“Rights Inspired by You” พลังความเป็นหนึ่งของคนธรรมดา เพื่อสิทธิมนุษยชนของทุกคน

Amnesty International

ย้อนไปเมื่อกว่า 70 ปีก่อน ผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนทั่วโลก ทำให้นานาประเทศเริ่มตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นำไปสู่การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ หรือ United Nations (UN) เพื่อเป็นสื่อกลางในการปกป้องดูแลมนุษย์ทุกคนบนโลก และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 UN ได้มีมติรับรอง “ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน พร้อมประกาศให้วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสิทธิมนุษยชนสากล

14 ธันวาคม 2567 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้จัดงานวันสิทธิมนุษยชนสากลขึ้น ภายใต้ชื่อ “Rights Inspired by You” ที่ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองวันสำคัญนี้เท่านั้น แต่ยังได้สะท้อนความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของหลากหลายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งพร้อมส่งต่อพลังเหล่านี้ไปสู่คนทุกคน ผ่านบูธและกิจกรรมต่างๆ

ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ในช่วงหน้าหนาว สะพรั่งไปด้วยสีสันและลวดลายดอกไม้จากเครื่องแต่งกายของผู้เข้าร่วมงาน บรรดาองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนน้อยใหญ่ พร้อมใจกันแสดงภารกิจและผลงาน รวมทั้งสินค้าที่ระลึกภายในบูธของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่มาพร้อมกับแคมเปญใหญ่ประจำปีอย่าง Write for Rights หรือ เขียน เปลี่ยน โลก” ซึ่งเป็นกิจกรรมเขียนจดหมายถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลก รวมทั้ง “ห้องเรียนสิทธิมนุษยชน” ที่เปิดตัวบอร์ดเกมสิทธิมนุษยชน เพื่อเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนด้วยความสนุกสนาน

นอกจากนี้ ยังมีบูธของกลุ่มทำทาง ที่ขับเคลื่อนเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย บูธ iLaw ที่มาพร้อมกับเสื้อยืดและสติ๊กเกอร์ รณรงค์เรื่องการนิรโทษกรรมประชาชน บูธศูนย์ฝึกอบรมเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ที่ยกขบวนหนังสือน่าอ่านเกี่ยวกับการทำงานของศูนย์ฯ มาขาย หรือบูธ Realframe กลุ่มช่างภาพข่าวฝีมือดี ที่บันทึกภาพสถานการณ์ทางการเมืองและสังคม เผยแพร่ผ่านหนังสือรวมภาพถ่ายและโปสการ์ด บูธสีสันชนเผ่า ที่จำหน่ายเครื่องเงินแฮนด์เมด ฝีมือชาวปกากะญอ บูธงานคราฟต์น่ารักๆ จาก mali.make.cro x yuiicalli, Walanda, Kamdaeng และ handsdo_ รวมทั้งอิ่มอร่อยและชื่นใจไปกับอาหารออร์แกนิกจากเคี้ยวเขียว และคราฟต์เบียร์จาก SuwannaBrew

“Rights Inspired by You” สิทธิมนุษยชนของคนตัวเล็ก

ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่ได้แสดงออกผ่านการรวมตัวกันของหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนผ่านเวทีเสวนา “Rights Inspired by You” ที่รวมเอา “คนธรรมดา” ที่ขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ มาบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของพวกเขา โดยมีแอมเนสตี้เป็นหนึ่งในกำลังใจ และแรงผลักดันที่ทำให้การต่อสู้นั้นประสบความสำเร็จ รวมทั้งสร้างการเติบโตให้คนตัวเล็กๆ เหล่านี้ด้วย

