
สหรัฐอเมริกา: คำตัดสินคดีสปายแวร์เป็นขั้นตอนที่น่ายินดีไปสู่ความรับผิดชอบสำหรับผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายของสปายแวร์ NSO
1 มีนาคม 2567
ศาลแขวงสหรัฐฯ สั่งให้ NSO Group บริษัทสปายแวร์สัญชาติอิสราเอลเปิดเผยเอกสารและโค้ดที่เกี่ยวข้องกับสปายแวร์ Pegasus ให้กับ WhatsApp
สืบเนื่องจากข่าวนี้ ดอนชา โอ เซียร์เบล หัวหน้าแผนก Security Lab ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า การตัดสินครั้งนี้ทำให้เราเข้าใกล้ความรับผิดชอบไปอีกขั้นสำหรับผู้ใช้ WhatsApp สูงสุดถึง 1,400 รายที่เป็นเป้าหมายของสปายแวร์ Pegasus ในคดีนี้ เช่นเดียวกับบุคคลอื่นอีกนับไม่ถ้วนทั่วโลกที่ยังคงตกเป็นเป้าหมายนับตั้งแต่มีการฟ้องคดีนี้ในปี 2562 คำสั่งของศาลส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังอุตสาหกรรมการสอดแนมข้อมูลว่าไม่สามารถปล่อยให้มีการใช้งานสปายแวร์ในทางที่ผิดโดยไม่ต้องรับโทษได้อีกต่อไป
“แม้ว่าคำตัดสินของศาลจะมีการพัฒนาไปในทางบวก แต่น่าผิดหวังที่ NSO Group จะได้รับอนุญาตให้เก็บข้อมูลลูกค้าของตนไว้ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อการกำหนดเป้าหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้ให้เป็นความลับต่อไป”
“NSO Group แจ้งว่าขาย Pegasus ให้กับลูกค้าหน่วยงานของรัฐที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น Security Lab ของเราได้บันทึกข้อมูลการใช้ Pegasus อย่างกว้างขวางต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักข่าวทั่วโลก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เป้าหมายของ Pegasus ต้องทราบว่าใครเป็นผู้ซื้อและใช้งานสปายแวร์กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถแสวงหาการเยียวยาอย่างมีความหมายได้”
อ่านต่อ: https://bit.ly/3Ts9I0c
—–

ฮ่องกง: นักกิจกรรมข้ามเพศจะต้องไม่ถูกส่งกลับไปยังจีนแผ่นดินใหญ่
1 มีนาคม 2567
นักกิจกรรมข้ามเพศชาวจีนที่จะได้รับการปล่อยตัววันที่ 2 มีนาคม หลังจากถูกโทษจำคุกในฮ่องกง เสี่ยงต่อการถูกประหัตประหารหากถูกส่งตัวกลับไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเธอจะต้องได้รับอนุญาตให้อยู่ในฮ่องกงต่อไปหรือเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นแทน
ไล เคอ (หรือที่รู้จักในชื่อซีหราน) ถูกตัดสินความผิดในฮ่องกงฐานใช้เอกสาร “ปลอม” เพื่อพยายามเดินทางจากจีนไปยังแคนาดาผ่านเมืองนี้เมื่อปีที่แล้ว เพื่อนของเธอที่ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดแจ้งว่าเธอจะพ้นโทษในวันที่ 2 มีนาคม และจะถูกส่งตัวไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเพื่อนของเธอบอกว่าเธอเผชิญกับการคุกคามจากตำรวจก่อนเดินทางออกมาในเดือนพฤษภาคม 2566
ไล เคอ เคยเป็นแกนนำเพื่อสิทธิของคนข้ามเพศในประเทศจีนร่วมกับคู่รักของเธอ เพื่อนของเธอแจ้งว่าคู่รักของเธอถูกจำคุกในจีนเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 เนื่องมาจากการเคลื่อนไหวและอัตลักษณ์ข้ามเพศของเธอ
ซาราห์ บรูคส์ รองผู้อำนวยการระดับภูมิภาค ฝ่ายกิจการเกี่ยวกับประเทศจีน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า มีความเสี่ยงอย่างมากที่ไล เคอ จะถูกประหัตประหาร รวมถึงการถูกจำคุกอีก หากถูกส่งตัวกลับจีนแผ่นดินใหญ่
“ทางการฮ่องกงต้องชี้แจงสถานะการเข้าเมืองที่ค้างอยู่ของไล เคอ อย่างเร่งด่วน เนื่องจากเธอจะได้รับการปล่อยตัวหลังจากรับโทษแล้ว ทางการจะต้องปล่อยเธอโดยไม่มีเงื่อนไข และอนุญาตให้เธอเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่เหมาะสมสำหรับเธอ
