Amnesty International
ในกระแสธารประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์การเมือง มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา อำนาจในมือของคนกลุ่มหนึ่งอาจเปลี่ยนมือไปสู่อีกกลุ่มหนึ่ง จากคนส่วนน้อยไปสู่คนส่วนใหญ่ และหลายครั้งก็ถูกยึดจากมือคนส่วนใหญ่ไปสู่มือของคนไม่กี่คน ส่งผลให้พื้นที่เสรีภาพของผู้ไร้อำนาจหดแคบลง จนนำไปสู่การต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ได้พื้นที่เสรีภาพเหล่านั้นคืนมา
พฤศจิกายน 2567 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย มีโอกาสได้พบกับคุณสุภัทรา เชาวน์ชูเวชช์ ชาวไทยในแคลิฟอร์เนีย และเป็นสมาชิกของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐอเมริกา ช่วงชีวิตหนึ่ง เธอเคยมีส่วนร่วมอยู่ในประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของการเมืองไทย นั่นคือเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ในการพบกันครั้งนี้ เธอได้แบ่งปันเรื่องราวในอดีต และถ่ายทอดการตกผลึกถึงคำว่า “เสรีภาพในการแสดงออก” ให้เราได้ฟัง
ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน
สุภัทราเริ่มต้นชีวิตนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถนอม กิตติขจร รั้วมหาวิทยาลัยที่สุภัทราเคยวาดฝันไว้ว่าจะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา เต็มไปด้วยการพูดคุยถกเถียง เมื่อก้าวเข้าไปแล้วกลับกลายเป็นเพียงโรงงานผลิตบุคลากรที่เชื่องเชื่อ พร้อมป้อนเข้าสู่การทำงานเป็นเจ้าคนนายคน ภายใต้ระบบอุปถัมภ์
“จุฬาฯ เขามีระบบที่เรียกว่า SOTUS รุ่นพี่เขาจะถือว่าเขามีสิทธิต่อรุ่นน้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ลักษณะของชีวิตประจำวันเลย ตั้งแต่เราไปเรียนตอนเช้า ตอน 4 โมงเย็น ทุกคนต้องออกมาร่วมกันวิ่งรอบสนาม แล้วก็ต้องร้องกรี๊ดด้วยกัน คือทุกอย่างทำพร้อมกันหมด”
“พี่ก็เริ่มรับทราบการถ่ายทอดค่านิยม ก็คือว่า ทำอะไรต้องตามคำสั่ง คนอื่นเขาทำอะไร เราก็ต้องทำแบบนั้น เขาก็พูดชัดเจน อย่าแหลมนะ ถ้าตอนนี้ขัดเกลาความแหลมของคุณไม่ได้ เวลาคุณจบไป รุ่นพี่เขาไม่ให้งานทำนะ คือทุกอย่างที่เขาถ่ายทอด พี่ไม่เห็นด้วยหมดเลย” สุภัทราเล่า
ในช่วงเวลาเดียวกัน มีนักศึกษาจัดตั้ง “กลุ่มฟื้นฟู SOTUS ใหม่” ที่มีจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงระบบ SOTUS ในมหาวิทยาลัย สุภัทราตามเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งไปล้อมวงนั่งฟังการสนทนาในกลุ่มนี้เป็นครั้งแรก เธอบอกกับเราว่า “เหมือนหายใจออก”
“เขากล้าคิด กล้าทำ เขาเข้าใจว่าการปลูกฝังแบบนี้มันเป็นวิธีการปลูกฝังของระบบเผด็จการ จนเราเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็ถูกป้อนเข้าไปเลย ตอนนั้นก็อยู่ภายใต้ระบบเผด็จการร้อยเปอร์เซ็นต์ ถนอม-ประภาส ก็เป็นเผด็จการมานาน แล้วเขาก็ขัดเกลาปัญญาชนให้เข้าไปเป็นเจ้าเป็นนาย เป็นผู้ปกครอง”