สุไลพร ชลวิไล สมาชิกกลุ่มทำทาง ซึ่งขับเคลื่อนเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2553 เล่าว่า จุดเริ่มต้นของกลุ่มทำทาง มาจากเหตุการณ์การพบซากตัวอ่อนจำนวนมากที่วัดแห่งหนึ่ง นำไปสู่ข่าวครึกโครมเกี่ยวกับคลินิกทำแท้งเถื่อน พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และประณามผู้ที่ทำแท้งอย่างรุนแรง สุไลพรและเพื่อนๆ จึงเปิดเว็บบล็อก เพื่อเป็นพื้นที่ให้เสียงของผู้ที่ผ่านประสบการณ์การทำแท้งได้ถูกรับฟัง

“พอเปิดพื้นที่เป็นบล็อกขึ้นมา คนที่เข้ามาส่วนหนึ่งก็เข้ามาพูดคุย แบ่งปันประสบการณ์ แต่สิ่งที่คนถามมากที่สุดก็คือว่า สถานบริการอยู่ที่ไหน ตอนนี้เขาไม่พร้อม เขาต้องการเข้าถึงสถานบริการ ซึ่งมันไม่มีใครให้ข้อมูล จึงเป็นที่มาของงานที่สำคัญมากๆ ของทำทาง ที่เราทำตั้งแต่วันนั้น ตั้งแต่ปี 2553 – 2554 จนถึงวันนี้ ก็คืองานให้คำปรึกษา ที่จะส่งให้ผู้ที่เขาต้องการเข้าถึงบริการยุติการตั้งครรภ์ได้ไปถึงสถานบริการที่ปลอดภัย” สุไลพรกล่าว

สุไลพรเปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่มีใครเข้ามาถามกลุ่มทำทางถึงการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใน พ.ศ. 2554 กลุ่มทำทางเปิดสายโทรศัพท์เพื่อให้บริการคำปรึกษา ก่อนจะพัฒนาเป็นการให้คำปรึกษาผ่านแอพปลิเคชัน LINE ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม บริการให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัยนั้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุคือกฎหมายที่ยังไม่เอื้อให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ได้เข้าถึงบริการที่ปลอดภัย จนกระทั่งใน พ.ศ. 2564 ประเทศไทยมีการแก้กฎหมาย ให้หญิงที่มีอายุครรภ์ไม่เกินกว่า 12 สัปดาห์ ยุติการตั้งครรภ์ได้ โดยไม่เป็นความผิดทางอาญา

“เรื่องที่เราพยายามถามรัฐก็คือว่า เมื่อแก้กฎหมายแล้ว คุณบอกประชาชนหรือเปล่าว่า หนึ่ง กฎหมายแก้แล้ว สอง คุณบอกประชาชนไหมว่าสถานบริการอยู่ที่ไหน เราพูดกับรัฐมา 5 – 6 ปี เขาก็ไม่บอก จนถึงทุกวันนี้เขาก็ไม่บอก เราก็เลยต้องทำแผนที่ขึ้นมาบอกเอง สุไลพรเล่าถึงภารกิจใหม่ของกลุ่มทำทาง ที่นำไปสู่การจัดทำแผนที่สถานบริการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัย 110 แห่ง

แม้จะมีการแก้ไขกฎหมาย และการเผยแพร่ข้อมูลมากขึ้น แต่ความท้าทายสำคัญที่กลุ่มทำทางต้องเผชิญและทำงานกันต่อ คือทัศนคติของสังคม ที่ยังไม่ยอมรับแม้แต่คำว่า “ทำแท้ง” 

“ถามว่าเรายืนหยัดมาได้อย่างไร เราก็ไม่สนใจ เราก็คิดว่าสิ่งที่เราทำ เราทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ที่ต้องการรับบริการ และเราเชื่อมั่นว่าการทำแท้งเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน เราก็เลยแข็งแรงขึ้นและได้รับแรงสนับสนุนจากแอมเนสตี้ด้วย” สุไลพรกล่าว