“ไม่ว่าในกรณีใด ทางการจะต้องอนุญาตให้ไล เคอ คัดค้านตามกฎหมายสำหรับคำสั่งส่งตัวกลับจีนหลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวหลังจากรับโทษ”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลการกดขี่และการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบต่อบุคคลข้ามเพศในประเทศจีน การเซ็นเซอร์อย่างกว้างขวางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้นำไปสู่การปิดกลุ่มและบัญชีโซเชียลมีเดียของเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล บุคคลข้ามเพศ และผู้ที่มีภาวะเพศกำกวม (LGBTI) ออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งบ่อนทำลายการเคลื่อนไหวของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์
ตำรวจในจีนได้จับกุม ควบคุมตัว และคุมขังนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายครั้ง รวมถึงนักกิจกรรมเพื่อผู้ที่มีความหลากหลายทาง เป็นระยะเวลานานภายใต้ข้อหาที่ไม่ชอบธรรม มีการกำหนดไว้อย่างกว้างๆ และถ้อยคำที่กำกวม
อ่านต่อ: https://bit.ly/48PxYxw
—–

อิตาลี: ‘ความหวังใหม่’ เมื่ออัยการยอมรับว่าควรยกเลิกข้อกล่าวหาต่อลูกเรือยูเวนตา
28 กุมภาพันธ์ 2567
สืบเนื่องจากการที่อัยการยอมรับว่าควรยกเลิกข้อกล่าวหาต่อลูกเรือของเรือยูเวนตา เอลิซา เดอ ปิเอรี นักวิจัยระดับภูมิภาค แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า เรายินดีกับข่าวดีของวันนี้ที่อัยการศาลตราปานีได้ขอให้ยกฟ้องคดีต่อสมาชิกทุกคนของลูกเรือยูเวนตาและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนอื่นๆ ที่ทำหน้าที่บนเรือกู้ภัยที่ดำเนินการโดย Médicins Sans Frontières และ Save the Children ลูกเรือยูเวนตาได้ต่อสู้คดีในศาลเป็นเวลาหกปีครึ่งด้วยความสง่างามและการยืนหยัดอย่างแน่วแน่ และเรามีความยินดีที่มีความหวังใหม่ว่าคดีในศาลจะถูกยกฟ้องในที่สุด
“เรือยูเวนตาได้ช่วยชีวิตผู้คนไว้มากกว่า 14,000 คน ซึ่งมีเด็กๆ รวมอยู่ด้วย และลูกเรือได้ทำเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายทางทะเล เราขอเรียกร้องให้ทางการหยุดการใช้คดีอาญาและข้อหาอำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองผิดกฎหมายเพื่อขัดขวางกิจกรรมช่วยชีวิต
“มนุษยธรรมต้องมาก่อนเมื่อเราตระหนักถึงความกล้าหาญของลูกเรือยูเวนตา และคนอื่นๆ ที่ทำงานเพื่อต่อสู้กับความน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นในน่านน้ำอันตรายทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและผู้อพยพควรได้รับการสนับสนุนและจะต้องไม่ถูกลงโทษ หากไม่มีพวกเขา จำนวนผู้เสียชีวิตที่น่าสยดสยองในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตอนกลางจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก”
อ่านต่อ: https://bit.ly/436X8Xg
—–
กานา: ประธานาธิบดี นานา อากูโฟ-อัดโด จะต้องไม่ลงนามในกฎหมายต่อต้านผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่เลือกปฏิบัติ
29 กุมภาพันธ์ 2567
สืบเนื่องจากการผ่านกฎหมาย “Human Sexual Rights and Family Values Bill, 2024” โดยรัฐสภากานาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์
เจนิวีฟ พาร์ติงตัน ผู้อำนวยการประจำประเทศกานา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่าการที่รัฐสภาผ่านร่างกฎหมายที่เข้มงวดนี้เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่กานาได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