อย่างไรก็ตาม “กลุ่มฟื้นฟู SOTUS ใหม่” ไม่ใช่ขบวนการนักศึกษาเพียงกลุ่มเดียวที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เพราะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีกลุ่มชื่อว่า “สภาหน้าโดม” และกลุ่มนักศึกษาเล็กๆ เหล่านี้ก็ได้รวมตัวกันเป็นขบวนการที่ใหญ่ขึ้น ก่อนจะถูกจุดชนวนด้วยการเปิดโปงกรณีลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวรของเจ้าหน้าที่รัฐ บวกกับกระแสความไม่พอใจของประชาชน เรื่องการสืบทอดอำนาจของจอมพลถนอม และการทุจริตในวงราชการ นำไปสู่การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่นั่นคือ เหตุการณ์ 14 ตุลา ซึ่งทำให้สุภัทราได้เข้าใจในที่สุดว่า กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ไม่ได้ตระหนักถึงเฉพาะเรื่องการกดขี่ทางความคิดในระบบมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่สิ่งที่พวกเขาวาดหวังไว้ คือการเปลี่ยนแปลงประเทศ
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร ทายาททางการเมืองของจอมพลถนอม ได้เดินทางออกนอกประเทศ และเป็นเวลาที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “ยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน”
“ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่พูดอะไรก็ได้ ก็ไม่ค่อยมีคนเข้าเรียนเท่าไร วันๆ ก็นั่งคุยกันใต้ต้นไม้ เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เรื่องความเท่าเทียม ความเป็นธรรม การจัดค่ายต่างๆ ก็เปลี่ยนไป จากการไปสร้างอาคาร เปลี่ยนเป็นการไปเรียนรู้จากชาวนา เข้าไปเรียนรู้ในโรงงาน เรียนรู้จากกรรมกร แล้วก็ไปแลกเปลี่ยนในนามการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ไปช่วยเขาจัดตั้ง”
“มันเป็นครั้งแรกที่นักศึกษาเข้าไปร่วมจัดตั้งในโรงงานต่างๆ คือคนที่เป็นนักกิจกรรมไม่ใช่นักศึกษา แต่คือคนงาน กรรมกรนะ แล้วออกมาเรียกร้องร่วมกับนักศึกษา คือมันทั่วไปหมด รวมจนถึงชาวนาด้วยนะ บางคนมีลูกหลานที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แล้วกลับไป เขากลับไปทำงานเพื่อจะเปลี่ยนแปลงประเทศ ทำให้ฝ่ายขวากลัวมาก” สุภัทราเล่าถึงบรรยากาศของสังคมในขณะนั้น
สู่ยุคสมัยแห่งความเงียบ
การโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการ เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ และในเหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในเวลานั้น คือการชุมนุมประท้วงและการนัดหยุดงานของคนงานในโรงงาน
“ช่วง 14 ตุลา – 6 ตุลา มีการประท้วงเกือบทุกวัน ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องนี้ ไม่ใช่โรงงานนั้นก็โรงงานนี้ พอนานไป คนทั่วไปที่ไม่ใช่หัวการเมือง เขาเบื่อไง ประท้วงก็รถติด แล้วก็คิดว่าเมื่อไรมันจะกลับสู่ความเป็นปกติ 3 ปี มีประท้วงทุกวัน ไม่ที่โน่นก็ที่นี่ ไม่เมืองนั้นก็เมืองนี้ เกือบจะเป็นธรรมดา แต่เขาไม่ธรรมดานะ เพราะว่าเขาจะไปทำงาน รถติดบ้าง คนงานไม่มาบ้าง ประท้วงบ้าง เพราะฉะนั้น พวกนี้เขาก็อยากจะคืนสู่ความปกติ”
ยิ่งไปกว่านั้น การยุยงของฝ่ายขวาที่สร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร และปฏิบัติการข่าวสารที่ป้ายสีให้ผู้ชุมนุมกลายเป็นเพียง “สายลับต่างชาติ” ไม่ใช่คนไทย กลายเป็นใบเบิกทางที่ทำให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมอย่าง 6 ตุลา 2519 และยุคสมัยที่ใครๆ ต่างก็ถูกปิดปาก
“มีการยุยงโดยใช้สื่อเต็มที่ อย่างวิทยุยานเกราะ สมัยนั้นมันไม่มีสื่อแบบนี้ ทุกคนก็ฟังอยู่สถานีเดียว เขาปิดอันอื่น เขาปฏิวัติแล้วก็ใช้สถานีเดียว พี่ก็ตกใจมากเลย เพราะว่าวิทยุยานเกราะประกาศยุให้คนไปฆ่าพวกสายลับเวียดนามในธรรมศาสตร์ ยิงให้หมดเลย พวกนี้หนักแผ่นดิน น่ากลัวมาก ที่ว่าเกิดการยุยงกันได้ขนาดนี้ จำได้ว่า พอกลับถึงบ้านก็มีรายชื่อออกมาแล้ว คนธรรมดาที่เรารู้จัก เป็นรายชื่อยาวเลยนะ ประกาศออกมาเป็นชุดๆ ว่า ถ้าไม่มารายงานตัวจะถูกจับ ใครเห็นให้จับส่ง ก็เป็นคนที่พี่รู้จักก็เยอะ”