สุไลพรได้เข้าเป็นสมาชิกของแอมเนสตี้ เมื่อปลาย พ.ศ. 2563 ก่อนจะเริ่มทำกิจกรรมรณรงค์ร่วมกับแอมเนสตี้และเครือข่าย โดยจัดเวทีเสวนาออนไลน์ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยพูดเรื่องทำแท้งในประเด็นสิทธิมนุษยชน ตามด้วยการจัดเสวนาออนไลน์ ร่วมกับแอมเนสตี้ ประเทศอาร์เจนตินา ในประเด็นเรื่องกฎหมายทำแท้ง ที่ทางอาร์เจนตินากำหนดให้หญิงที่มีอายุครรภ์ไม่เกินกว่า 14 สัปดาห์ ยุติการตั้งครรภ์ได้

“เวลาที่แอมเนสตี้ ซึ่งทำงานประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน แล้วพูดว่าเรื่องทำแท้งเป็นสิทธิมนุษยชน มันดังกว่าที่ทำทางพูด” สุไลพรเผย

เช่นเดียวกับธนกฤต โต้งฟ้า ชาวบ้านจากชุมชนคลิตี้ล่าง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่ต่อสู้ในประเด็นสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มาตั้งแต่ยังเป็นเยาวชน จากกรณีที่เหมืองแร่ปล่อยกากตะกอนหางแร่จากกระบวนการล้างสารตะกั่วลงไปในลำห้วยคลิตี้ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของชุมชน โดยกระบวนการทำลายล้างนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาก ก่อนธนกฤตจะเกิดด้วยซ้ำ 

“วิถีกะเหรี่ยงของคนที่หมู่บ้านผม เขาก็ต้องอาศัยลำห้วยคลิตี้เป็นสายเลือดหลัก ทั้งใช้ดื่ม ใช้กิน ใช้ทำอาหาร ใช้ทุกอย่าง จะพึ่งพิงลำห้วยเป็นหลักครับ พอเหมืองมาขุดแล้วปล่อยกากตะกอนหางแร่ที่เขาใช้ในกระบวนการล้างสารตะกั่วลงไปในลำห้วย มลพิษก็เลยเกิดตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ซึ่งตอนหลังเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่มันไม่สามารถควบคุมได้” ธนกฤตกล่าว

ธนกฤตเล่าว่า แกนนำชุมชนในขณะนั้นพยายามไปคุยกับหน่วยงานท้องถิ่นหลายแห่ง แต่เสียงของชาวบ้านกลับไม่ถูกรับฟัง จนกระทั่งเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของคนในชุมชน หลายคนเสียชีวิต ผู้หญิงบางคนแท้งลูก เด็กที่คลอดออกมาพิการ แม้แต่สัตว์เลี้ยงก็ล้มตาย

“ผมเกิดช่วงที่ลำห้วยเกิดผลกระทบไปหมดแล้ว ลำห้วยนี่สีแดง กลิ่นคลุ้งไปหมดเลย ชาวบ้านตรงนั้นต้องตักน้ำมาหุงข้าวกินกันเป็นข้าวแดงเลย แต่ก็ต้องกิน เพราะเขาไม่มีทางเลือก แล้วช่วงที่ผมเกิด แม่ผม ทุกคนในหมู่บ้านมีสารตะกั่วในเลือดเกินค่ามาตรฐานไปหมดแล้วครับ ดังนั้น ช่วงที่แม่ตั้งครรภ์ผม ผมก็ได้รับทางสายเลือดไปหมดเลย” ธนกฤตกล่าว

หลังจากตัดสินใจก้าวเข้ามาเป็นแกนนำชุมชนรุ่นใหม่ ธนกฤตเข้าเรียนวิชากฎหมาย เพื่อนำความรู้มาช่วยขับเคลื่อนชุมชนของตัวเอง และเป็นสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนกับภาคประชาสังคม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักกฎหมาย นักวิชาการ นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เข้าไปมีส่วนในการช่วยเหลือชุมชน รวมทั้งพาสื่อมวลชนไปลงพื้นที่ และสื่อสารเรื่องราวความเดือดร้อนของชาวบ้านออกสู่สาธารณะ และหลังจากยื่นฟ้องต่อศาล ชุมชนคลิตี้ใช้เวลาหลายสิบปีต่อสู้ในชั้นศาล จนในที่สุดก็ได้รับชัยชนะ

