“ของขวัญที่เรามอบผ่านการบริจาคให้แอมเนสตี้คือ ‘ความรู้’ และ ‘ความหวัง’ ที่ส่งต่อไปได้ไม่รู้จบ ทุกอย่างไม่ใช่ของขวัญชิ้นเดียว แต่เป็นของขวัญที่ขยายออกไปได้เป็นร้อยเป็นพัน”
เสียงของหญิง เอสคาบาร์เต้ ผู้หญิงวัยทำงานหนึ่งคนในเมืองหลวงใจกลางกรุงเทพมหานคร เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยน้ำหนักทางใจ ชีวิตของเธอมีทั้งบทบาทของผู้จัดการแผนกสอบ บ IELTS ของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง และบทบาทที่ใหญ่กว่านั้นในชีวิตจริงคือการเป็นแม่ของเด็กชายวัย 8 ขวบ ผู้มีสายเลือดไทยและฟิลิปปินส์ผสมกัน

เราสอนลูกเรื่องสิทธิ เพราะเราเองเพิ่งมาเข้าใจเรื่องสิทธิของตัวเองในวัยสามสิบกว่า ไม่เคยมีใครสอนเราตอนเด็กๆ ว่าเรามีสิทธิเลือก มีสิทธิถาม มีสิทธิปฏิเสธ
หญิงพาลูกกลับจากฟิลิปปินส์มาอยู่ที่ประเทศไทยเมื่อเขาเพิ่งอายุได้ไม่กี่ขวบ เพราะเชื่อมั่นว่าภาษา วัฒนธรรม และรากเหง้า คือสิ่งที่คนๆ หนึ่งควรได้สัมผัสด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเด็กก่อนที่จะถึงเวลาได้เลือกเส้นทางของตัวเอง ที่เป็นทางเลือกได้อย่างอิสระไม่ใช่เพราะใครกำหนดไว้ให้ และแม้ภายในบ้านจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่เธอเลือกให้ลูกเริ่มต้นชีวิตนักเรียนในโรงเรียนที่ใช้ภาษาไทยเท่านั้น
“มันเหมือนหักดิบ แต่เรารู้ว่าถ้าไม่เริ่มตอนนี้ เขาจะไม่มีทางเข้าใจภาษาแม่ของตัวเอง และจะไม่มีวันเข้าใจวัฒนธรรมที่เราโตมา”
วันจันทร์ของแม่: กับสิทธิที่จะอยู่กับตัวเอง
หญิงทำงานห้าวันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันอังคารถึงวันเสาร์ เธอมีหน้าที่ดูแลการจัดสอบให้เด็กๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดของคนอื่น ทำให้วันอาทิตย์จึงกลายเป็นวันของครอบครัวเต็มรูปแบบ ส่วนวันจันทร์เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ของเธอหลังจากส่งลูกชายไปโรงเรียน เธอเรียกวันจันทร์ของทุกสัปดาห์ว่า “วันอยู่กับตัวเอง”
เธอใช้เวลานี้อ่านหนังสือประเภท self-development เพื่อพาตัวเองออกจากความเร่งรีบของโลกใบใหญ่ และหันกลับมาทำความเข้าใจความคิด ความรู้สึก และรอยร้าวเล็กๆ ภายในใจ “หนังสือเล่มที่ชอบมากคือ The Subtle Art of Not Giving a F** หรือชื่อไทยที่ว่า “ชีวิตติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่x” หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้ใจร้ายกับใคร แต่สอนให้เราเคารพขอบเขตของตัวเอง ไม่เอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นปัญหาของตัวเองโดยไม่จำเป็น เหมือนสิทธิมนุษยชนเลยค่ะ ที่คือการไม่ละเมิดเขตแดนหรือสิทธิของใคร”
หนังสือเล่มนี้ทำให้เธอเข้าใจว่า แม้ความหวังดีจะเป็นพลังอันบริสุทธิ์ แต่ความหวังดีไม่ควรเบียดบังพื้นที่ของใคร เช่นเดียวกับที่สิทธิของคนคนหนึ่งไม่ควรไปทับซ้อนสิทธิของผู้อื่นจนทำให้เกิดปัญหา
“สิทธิ” ที่ไม่มีใครเคยสอน บทเรียนจากการทำงานกับแอมเนสตี้ ประเทศไทย
หญิงบอกว่า เธอเคยเห็นชื่อแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยผ่านตามาบ้างในโซเชียลมีเดีย แต่ในตอนนั้นเธอไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเธอได้มีโอกาสทำงานร่วมกับองค์กรนี้อย่างใกล้ชิดในฐานะพาร์ตเนอร์ด้านกิจกรรม เธอจึงได้เปิดโลกสู่เรื่องที่ไม่เคยรู้ว่า “สำคัญ” มาก่อน นั่นคือ “เรื่องสิทธิมนุษยชน” ที่มีอยู่กับตัวตนของเราทุกคนตั้งแต่เกิดมาอยู่ในท้องแม่