“แล้วนอกจากนี้ รายชื่อหนังสือที่ขายทั่วไปตามร้าน ลิสต์ออกมาเป็นชื่อนี้ๆๆ ห้ามอยู่ในความครอบครอง กลับถึงบ้านพี่ก็เห็นควันไฟขึ้นมา เผาหนังสือตามบ้าน ที่บ้านพี่ก็ฉีกลงชักโครก คือก่อนถึงวันนั้นมันคือหนังสือธรรมดาทั่วไป แล้ววันรุ่งขึ้น หนังสือพวกนี้ผิดกฎหมายหมด ห้ามอยู่ในความครอบครอง ถ้าไม่เผาก็ต้องฉีก” สุภัทราเล่า
ดินแดนเสรีนิยม สหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ทำให้นักศึกษาที่เป็นนักกิจกรรมหลายคนก็ตัดสินใจ “เข้าป่า” ไปร่วมกับกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ในขณะนั้นได้ครอบครองพื้นที่หลายจังหวัดในภาคต่างๆ สร้างความวิตกกังวลให้หลายคน รวมถึงครอบครัวของสุภัทราด้วย พ่อและแม่ของเธอจึงจัดการให้เธอเดินทางไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา
“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ถ้าคนไม่หนีเข้าป่า ก็หนีออกนอกประเทศ เพราะคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงคราม ตอนนั้นพี่ก็ไม่คิดอยากจะไปหรอก แต่พี่ก็ไม่ได้คิดจะเข้าป่า เพราะหนึ่ง พี่ไม่ได้เป็นนักกิจกรรมถึงขนาดต้องเข้าป่า และพี่ก็ไม่เชียร์พรรคคอมมิวนิสต์ประเทศไทย เลยไม่คิดจะร่วม แต่ทีนี้ แม่พี่เขาผ่านสงครามมา 2 – 3 รอบแล้วไง แม่พี่มาจากประเทศจีน ตั้งแต่ญี่ปุ่นบุก สงครามโลกครั้งที่สอง แล้วก็สงครามคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่มัธยมถึงมหาวิทยาลัย เขาก็หนีสงคราม แล้วก็เห็นสงครามมาเยอะ เขาบอกว่า ‘เธอไม่เคยเห็นสงคราม เธอไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอย่างไร’”
ในที่สุด สุภัทราก็เดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา และอาศัยอยู่ที่นั่นจนถึงปัจจุบันนี้
“พี่ไปใหม่ๆ พี่จัดนิทรรศการ 6 ตุลา ร่วมกับนักศึกษาไทยที่นั่น จัดนิทรรศการให้กับนักศึกษาหรือคนไทยที่อยู่ที่อเมริกา ซึ่งเขาไม่รู้ พี่ก็ร่วมจัดเป็นเหตุการณ์ให้เขารู้ แต่คนที่มาต่างประเทศก่อน 6 ตุลา เขาไม่รู้นะ เขาไม่รู้จัก 6 ตุลา เขาไม่เคยได้ยิน 14 ตุลา” สุภัทรากล่าว
ช่วงเวลาที่สุภัทราเดินทางไปยังสหรัฐฯ ตรงกับทศวรรษ 1970 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากสงครามเวียดนาม การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่จึงเปลี่ยนจากการต่อต้านสงคราม สู่การค้นหาความหมายของชีวิต และให้ความสำคัญกับเสรีภาพเป็นหลัก
“มันเป็นยุคหลังจากที่เขาดึงตัวออกจากสงครามเวียดนาม เพราะฉะนั้น เขาก็จะอยู่ในยุคของการคล้ายๆ เขาจบแล้วเรื่องของการต่อต้านสงคราม และก้าวเข้าสู่การค้นหาความหมายของชีวิตในลักษณะของเสรีภาพ ลองนู่น ลองนี่ ลองนั่น ลองหมด ตราบเท่าที่รู้สึกว่ามันดี ก็จะมีการทดลองอยู่เป็นกลุ่ม (Commune) คือทำตามใจตัว แล้วก็หันกลับเข้าหาศาสนาตะวันออก แบบกูรู ไปอินเดีย ลองอาหารธรรมชาติ มันเป็นการเมือง แต่ไม่ได้เป็นการเมืองชนิดที่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่”
นอกจากนี้ สุภัทรายังคงพบเห็นแนวคิดที่ต้องการปฏิวัติต่อต้านทุนนิยม เช่นเดียวกับในประเทศไทย ส่วนหนึ่งเธอเกิดความกังวลว่าแนวคิดที่แตกต่างหลากหลายในสังคมเช่นนี้ อาจนำไปสู่การล่มสลายของประเทศ ทว่าผ่านมา 40 ปี การล่มสลายที่ว่ากลับไม่เกิดขึ้น