“ข้อค้นพบหนึ่งก็คือว่าประเทศไทยเรา ผู้ก่อผลกระทบจริงๆ คือเอกชน แต่พอมาถึงชั้นศาลก็กลายเป็นล้มละลายไปเฉยเลย กลายเป็นหลุดในกระบวนการนี้ไป แต่คนที่ต้องมารับผิดชอบคือหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งต้องเอางบประมาณจากภาษีของพวกเรามาฟื้นฟู 400 – 500 ล้าน ซึ่งก็เป็นจำนวนเงินที่เยอะมาก ทั้งๆ ที่คนที่ก่อมลพิษควรเป็นคนที่รับผิดชอบ

“ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว หลังจากที่ศาลพิพากษาว่าให้ชุมชนชนะคดีแล้ว แต่ลำห้วยของพวกเรา สารตะกั่วที่เกินค่ามาตรฐานในเลือดของพวกเราก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ ดังนั้น ชัยชนะจากชั้นศาลมันก็เป็นเพียงกระดาษที่เขียนไว้ เขาเรียกว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความยุติธรรมที่อยุติธรรมนั่นเอง” ธนกฤตกล่าว

ความร่วมมือที่ได้รับจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชน ไม่เพียงแต่ช่วยขยายเสียงของชาวบ้านให้ดังขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาตระหนักถึงสิทธิของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และจากความตระหนักถึงสิทธิของตัวเอง ธนกฤตได้ผันตัวเองสู่การขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในพื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากชุมชนของตัวเองอย่างจริงจัง

การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ชนบทเท่านั้น แต่ในช่วง พ.ศ. 2563 ประเด็นสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออก ถูกฉายชัดออกมาพร้อมเสียงตะโกนในพื้นที่ชุมนุมหลายต่อหลายครั้งในกรุงเทพฯ และหนึ่งในเสียงนั้น คือเสียงของธนกร ภิระบัน นักกิจกรรมเยาวชน

ธนกรเล่าว่า เขาสนใจการเมืองมาตั้งแต่ยังอยู่มัธยมต้น ในยุคที่บ้านเมืองถูกปกครองโดยคณะรัฐประหาร คสช. เขาตั้งคำถามถึงสภาพครอบครัวที่ไม่ได้มีทุนทรัพย์ กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม จนได้คำตอบว่าสิ่งเหล่านี้มีที่มาจากสภาวะทางการเมืองที่ไม่ปกติ และเมื่อสถานการณ์การชุมนุมปะทุรุนแรงขึ้น ธนกรจึงออกมาเป็นตัวแทนเยาวชนที่ไม่กล้าส่งเสียงของตัวเอง ออกมาปราศรัยในพื้นที่ชุมนุม และเป็นเยาวชนคนแรกๆ ที่ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 และ พ.ร.บ.การชุมนุม ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี

“พอโดนคดี แอมเนสตี้ก็คือหนึ่งในองค์กรที่ยื่นมือมาช่วยเรา และสื่อสารให้สังคมว่าเคสของเราหรือสิ่งที่เรากำลังโดนรัฐกระทำ มันคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไร แล้วทำให้ทั่วโลกมาเห็นเคสของเรา และทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยว แม้ว่าตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ศาลจะไม่ให้คนเข้าไปสังเกตการณ์เลยก็ตาม แอมเนสตี้ก็ยังพยายามที่จะไปบ่อยๆ เพื่อสังเกตการณ์คดีเรา ทำให้เรารู้สึกว่า เราไม่โดดเดี่ยวคนเดียวในการต่อสู้” ธนกรเล่า

ธนกรยอมรับว่า ในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออก ทำให้เขารู้สึกหมดไฟ แต่พลังบวกที่ได้รับจากแอมเนสตี้ ช่วยให้เขายังคงเดินหน้าส่งเสียงของตัวเอง แม้ในวันที่การชุมนุมบนท้องถนนจะไม่ “แมส” อีกต่อไป แต่ธนกรก็มีช่องทางใหม่ คือแอพปลิเคชันยอดฮิตอย่าง TikTok ที่เขาได้ส่งเสียงของตัวเอง และเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ พร้อมผู้ติดตามหลายแสนคน

ก่อนเสรีภาพในการแสดงออกในพื้นที่ชุมนุมจะถูกปิดกั้น หากใครยังจำได้ เมื่อ พ.ศ. 2552 จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 จากการที่มีผู้เขียนคอมเมนต์ในเว็บบอร์ดประชาไท และจีรนุช ในฐานะผู้ให้บริการ ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ว่ากันว่า จากความผิดหลายกรรม อาจทำให้เธอต้องถูกจำคุกหลายสิบปี

“เราโดนคดีในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับที่นักข่าวประชาไทรายงาน เป็นคดีที่มาจากการเขียนคอมเมนต์ในเว็บบอร์ดของประชาไท เนื่องจากเราค่อนข้างให้เสรีภาพ เรามองว่าเสรีภาพในการแสดงออกเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องพื้นฐานแรกๆ สุดของเรื่องประชาธิปไตย ถ้าเราพูดว่าเรามีประชาธิปไตย แต่แม้แต่เสรีภาพที่เราอยากคิดอะไร อยากพูดอะไร ยังถูกจำกัดอย่างมาก มันก็จะลำบาก”

อย่างไรก็ตาม ในฐานะตัวแทนองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ หลักการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน จีรนุชตัดสินใจสู้คดี และกรณีของจีรนุชก็เป็นหนึ่งในแคมเปญที่แอมเนสตี้ทั่วโลกร่วมรณรงค์ รวมทั้งการประสานงาน สื่อสารกับทางการไทย เพื่อช่วยเหลือจีรนุชในเรื่องคดีความ ตามด้วยกำลังใจจากอีกซีกโลกหนึ่ง ที่เธอไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับ

“มาวันหนึ่ง อยู่ๆ ก็มีจดหมายมาจากแคนาดา ทีแรกก็มีสองสามฉบับ สักพักมันเริ่มมามากขึ้นเรื่อยๆ จาก 3 ฉบับ เป็น 10 ฉบับ เป็นร้อย จนเป็นพันฉบับ แล้วมันมาจากแคนาดา จำนวนมากเป็นภาษาฝรั่งเศส จำนวนมากเป็นโปสการ์ดที่ทำในห้องเรียนของเด็กนักเรียน หลายอันเป็นโปสการ์ดที่วาดเอง แล้วเราก็รู้ว่ามีแอมเนสตี้ทางแคนาดาเลือกกรณีของเราเป็นเรื่องที่เขาจะรณรงค์ โดยเฉพาะในแคว้นควิเบก ซึ่งใช้ภาษาฝรั่งเศส เพราะฉะนั้น จดหมายจำนวนมากของเราจะมาเป็นภาษาฝรั่งเศส” จีรนุชกล่าว

หลังจากกรณีของจีรนุช 15 ปีต่อมา มีผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากการแสดงความคิดเห็นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างน่าตกใจ ซึ่งจีรนุชมองว่า กำลังใจจากคนทั่วไปนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อนักโทษการเมืองเหล่านี้มาก

เราคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันสำคัญ ที่คนซึ่งกำลังเผชิญปัญหาทั้งหลายจะได้รับกำลังใจ จะได้รู้ว่าเขาไม่ได้เผชิญเรื่องนี้เพียงลำพัง การไม่เผชิญเรื่องนี้เพียงลำพังมันสำคัญมาก กระบวนการต่อสู้คดีของเราเกิดขึ้นได้โดยที่เราไม่รู้สึกห่อเหี่ยวหรือทดท้อ เราอาจจะโกรธบ้าง โกรธกระบวนการยุติธรรม ที่เรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเรา ทำไมมันต้องมาทำเรื่องแบบนี้กับเรา แต่เราไม่เคยรู้สึกว่าเราสู้อยู่ลำพัง” จีรนุชกล่าว

“Inspired by your Book” ตัวหนังสือเปลี่ยนโลก

การจุดประกายให้เกิดความตระหนักด้านสิทธิมนุษยชนสามารถทำได้หลากหลายช่องทาง อย่างเวทีเสวนา “Inspired by your Book” ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวอักษร ที่สามารถเปลี่ยนทั้งชีวิตของคนคนหนึ่ง และเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบได้ในเวลาเดียวกัน

วีรพร นิติประภา นักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ 2 สมัย เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอสร้างสรรค์ผลงานเขียนของตัวเอง นอกเหนือจากลูกชายที่เป็นนักอ่านตัวยงแล้ว การสลายการชุมนุมใน พ.ศ. 2553 ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เธอตั้งคำถาม และคำถามของเธอก็กลายเป็นนวนิยายรักชื่อดังอย่าง “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” ผลงานรางวัลซีไรต์ครั้งแรกของเธอ

“ความขัดแย้งทางการเมืองก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าเรามีความรู้สึกว่ามันไม่ปกติตรงที่ทำไมไม่โหวต ทำไมถึงมีม็อบ ม็อบก็ไม่เป็นไร ม็อบจะด่ากันก็ไม่เป็นไร จนกระทั่งเขาฆ่าคน แต่ที่เรารู้สึกว่าแย่ก็คือว่า มีคนที่ดีใจที่มีคนถูกฆ่า พี่เขียนเพราะว่าพี่ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ เราทำเพื่อให้เราเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับผู้คน และมันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก มันเกิดขึ้นหลายครั้งเกินไปในประเทศแบบนี้ วีรพรเล่าถึงที่มาของนวนิยายเรื่องดัง

ต่อมา หลังจากที่เธอกลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง วีรพรได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรในมหาวิทยาลัยต่างๆ หลายครั้งเธอพบว่านักศึกษายังคงต้องคลานเข่าเข้ามาหาเธอ โดยเข้าใจว่านี่คือ “ความสุภาพ” ซึ่งเธอมองว่าความสุภาพคือหยัดยืนให้ได้บนหลังของตัวเอง และนี่คือที่มาของหนังสือความเรียงเล่มบาง ชื่อ “โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก”

“พี่คิดว่าเราต้องเริ่มจากการเลี้ยงคนให้เป็นมนุษย์ก่อน และเคารพในสิทธิของเขาตั้งแต่วันแรก นั่นคือการทำให้เขารู้สิทธิของเขา เราต้องรู้สิทธิเขาด้วย” วีรพรย้ำประโยคสำคัญที่เธอมักใช้เปิดบทสนทนาในหลายเวที พร้อมระบุว่า สังคมไทยไม่ได้เลี้ยงเด็กอย่างให้เกียรติในฐานะมนุษย์ที่มีศักยภาพ สะท้อนจากสำนวนไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” เมื่อแม้แต่พ่อแม่ยังทำร้ายเด็กได้ โลกภายนอกก็สามารถทำร้ายพวกเขาได้เช่นกัน

“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปลูกฝัง แต่มันคือการยอมรับตั้งแต่ก้าวแรกเลย เมื่อคุณมีลูก คุณเลี้ยงเขาเหมือนลูก เหมือนมนุษย์หนึ่งคน ไม่ซับซ้อนค่ะ เป็นหนังสือง่ายๆ ว่าคุณจะต้องเลี้ยงเขาอย่างไร ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร แต่ว่าน้ำใสใจจริงก็คือเท่าปกเลย ก็คือโปรดโอบกอดมนุษย์ลูก” วีรพรกล่าว

ขณะที่วีรพรเป็นผู้ที่เขียนหนังสือและสะท้อนประเด็นสิทธิมนุษยชน ชญาธนุส ศรทัตต์ หรือ เฌอเอม มิสแกรนด์ขอนแก่น 2025 เป็นนักอ่านที่ได้รับแรงบันดาลใจในประเด็นนี้ จากหนังสือมากมาย โดยหนังสือเล่มโปรดเล่มแรกที่เธอหยิบมาเล่าให้ฟัง คือ “Man’s Search for Meaning” หรือชื่อภาษาไทยว่า “ชีวิตไม่ไร้ความหมาย” ซึ่งเป็นเรื่องราวของวิกเตอร์ ฟรังเคิล จิตแพทย์ชาวยิว ที่ถูกควบคุมตัวในค่ายกักกันนาน 3 ปี ในสมัยที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว โดยเฌอเอมเล่าความรู้สึกหลังได้อ่านเรื่องนี้ว่า

“ในวันที่ผู้เขียนได้เป็นเชลยอยู่ในค่ายกักกัน เหลือแค่ความสามารถในการเป็นหมอที่ติดตัวเขา มันทำให้เราตั้งคำถามตามไปด้วยระหว่างที่อ่านเรื่องว่า สุดท้าย ถ้าเราถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไป ในตัวเราจริงๆ เราเหลืออะไร ซึ่งสุดท้าย แก่นสารของหนังสือเรื่องนี้ก็บอกว่า เราเหลือการตามหาความหมายในชีวิต หรืออาจจะเป็นการให้ความหมายต่อชีวิตตัวเอง เอมคิดว่ามันคือการที่เรารู้และเราตัดสินใจได้ว่าเราอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นอะไร และเรามีสิทธิที่จะฝันอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ภายใต้สถานะไหน อยู่ภายใต้ความกดดัน หรืออยู่ภายใต้การถูกตีตราอย่างไร เราก็มีสิทธิที่จะเลือกในสิ่งที่ต้องการเป็น” เฌอเอมกล่าว

อีกเล่มที่สร้างแรงบันดาลใจให้เฌอเอม คือ “Breaking Night” หรือ “จะไม่รอให้ฟ้าสว่าง” เป็นอัตชีวประวัติของลิซ เมอร์เรย์ ที่เติบโตมาอย่างขาดแคลนสิทธิขั้นพื้นฐาน ในครอบครัวที่ด้อยโอกาส พ่อแม่ติดยาเสพติดและเสียชีวิต ส่วนผู้เขียนกลายเป็นคนไร้บ้าน ทว่าสุดท้าย เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำ และได้ทำงานด้านวิชาการ

“เรื่องนี้แตกต่างจากเล่มแรก ตรงที่เล่มแรกมันเป็นสมัยที่สิทธิหรือหลายๆ อย่างยังไม่ได้รับการตระหนักรู้ แต่ว่าอันนี้ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ ก็คือความยากจน การที่เด็กถูกทอดทิ้ง เอมคิดว่ามันจะให้ได้เยอะในเรื่องของสิทธิด้านการศึกษาว่า การเรียนโรงเรียนทางเลือก หรือว่าการเรียนด้วยตัวเอง สุดท้ายมันทำให้เธอได้ทุนในมหาวิทยาลัยระดับไอวีลีกเพียงคนเดียวได้อย่างไร ผ่านเด็กทุกคนที่เรียนพิเศษแล้วก็มีพ่อแม่ที่มีทุนทรัพย์ จบจากโรงเรียนมัธยมที่ดี” เฌอเอมอธิบาย

ด้านแดเนียล วิวัฒน์วงศ์ ดูวา อดีตเยาวชนจากศูนย์ฝึกอบรม (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้สัมผัสกับการอ่านและการเขียน เพื่อสะท้อนตัวตนและเยียวยาตัวเอง ซึ่งเคยเป็นผู้ละเมิดสิทธิผู้อื่นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึกประจำวัน เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเอง การเขียนจดหมายถึงตัวละครในภาพยนตร์ ไปจนถึงเขียนจดหมายถึงคนที่ถูกละเมิดสิทธิ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากกิจกรรม Write for Rights ของแอมเนสตี้

