต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหนึ่งๆ เสมอและแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รณรงค์อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบุคคลเหล่านี้

ตัวอย่างหนึ่งของกรณีดังกล่าวคือกรณีของ อิทาอิ ดซามารา (Itai Dzamara) นักข่าวชาวซิมบับเวและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่หายสาบสูญไปเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2558 ในเมืองฮาราเร

ก่อนหน้านี้ เขาตกเป็นเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐ เขาถูกทำร้ายร่างกาย ถูกลักพาตัวและถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย นับตั้งแต่การหายสาบสูญไปของเขา ยังไม่มีการดำเนินการสืบสวนที่สำคัญใดๆ เกิดขึ้นและจนทุกวันนี้ เราก็ไม่อาจทราบถึงสถานที่อยู่ของเขาได้เลย

เชฟฟรา (Sheffra) ภรรยาของเขา ได้เล่าถึงการค้นหาความจริงอันเจ็บปวดของเธอเพื่อหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับสามีของเธอ

มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่ต้องใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่าคนที่คุณรักอยู่ที่ไหน ฉันยังคงมีความหวัง ทุกวันฉันคิดว่าเขาจะกลับมา
หรือมีใครบางคนมาบอกฉันว่าได้พบเขาแล้ว ฉันรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อลูกๆ ถามว่าพ่อของพวกเขาอยู่ที่ไหน ฉันไม่มี
คำตอบให้พวกเขา ฉันกังวลว่าเรื่องของสามีฉันจะไม่ได้รับ
การพิจารณาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะจากรัฐบาลที่อ้างว่าเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้

เชฟฟรา ดซามารากล่าว

“ฉันอยากขอขอบคุณแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ได้ทำหน้าที่กดดันและเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวอิทาอิ ฉันต้องการให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมา ฉันอยากที่จะตอบคำถามลูกๆ พวกเขายังเด็ก พวกเขาสมควรที่จะได้รับคำตอบ”

การกระทำแรกของคูมี นายดู (Kumi Naidoo) เมื่อเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคือการลงนามในจดหมายถึงผู้นำในอนาคตของประเทศซิมบับเวเกี่ยวกับกรณีของอิทาอิ

การบังคับบุคคลให้สูญหายละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านใดบ้าง?

การบังคับบุคคลให้สูญหายละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายประการ รวมถึง:

  • สิทธิในการรักษาความปลอดภัยและศักดิ์ศรีของบุคคล
  • สิทธิที่จะไม่ถูกทรมานหรือถูกปฏิบัติหรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี
  • สิทธิในการได้รับการคุมขังภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม (สิทธิที่จะไม่ถูกกักขังอย่างไร้มนุษยธรรม)
  • สิทธิในฐานะบุคคลทางกฎหมาย
  • สิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม
  • สิทธิในการมีชีวิตครอบครัว
  • สิทธิที่จะมีชีวิต (หากผู้หายสาบสูญถูกสังหารหรือยังไม่ทราบชะตากรรมของพวกเขา)

แอมเนสตี้ทำอะไรบ้างเพื่อป้องกันและแสวงหาความยุติธรรมต่อการบังคับบุคคลให้สูญหาย?

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กำลังรณรงค์อย่างต่อเนื่องในกรณีของการบังคับบุคคลให้สูญหายและกำลังกดดันรัฐบาลต่าง ๆ ให้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับชะตากรรมและสถานที่อยู่ของผู้ที่หายสาบสูญทั้งหมด

หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ทราบจริงๆ ว่าผู้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ไหน ก็จำเป็นต้องพยายามมากขึ้นในการค้นหาข้อมูลดังกล่าว หากเจ้าหน้าที่ทราบ ก็ต้องปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัวดังกล่าว หรือหากผู้ถูกควบคุมตัวได้เสียชีวิต ก็ต้องเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ที่พวกเขาเสียชีวิต

รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ในเดือนธันวาคม 2560 เรื่อง Deadly but Preventable Attacks: Killings and Enforced Disappearances of Those who Defend Human Rights (การโจมตีที่ร้ายแรงแต่สามารป้องกันได้: การฆาตกรรมและการบังคับบุคคลให้สูญหายของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน) เปิดเผยว่า รัฐต่างๆ ทั่วโลกล้มเหลวในการปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการถูกสังหารที่สามารถป้องกันได้และการคุมขังลับ

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยในประเด็นการบังคับบุคคลให้สูญหาย

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เรียกร้องตลอดมาให้รัฐบาลไทยไม่เพียงแต่ลงนามและให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญเท่านั้น แต่ยังต้องกระทำการเพื่อให้อนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติ ซึ่งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยดังนี้

  • ต้องสอบสวนการหายตัวไปของผู้ที่คาดว่าถูกบังคับให้สูญหายทุกคนในประเทศไทยอย่างเป็นอิสระ โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ 
  • สืบสวนและหากมีหลักฐานที่รับได้เพียงพอ ให้สั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับบุคคลให้สูญหายดังกล่าว พร้อมทั้งดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัยว่ามีความผิดทางอาญา โดยพิจารณาคดีในศาลพลเรือนตามกระบวนการที่เป็นธรรมและต้องไม่รับโทษประหารชีวิต
  • กำหนดให้การบังคับบุคคลให้สูญหาย ไม่ว่าจะกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐ ถือเป็นความผิดตามกฎหมายภายในประเทศและมีบทลงโทษที่เหมาะสม ซึ่งพิจารณาถึงความร้ายแรงของการกระทำดังกล่าว
  • ปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุมครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญและยอมรับอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการว่าด้วยการบังคับบุคคลให้สูญหาย (CED) เพื่อรับและพิจารณาการสื่อสาร (communications) จากผู้เสียหายหรือจากรัฐภาคีอื่น ๆ
  • ต้องไม่มีการควบคุมตัวอย่างลับๆ หรือควบคุมตัวอย่างไม่เป็นทางการในทุกรูปแบบ และต้องมีการแจ้งที่อยู่และชะตากรรมของผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลใดที่กระทำไปโดยการให้อำนาจ การสนับสนุนหรือรู้เห็นเป็นใจจากเจ้าหน้าที่รัฐ
  • รับประกันว่าผู้รอดชีวิตและผู้ที่สูญเสียคนที่รักจะได้รับการชดเชย ซึ่งรวมถึงการชดเชยทางการเงิน การฟื้นฟู (ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ) การคืนสิทธิอย่างเต็มที่และรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
  • ยกเลิกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือมาตรการใดๆ ก็ตามที่ละเว้นโทษต่อการกระทำเหล่านี้ เช่น อายุความทางกฎหมาย
  • กำหนดให้ความผิดที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึงการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายไม่มีอายุความ โดยแก้ไขมาตรา 95 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
  • ดำเนินการแก้ไขพระราบชัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยทันที เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานแห่งสหประชาชาติ โดย
    • ปรับปรุงนิยามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ โดยนิยามของการทรมานต้องครอบคลุมเป้าหมายของการทรมานมากกว่าสี่ข้อซึ่งระบุไว้ในกฎหมาย และนิยามของการบังคับบุคคลให้สูญหายต้องเปิดกว้างให้รวมถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐ “ปฏิเสธที่จะยอมรับ” ว่ามีการควบคุมตัว เช่น ให้คำตอบอย่างกำกวมหรือไม่ตอบรับเมื่อถูกถาม โดยไม่จำเป็นต้องมีการปฏิเสธโดยตรง
  • ให้สัตยาบันพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการกระทำอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และดำเนินการทันทีเพื่อจัดตั้งกลไกป้องกันระดับชาติที่มีประสิทธิภาพ โดยมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม รวมถึงผู้เสียหายจากการทรมาน การกระทำที่โหดร้ายและการบังคับบุคคลให้สูญหาย

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม