สิทธิมนุษยชนจะปกป้องเราจากโควิด-19 ได้อย่างไร? 

31 มีนาคม 2563

Amnesty International 

การตัดสินใจของรัฐบาลในช่วงที่มีการระบาดของไวรัส COVID – 19 จะส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของผู้คนนับล้าน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กำลังจับตามองการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ต้องไม่ลืมว่ากฎหมายสิทธิมนุษยชนยังคงต้องเป็นหัวใจของการแก้ไขปัญหา และแน่นอนว่าจะช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตไปได้

 

สิทธิด้านสุขภาพ

รัฐบาลส่วนใหญ่ได้ลงนามรับรองสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนอย่างน้อยหนึ่งฉบับ โดยสนธิสัญญากำหนดไว้ว่ารัฐบาลจะต้องรับรองสิทธิด้านสุขภาพ หนึ่งในนั้นคือจะต้องกระทำสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดการป้องกัน การรักษา และการควบคุมโรค

ในบริบทของการระบาดของโรค รัฐบาลจะต้องทำให้แน่ใจว่าการป้องกันดูแล เครื่องมือ และบริการจะเข้าถึงทุกคน

ในฮ่องกงซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส องค์กรที่ไม่แสวงกำไรท้องถิ่นแห่งหนึ่งกล่าวว่า เกือบร้อยละ 70 ของครอบครัวที่รายได้ต่ำไม่สามารถจ่ายค่าอุปกรณ์ป้องกันโรคที่จำเป็นที่รัฐบาลแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัยหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หากรัฐสนับสนุนให้ใช้สิ่งของดังกล่าว รัฐจะต้องแน่ใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงได้

 

การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

เป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของสิทธิด้านสุขภาพ แต่รัฐบาลบางแห่งยังคงเพิกเฉย

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมืองแรกที่ค้นพบไวรัส แพทย์กลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ปิดปากและถูกประณามในข้อหา “ปล่อยข่าวลือ”

ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลว่าเชื้อไวรัส covid-19 อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร

ในขณะเดียวกัน ในรัฐจัมมูและแคชเมีย ผู้มีอำนาจยังคงออกคำสั่งจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ต ถึงแม้ว่าตัวเลขผู้ป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม การถูกจำกัดการใช้งานอินเทอร์เน็ตทำให้คนเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการกระจายและการแพร่ระบาดของไวรัสรวมทั้งการป้องการตัวเองได้อย่างลำบาก

ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลว่าเชื้อไวรัส COVID-19 อันตรายต่อสุขภาพอย่างไร รวมถึงข้อมูลมาตรการลดความเสี่ยงและแก้ไขปัญหา ความล้มเหลวในการจัดการปัญหาเหล่านี้จะทำให้การตอบสนองของสาธารณสุขไม่เข้มแข็งเท่าที่ควรและทำให้สุขภาพของทุกคนตกอยู่ในความเสี่ยง

 

สิทธิในการทำงาน

ผู้ทำงานที่มีการจ้างงานไม่มั่นคงเสียเปรียบจากโรคระบาดซึ่งเริ่มส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนและเศรษฐกิจ โดยสิทธิในการทำงานของแรงงานผู้อพยพ ผู้รับจ้างในแวดวงอิสระ (“gig” economy) และแรงงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบจะได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และมาตรการควบคุมไวรัสมากกว่ากลุ่มอื่น

รัฐบาลต้องรับรองว่าทุกคนมีสิทธิเข้าถึงระบบประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ในกรณีที่ป่วย การดูแลด้านสุขภาพ และการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร รวมทั้งในกรณีที่ไม่สามารถไปทำงานได้เพราะไวรัส การเข้าถึงประกันสังคมจะช่วยให้คนทำตามมาตรการสาธารณสุขที่รัฐกำหนด