“ตอนเด็กๆ ไม่มีใครบอกเราเลยว่า เรามีสิทธิเลือกจะไม่ดื่มนมตอนอิ่ม เราแค่ต้องทำตามทุกอย่าง ครูบอกให้ทำอะไรก็ทำ ไม่เคยสงสัยอะไรเลยตอนนั้น”
แต่วันนี้…เธอสอนลูกให้รู้ว่าลูกมีสิทธิที่จะถามคำถาม ครูมีสิทธิในการสอน และทั้งคู่ต้องเคารพสิทธิของกันและกัน สำหรับหญิงในฐานะแม่คนหนึ่ง เธอเพียงต้องการปูเส้นทางในชีวิตของลูกให้เข้าใจสิทธิของตัวเองและคนอื่น โดยที่ไม่ทำให้สังคมและโลกใบนี้เดือดร้อน
“เราไม่อยากให้ลูกโตมาแบบที่เราเคยเป็น อยากให้เขามีเสียงของตัวเอง ไม่ใช่เสียงที่คนอื่นสร้างขึ้นมาให้พูด”
ต่อมา…เมื่อหญิงได้เรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนมากขึ้น จากการได้ร่วมงานกับแอมเนสตี้ระยะหนึ่ง จึงตัดสินใจกลายเป็นผู้บริจาคประจำของแอมเนสตี้ ประเทศไทย เพราะเธอเห็นว่าสิ่งที่องค์กรทำ คือการส่งต่อความรู้ให้เด็กคนอื่นได้มีโอกาสเหมือนลูกของเธอ
สิทธิมนุษยชนไม่ใช่ของใครคนหนึ่ง
สำหรับหญิงแล้ว เธอไม่ได้มองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเพียงเรื่องของนักกิจกรรมหรือการชุมนุมประท้วงโดยสงบเท่านั้น เธอมองว่าสิทธิมนุษยชนเริ่มต้นจากชีวิตประจำวันของคนธรรมดาคนหนึ่ง ตั้งแต่การรู้ว่าตัวเองมีสิทธิเลือกชีวิต เลือกเรียน เลือกอาชีพ เลือกที่จะโสดหรือแต่งงาน ไปจนถึงสิทธิในการเขียนจดหมายให้กำลังใจผู้ต้องขังทางการเมืองผ่านโครงการ Write for Rights หรือ เขียน เปลี่ยน โลก ที่เธอเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญระดับโลกนี้ทุกปีตั้งแต่ได้ร่วมทำงานและเป็นผู้บริจาคกับแอมเนสตี้ ประเทศไทย
“การเขียนจดหมายให้กำลังใจนักกิจกรรมในเรือนจำ อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วสำหรับเรา นี่คือการแสดงจุดยืนของเราในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมปล่อยให้ความไม่ยุติธรรมเงียบหายไป”
“หลายคนถามว่าทำไปแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้ แต่สำหรับเราเชื่อว่าเสียงธรรมดาๆ นี่แหละ ที่รวมกันแล้วเปลี่ยนโลกได้ ไม่ว่าจะเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต”
สำหรับเธอ การเป็นแม่ไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูให้ลูก “ดี” แต่คือการเลี้ยงลูกให้เป็นคนที่เข้าใจสิทธิของตัวเอง เคารพสิทธิของผู้อื่น และเติบโตมาในสังคมที่ “การไม่ละเมิดกัน” คือเรื่องธรรมดา โดยหญิงมองไปถึงอนาคตว่า หากวันหนึ่งเธอไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ด้วยเงื่อนไขของสุขภาพ เวลา หรืออะไรก็ตามแต่ในชีวิตจากนี้ ลูกของเธอก็ยังคงอยู่ในสังคมนี้ ฉะนั้น…ถ้าจะทำอะไรได้ก่อนจากไป เธออยากให้ลูกได้อยู่ในโลกที่ดีขึ้นกว่าทุกวันนี้ และนี่…คือเหตุผลที่เธอเลือก “ลงมือทำ” ด้วยการเป็นผู้บริจาคสนับสนุนงานด้านสิทธิมนุษยชนกับแอมเนสตี้ ประเทศไทย

“สำหรับเราสิทธิมนุษยชนไม่ควรเป็นเรื่องใหญ่โต ควรเป็นเรื่องธรรมดา เป็นวัฒนธรรม เป็นพื้นฐานที่ทุกคนเข้าใจและใช้ได้ในชีวิตประจำวัน”
หากเรื่องเล่าของ “หญิง” ผู้บริจาคแอมเนสตี้ ประเทศไทย จุดประกายบางอย่างในใจคุณ หากคุณเคยตั้งคำถามว่า “เราจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ไหมในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง” คำตอบคือ “ได้” และสามารถเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่เราต่างทำได้ในแบบของตัวเอง เพราะโลกยังต้องการความหวัง ต้องการคนที่ลุกขึ้นมาส่งต่อความรู้ ความเห็นใจ และความยุติธรรมให้กระจายออกไปให้ไกลที่สุด

โดยคุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ ตั้งแต่วันนี้ ผ่านการสนับสนุนภารกิจของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมบริจาคได้ที่: ธนาคารไทยพาณิชย์ ชื่อบัญชี: สมาคมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เลขที่บัญชี: 047-2-42617-5 หรือร่วมบริจาคออนไลน์ได้ที่: https://bit.ly/4dUfvUK และหากคุณอยากเดินร่วมทางกับเราในระยะยาว มาร่วมเป็นสมาชิกของเครือข่ายคนธรรมดากว่า 10 ล้านคนทั่วโลกที่เชื่อในพลังของสิทธิมนุษยชนได้ที่นี่: https://bit.ly/4kEJSkL มาช่วยกันทำให้ “สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน จนกลายเป็นวัฒนธรรมร่วม ที่ทุกคนเข้าใจสิทธิ ใช้สิทธิ และปกป้องสิทธิได้ในวันธรรมดาของชีวิตประจำวัน” เพราะทุกก้าวเล็กๆ ที่สม่ำเสมอ มีพลังมากกว่าที่เราคิด