“ร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นหนึ่งในร่างกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดในแอฟริกา และพยายามที่จะเอาผิดกับกลุ่มเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล และบุคคลข้ามเพศ (LGBT) มากขึ้น นอกจากนี้ยังพยายามลงโทษใครก็ตามที่สนับสนุนกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศรวมถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน บุคลากรทางการแพทย์ นักข่าว ครู และเจ้าของบ้าน เป็นการละเมิดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการสมาคม โดยมีโทษถึงจำคุก
“มีรายงานว่ากลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้ถูกขับไล่โดยบังคับ ตกงาน ถูกกระทำความรุนแรงและการละเมิดสิทธิอื่นๆ ที่รัฐธรรมนูญของประเทศรับรองไว้ที่เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ร่างกฎหมายนี้ถูกนำเข้ามาในรัฐสภา
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลขอเรียกร้องให้ประธานาธิบดี นานา อากูโฟ-อัดโด เคารพสิทธิมนุษยชนของทุกคน และไม่ลงนามการเลือกปฏิบัติที่รุนแรงเช่นนี้ให้เป็นกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคนในประเทศ”
รัฐสภากานาผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวก่อนวันยุติการเลือกปฏิบัติสากลในวันที่ 1 มีนาคม 2567
อ่านต่อ: https://bit.ly/3Pc6qM6
—–
อิสราเอลฝ่าฝืนคำตัดสินของศาลโลก (ICJ) เพื่อป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยไม่ยอมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงฉนวนกาซาอย่างเพียงพอ
26 กุมภาพันธ์ 2567
หนึ่งเดือนหลังจากที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ICJ) สั่งให้ใช้ “มาตรการทันทีและมีประสิทธิภาพ” เพื่อปกป้องชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาที่ถูกยึดครองจากความเสี่ยงของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยการประกันความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่เพียงพอและการให้บริการขั้นพื้นฐาน ซึ่งอิสราเอลล้มเหลวแม้แต่จะดำเนินการขั้นต่ำ
คำสั่งให้ความช่วยเหลือเป็น 1 ใน 6 มาตรการชั่วคราวที่ศาลสั่งเมื่อวันที่ 26 มกราคม และอิสราเอลได้รับเวลา 1 เดือนในการรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว ในช่วงเวลาดังกล่าว อิสราเอลยังคงเพิกเฉยต่อพันธกรณีของตนในฐานะผู้มีอำนาจยึดครองในการประกันว่าความต้องการขั้นพื้นฐานของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาจะได้รับการตอบสนอง
ทางการอิสราเอลล้มเหลวในการประกันว่าสิ่งของและบริการพื่อช่วยชีวิตที่เพียงพอจะไปถึงประชากรที่เสี่ยงต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และกำลังจะเกิดความอดอยากเนื่องจากการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องและการเพิ่มความเข้มงวดในการปิดล้อมอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ยาวนานถึง 16 ปีของอิสราเอล พวกเขายังล้มเหลวในการยกเลิกข้อจำกัดในการนำเข้าสิ่งของเพื่อช่วยชีวิต หรือเปิดจุดหรือเส้นทางเข้าถึงความช่วยเหลือเพิ่มเติม หรือวางระบบที่มีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องนักมนุษยธรรมจากการถูกโจมตี
เฮบา โมราเยฟ ผู้อำนวยการภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า อิสราเอลไม่เพียงแต่สร้างวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในโลกเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความไม่แยแสต่อชะตากรรมของประชากรในฉนวนกาซาด้วยการสร้างเงื่อนไขที่ ICJ ได้กล่าวว่าทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่อิสราเอลล้มเหลวในการดำเนินการขั้นต่ำตามที่นักมนุษยธรรมร้องขอ ทั้งที่เห็นได้ชัดว่ามีอำนาจในการบรรเทาความทุกข์ของพลเรือนชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา
อ่านต่อ: https://bit.ly/3V93Ud7