“การที่เปิดให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี ในแง่หนึ่งมันก็น่ากลัว เพราะมันดูง่อนแง่น แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็พิสูจน์มาแล้วว่ามันไม่ล้ม มันไม่ได้เกิดสงครามกลางเมือง คนที่มีความคิดต่างอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าชอบกันหรือรักกัน เถียงกันแต่ว่าอยู่ด้วยกันได้โดยสันติ คือใช้วิธีพูดอย่างฉันไปเรื่อยๆ ใครเห็นด้วยกับฉันก็มาร่วมด้วย ใครไม่เห็นด้วยกับฉันก็ด่าไป มันอาจจะมีความรู้สึกเหมือนไม่สงบ แต่จริงๆ แล้ว ในภาพรวมใหญ่มันสงบกว่า”
สุภัทราเชื่อว่า ตราบใดที่ผู้พูดไม่ถูกปิดปาก เขาก็ยังมีความหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
“ถ้าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนได้ด้วยการพูดของเขา การนำเสนอของเขา แล้วก็โอกาสที่เขาจะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม เปลี่ยนความคิด มันมีอยู่เสมอ แล้วก็ต้องเสริมด้วยระบอบประชาธิไตยด้วย ถ้าคนส่วนใหญ่คิดอย่างนั้น เขาก็จะเลือกคนอย่างนั้น อย่างเช่นทุกวันนี้ทรัมป์ คนก็บอกว่าเลือกมาได้ยังไง คนก็ไม่พอใจกันเยอะ แต่ระบบเขาเปิดให้เปลี่ยนได้ เขาก็มุ่งครั้งต่อไป ไม่มีการตัดสิทธิตลอดชีวิต ไม่มีการตัดสิทธิทางการเมือง” สุภัทรากล่าว
เมื่อถามถึงความกังวลใจต่อผู้นำประเทศคนใหม่อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ สุภัทราบอกว่า เธอไม่ได้กังวลมากเท่าชาวอเมริกัน เพราะเธอเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมามากแล้ว
“ถ้าดูการเลือกตั้งที่อเมริกา มันก็เปลี่ยนจากโอบามา เป็นทรัมป์ คนละเรื่องเลย และเราก็ไม่รู้ว่าคนต่อไปจะเป็นอย่างไร แต่ว่ามันก็ดีที่มันสวิงไปสวิงมา ปรับเปลี่ยนให้มันไม่สุดโต่ง แต่ว่าการจะทำอะไรมันจะใช้เวลากว่า ยากกว่า ก็อยู่ที่ว่าเราต้องการข้อดีอะไร ข้อเสียอะไร อย่างไรก็ตาม สิทธิมนุษยชนคือความสุขของประเทศ ถ้าเขามองว่าคุณมีศักดิ์ศรี มีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่น มีอะไร มีโอกาส ในภาพรวมของประเทศก็จะมีความสุข”
สมาชิกแอมเนสตี้ สหรัฐอเมริกา
“เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน” บทกวีเตือนใจที่คนรุ่นเดือนตุลาคุ้นเคยกันดี ได้ฝังลงในความรู้สึกนึกคิด และกลายเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของสุภัทรา
“การที่เราเกิดมาและโตขึ้นมา เราเป็นหนี้บุญคุณของสังคม ที่จะต้องทำอะไรตอบแทน ไม่ใช่ว่าเป็นทางเลือกฟรี มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้าไปเปลี่ยนแปลง หลัง 14 ตุลา จึงมีนักศึกษาเข้าไปร่วมทำอะไรให้ชาวนากับกรรมกรเยอะ เพราะฉะนั้น พี่ก็มีความรู้สึกอย่างนี้มาตลอด แล้วก็มีความเชื่อว่า มันไม่ใช่ทางเลือกฟรี แต่มันเป็นสิ่งที่สมควรที่จะทำ ตอบแทนให้กับสังคม”
นับตั้งแต่เป็นนักศึกษามาจนกระทั่งวัยผู้ใหญ่ สุภัทราได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนตัวเล็กๆ มากมายที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับผู้อื่น เพื่อให้คนทั้งสังคมมีชีวิตที่ดี และมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ทว่าผู้คนเหล่านี้กลับเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ถูกจับกุม หรือแม้กระทั่งถูกทำร้ายโดยอำนาจเบื้องบน สุภัทราจึงมองว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ที่เสียสละ และไม่ควรจะถูกลืม ดังนั้น การเข้าเป็นสมาชิกแอมเนสตี้ จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะสนับสนุนความคิดนี้ โดยเธอเป็นคนหนึ่งที่เคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเสรีภาพของนักโทษการเมือง
“ถ้าเขาไม่ทำ ชีวิตเขาสงบนะ เขาก็กลับบ้าน ไม่คิดอะไรมาก มีเงินใช้ มีสถานะ ไม่นับพวกที่ยากจน ที่เข้ามาเป็นนักกิจกรรมก็มีนะ ถ้าเขาไม่เข้ามาร่วม เขาก็ไม่ติดคุก พี่นับถือ แล้วก็อยากจะมีส่วนร่วมในการที่จะบอกเขาว่า You’re not forgotten. (คุณไม่ได้ถูกลืม)”
“เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำอาจจะไม่ได้ช่วยให้เขาหลุดออกมาจากคุกได้ แต่มันมีผลอะไร เราก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลนั้นๆ แค่ติดอยู่ในคุกแล้วได้จดหมาย รู้ว่ามีคนซาบซึ้งในสิ่งที่เขาต่อสู้ แค่นั้นก็ช่วยได้มาก”
สุภัทรามองว่า การยืนหยัดเคียงข้างผู้ที่ถูกคุมขังจากการแสดงออกทางการเมือง ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความหวังและให้กำลังใจเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว (Solidarity) กับบุคคลเหล่านั้นด้วย
“เราต้องกล้าที่จะมีความเห็นอกเห็นใจ กล้าที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะมันเจ็บปวด คนจำนวนมากหลีกเลี่ยง ไม่อยากทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่การเจ็บปวดมันคือ Solidarity คือการมองเห็นเขา ร่วมความทุกข์ของเขา อันนี้เป็นสิ่งที่คนเราควรจะกล้า คือเราไม่ไปติดคุก ไม่ได้โดนทารุณกรรม เราจะไม่เข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร สิ่งเหล่านั้นจะผลักดันการตัดสินใจทางการเมืองต่างๆ มันมีผลต่อการตัดสินใจต่อนโยบาย ต่อทางเลือก เราจะขวาตกขอบ เราจะซ้ายตกขอบ เราจะตกขอบหรือไม่ตกขอบ”
อย่างไรก็ตาม แม้สุภัทราจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่เธอก็ยอมรับว่า เธอไม่ได้คาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เธอหวังเพียงใช้ชีวิตเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อลดความเจ็บปวดของคนที่เสียสละเพื่อคนอื่นๆ เท่านั้น
“แต่ผลสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ยอมรับเถอะว่า ถ้าเราต้องสู้ให้คนร้อยคนหลุดออกมาได้สักคน หรือโทษเขาน้อยลงสักคน หรือคนที่จะถูกทารุณไม่ถูกทารุณ แค่นั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว” สุภัทรากล่าว

สำหรับสุภัทรา การเปลี่ยนแปลงใช่ว่าจะเกิดได้ภายในไม่กี่ชั่วอายุคน เพราะการเปลี่ยนทัศนคติของคนเป็นเรื่องยาก จึงต้องลงมือทำอย่างต่อเนื่อง เป็นลักษณะปูขั้นบันได
“เราสามารถเปลี่ยนทัศนคติของคนส่วนใหญ่ในสังคมได้ทีละนิด เราต้องมองเห็นความสำเร็จนะ อย่างน้องที่ชูสามนิ้ว เขามาจากไหน สมัยก่อนไม่มีนะ ความคิดเขาเปลี่ยนไปแล้วจากเด็กนักเรียนรุ่นก่อน ถึงแม้ไม่ใช่ทุกคน แต่ก็เป็นจำนวนที่สำคัญ และความคิดเขาก็คงไม่ถึงกับว่าหายไป มันอยู่ตรงนั้น แล้วเขาก็โตขึ้นมา มันอาจจะไม่ถึงร้อยปีพันปี เพราะจาก 14 ตุลา 6 ตุลา ถึงตอนนี้ก็ 40 ปีแล้ว มันก็เปลี่ยนพอสมควร แต่ไม่ได้มากนัก ไม่ได้มากอย่างที่ต้องการ”
“แต่พี่เชื่อว่าเสรีภาพในการแสดงออกของเราตอนนี้มันมากพอที่เราจะเปลี่ยนทัศนคติของคนในรุ่นนี้ เรายังเขียนได้ พูดได้ ถกเถียงให้คนรู้สึกว่าจริง เปลี่ยนวัฒนธรรมก่อน” สุภัทราทิ้งท้าย