บุคลากรทางการแพทย์อยู่ใกล้ชิดกับโรคระบาดมากที่สุดและยังคงทำงานต่อไปถึงแม้ว่าจะเสี่ยงต่อตนเองและครอบครัว เป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องปกป้องคนเหล่านี้ คือต้องจัดสรรอุปกรณ์ป้องกันโรคที่เหมาะสมและได้คุณภาพ ให้ข้อมูล การอบรม และการสนับสนุนทางจิตสังคมแก่เจ้าหน้าที่ที่รับมือกับโรค นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในหน่วยงานอื่น เช่น เจ้าหน้าที่เรือนจำ ก็มีความเสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อไวรัสมากกว่ากลุ่มอื่น จึงควรได้รับการปกป้องเช่นกัน

 

ผลกระทบต่อกลุ่มเสี่ยง

ถึงแม้ว่าใครก็สามารถติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ คนบางกลุ่มก็ยังเสี่ยงต่อการติดโรคขั้นรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว นอกจากนี้ กลุ่มคนชายขอบและผู้ที่ถูกกักขัง รวมถึงผู้อพยพและผู้ลี้ภัยมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาการป้องกันโรคหรือปัญหาการเข้าถึงการรักษามากกว่าคนทั่วไป

ตัวอย่างเช่น คนไร้บ้านจะกักตัวได้ยากกว่า รวมถึงคนที่เข้าถึงอนามัยได้ไม่เพียงพอก็เสี่ยงที่จะติดเชื้อมากกว่า

การวางแผนรับมือกับเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น รัฐต้องทำให้แน่ใจว่าความต้องการและปัญหาของบุคคลเหล่านี้ได้รับการดูแล

 

การถูกตีตราและแบ่งแยก

จากข้อมูลของสื่อ ผู้คนจากอู่ฮั่นต้องเผชิญกับปัญหาการแบ่งแยกและการคุกคามอย่างแพร่หลายในประเทศจีน ทั้งนี้รวมถึงการโดนปฏิเสธจากโรงแรม โดนขังให้อยู่ในแฟลตของตนเอง หรือโดนปล่อยข้อมูลส่วนตัวออนไลน์

วิกฤตการณ์ครั้งนี้ควรรวมเราเป็นหนึ่ง ไม่ใช่แบ่งแยก

นอกจากนี้ยังมีรายงานมากมายเกี่ยวกับการต่อต้านชาวจีนหรือชาวเอเชียที่อาศัยอยู่ในประเทศอื่น ๆ รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเชื้อไวรัส COVID-19 ซ้ำ ๆ ว่าเป็น “ไวรัสจีน” ในลอนดอน มีนักเรียนจากประเทศสิงคโปร์ถูกทำร้ายอย่างสาหัสเนื่องจากประเด็นการแบ่งแยกทางสีผิว รัฐบาลทั่วโลกควรใช้แนวทางดำเนินการอย่างเข้มงวด (Zero-tolerance) ต่อการเหยียดสีผิว ไม่ว่าจะชาติใด

ในขณะนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังใช้โรคระบาดเพื่ออ้างความชอบธรรมต่อนโยบายการแบ่งแยกสีผิว และกำลังพิจารณาออกคำสั่งแบนผู้ลี้ภัยจากเม็กซิโกอย่างเด็ดขาดตามรายงานของสื่อ

การออกคำสั่งแบนผู้อพยพอย่างเด็ดขาดดังกล่าวจะขัดแย้งกับข้อผูกพันทางกฎหมายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศโดยเพียงแต่สร้างภาพร้ายให้แก่ผู้คนที่ต้องการลี้ภัยเท่านั้น คำสั่งแบนแบบเดียวกันนี้ในปี พ.ศ. 2561 ได้รับการวินิจฉัยอย่างรวดเร็วจากศาลทุกแห่งที่พิจารณาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นอกจากนี้ ในระหว่างวิกฤตการณ์สาธารณสุข รัฐบาลต้องป้องกันสุขภาพของประชาชนทุกคน และต้องให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงการดูแลและความปลอดภัยโดยปราศจากการแบ่งแยก รวมถึงผู้เดินทาง ไม่ว่าจะเป็นผู้อพยพหรือไม่ก็ตาม

วิธีเดียวที่โลกจะต่อสู้กับโรคระบาดครั้งนี้คือด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความร่วมมือระหว่างรัฐ เพราะ COVID-19 ควรรวมเราเป็นหนึ่ง ไม่ใช่แบ่งแยก