“วินาทีนั้นที่เราได้รับรู้เรื่องราว เรารู้สึกว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้ด้วยจริงเหรอ มันยังมีคนที่โดนละเมิดแล้วเขาไม่สามารถจะต่อสู้ได้ พอเราได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ เหล่านั้นของเคส เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากจะรวบรวมสิ่งดีๆ ที่เรามีทั้งหมด แล้วก็เขียนจดหมายส่งไปให้เขา คือเราไม่รู้ว่าเราจะไปเยียวยาเขาได้แบบไหน แต่ขอแค่ตัวหนังสือของเราไปหาเขา และสามารถทำให้เขายิ้มได้สักนิดหนึ่งก็ยังดี เพราะผมเชื่อว่า อย่างไรก็ตาม ตัวอักษรหรือหนังสือ หรือสมุดอะไรก็ตาม มันเดินทางได้ถูกกว่าตัวผมเองแน่นอน” แดเนียลกล่าว

การเขียนจะเปลี่ยนแปลงโลกได้หรือไม่?

เมื่อการเขียนสามารถพากำลังใจข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของโลกได้ คำถามที่ตามมาคือ การเขียนจะเปลี่ยนแปลงโลกได้หรือไม่? วีรพรหยิบยกเรื่องราวของหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “Manifesto” โดยคาร์ล มาร์กซ์ พร้อมระบุว่า หลังจากผู้คนได้รู้จักหนังสือเล่มนี้ โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากการกระตุ้นให้คนได้ฉุกคิดและตั้งคำถามต่อสถานะของตน

“ไม่ใช่แค่ยุโรปที่ครึ่งหนึ่งกลายเป็นสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ไป แต่ว่าเราเริ่มเข้าใจว่าคนเท่ากัน จากเล่มนี้ นั่นหมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถัดมาจากการกำเนิดของหนังสือเล่มนี้ คือมุมมองของมนุษย์มันเปลี่ยนไปหมดเลย”

“การเขียนเปลี่ยนโลกได้ ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ เชื่อว่าการเขียนนั้นเชื่อมโยงความรู้สึกของเราให้ถึงผู้ที่ต้องการกำลังใจที่สุดได้”

นอกจากการกระตุ้นให้เกิดการตั้งคำถาม เฌอเอมมองว่า หนังสือช่วยให้คนเรามีอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครในเรื่อง นำไปสู่การเรียนรู้และเข้าอกเข้าใจในความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาต่างๆ ในสังคม

“นอกจากความเข้าใจ มันต้องมีการเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ คือเราต้องรู้สึกกับสิ่งที่เราเข้าใจด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างแท้จริง”

สำหรับเฌอเอม การเขียนจะเปลี่ยนโลกได้ ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อหานั้นๆ อยู่ในมือของใคร ณ เวลาใด และสำหรับเธอเอง เมื่อยังเป็นเด็กเพียงคนเดียวในบ้าน หนังสือได้เปลี่ยนโลกของเธอไปตลอดกาล

“ตัวหนังสือเปลี่ยนโลกและสะท้อนความเป็นคนในตัวเราได้ รวมถึงสร้างชีวิตชีวาให้กับโลกของใครบางคน และคนที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนได้” เฌอเอมสรุป

ตลอด 23 ปีที่ผ่านมากับการเดินทางของแคมเปญ Write for Rights หรือ เขียน เปลี่ยน โลก” พิสูจน์แล้วว่าจดหมายที่นำมารวมกันจากคนธรรมดาทั่วโลกนั้น สามารถสร้างความยุติธรรมให้กับผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนได้จริง

ถึงแม้จดหมายเพียงฉบับเดียว อาจดูเล็กน้อย แต่สำหรับใครบางคนอาจเป็นการปลดปล่อยพันธนาการ เป็นการชุบชีวิตความหวัง และเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดในชีวิตที่ถูกละเมิดสิทธิได้