ความรุนแรงทางออนไลน์


ความสามารถของเราในการสื่อสารกับผู้คนทั่วโลกผ่านทางออนไลน์กลายเป็นพลังที่ดีและเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างวิธีการใหม่ๆ ให้กับทั้งปัจเจกชนและรัฐในการก่อความรุนแรงและความเสียหายต่อผู้คนได้ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

รูปแบบใหม่ของความรุนแรงกำลังถูกพัฒนาขึ้นจากการที่เราพึ่งพาและใช้การสื่อสารทางออนไลน์และดิจิทัลที่มากขึ้น ผู้หญิงร้อยละ 85 ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเคยพบเห็นความรุนแรงทางออนไลน์ และผู้หญิงร้อยละ 38 เคยตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรงทางออนไลน์

ผู้คนเผยแพร่ความเกลียดชัง ความหวาดกลัวและข้อมูลที่บิดเบือนบนโซเชียลมีเดียในรูปแบบที่เราไม่เคยพบมาก่อน เนื่องจากพวกเขาแทบไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองเลย ผู้คนยังตกเป็นเป้าหมายของกลวิธีต่างๆ เช่น การแบล็กเมล์ทางดิจิทัลและสปายแวร์ การโจมตีเหล่านี้ส่งผลเสียต่อชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างมาก ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของเรา และความสามารถในการแสดงออกอย่างเสรีหรือมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางสังคม

ความรุนแรงทางออนไลน์เป็นภัยคุกคามต่อสิทธิมนุษยชนของเรา เพราะมันอาจจะละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัว สิทธิในการที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติและสิทธิที่จะปราศจากความรุนแรง นอกจากนี้ยังเป็นภัยคุกคามที่น่ากังวลต่อสิทธิในการแสดงออกย่างเสรีและการมีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วงโดยสงบของเราอีกด้วย

หากเราร่วมมือกัน เราสามารถสร้างอนาคตที่พื้นที่ออนไลน์กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนได้ แต่เราต้องรู้สิทธิของเราก่อนเพื่อที่เราจะปกป้องสิทธิเหล่านั้นได้

ความรุนแรงทางออนไลน์คืออะไร?

บ่อยครั้งเมื่อเรานึกถึงความรุนแรง เรามักจะนึกถึงการใช้กำลังทางกายภาพหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนต้องเผชิญหน้ากัน แต่ความรุนแรงก็สามารถเกิดขึ้นทางออนไลน์ได้เช่นเดียวกัน พฤติกรรมความรุนแรงทางออนไลน์ เช่น การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์และการคุกคามทางออนไลน์ ก็สามารถเป็นอันตรายและส่งผลกระทบได้จริงไม่แพ้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของบุคคล

ความรุนแรงทางออนไลน์อาจกระทำการได้โดยทั้งจากรัฐและบุคคลหรือกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐ มีกรณีที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างมากมายเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ใช้ความรุนแรงทางออนไลน์เพื่อปิดปากผู้ที่เห็นต่าง หรือสอดแนมนักกิจกรรมและนักข่าว

คนที่ตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรงทางออนไลน์และความรุนแรงที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบอื่นๆ มักรู้สึกว่าจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงหรือลดการมีส่วนร่วมในพื้นที่ออนไลน์เพื่อให้รู้สึกปลอดภัย ภาพโดย ©Summer Panadd

ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี (Technology-facilitated gender-based violence: TfGBV)

เช่นเดียวกับโลกออฟไลน์ ความสัมพันธ์เชิงอำนาจส่งผลต่อวิธีที่การที่ผู้คนสร้างปฏิสัมพันธ์กันในโลกออนไลน์ บางคนใช้พื้นที่ออนไลน์ในการเผยแพร่ความเกลียดชัง ความเกลียดชังผู้หญิง ความเกลียดชังคนที่รักเพศเดียวกัน คนรักได้หลายเพศและคนข้ามเพศ

คำว่า ‘ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี’ (Technology-Facilitated Gender-Based Violence: TfGBV) ใช้เพื่ออธิบายการกระทำที่ใช้เทคโนโลยีในการก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้หญิง เด็กผู้หญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ โดย TfGBV หมายถึง การกระทำใดๆ ที่เป็นความรุนแรงหรือการข่มขู่คุกคามเพื่อใช้ความรุนแรง ซึ่งกระทำโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคล การกระทำดังกล่าวมีลักษณะดังต่อไปนี้:

  • มีการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารหรือสื่อดิจิทัลเพื่อกระทำ สนับสนุน ส่งเสริม ทำให้เลวร้ายและเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้น 
  • ซึ่งส่งผลกระทบอย่างไม่ได้สัดส่วนต่อผู้หญิง เด็กหญิงและบุคคลอื่นๆ อันเนื่องด้วยเหตุแห่งเพศ รสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ และ/หรือการแสดงออกทางเพศที่แท้จริง 
  • จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจ เพศและอนามัยเจริญพันธุ์

ตัวอย่างของ TfGBV ที่พึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นทางออนไลน์ ได้แก่ สปายแวร์ การบันทึกหรือการแชร์วิดีโอและภาพถ่ายโดยไม่ได้รับความยินยอมผ่านบลูทูธและอุปกรณ์ที่ไม่ใช้อินเทอร์เน็ต

เช่น ในปี 2567 เราได้บันทึกกรณีของผู้หญิงจากประเทศเยเมนจำนวนเจ็ดรายที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีบนเฟซบุ๊ก ซึ่งรวมถึงการแบล็กเมล์ การละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวและการคุกคามที่เกี่ยวข้องกับการแชร์ภาพหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยไม่ได้รับความยินยอม

ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี (Technology-facilitated gender-based violence) เป็นคำที่ใช้เพื่ออธิบายการกระทำที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ภาพโดย ©UWE_UMSTAETTER

กรณีศึกษา: ยูกันดา

ในปี 2566 รัฐสภาของยูกันดาได้ผ่านร่างกฎหมายที่หลายคนเรียกว่ากฎหมายต่อต้านคนรักเพศเดียวกัน (Anti-Homosexuality Act) ตั้งแต่มีการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในยูกันดาต้องเผชิญกับการกดขี่ที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ หลายคนในกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศและนักเคลื่อนไหวจึงอาศัยพื้นที่ดิจิทัลในการส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกเป็นชุมชนสำหรับพวกเขา อีกทั้งพวกเขายังใช้พื้นที่ดิจิทัลในการเชื่อมต่อกับผู้อื่น แบ่งปันข้อมูล รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบริการสุขภาพทางเพศและปกป้องสิทธิของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดิจิทัลเหล่านี้กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงเนื่องจากการแพร่หลายของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี นักวิจัยของเราได้บันทึกกรณีของ TfGBV หลากหลายรูปแบบ รวมถึง:

  • การจงใจรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวที่มีอยู่แล้วบนอินเทอร์เน็ตของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล (doxing)  
  • การเปิดเผยความลับ (outing)
  • การข่มขู่คุกคามว่าจะใช้ความรุนแรง  
  • การแบล็กเมล์ (blackmailing) 
  • การบิดเบือนข้อมูล (disinformation) 
  • การเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศและองค์กรโดยไม่ได้รับความยินยอม

การโจมตีเหล่านี้ได้ส่งผลเสียต่อชีวิตประจำวันของผู้คน ในหลายกรณี ภัยคุกคามทางออนไลน์ได้แปรสภาพกลายเป็นความรุนแรงในโลกออฟไลน์ด้วย รวมถึงการโจมตีด้วยวาจาและร่างกาย การโจมตีเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพจิตและร่างกายของผู้คน รวมถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ที่อยู่อาศัย สังคมและความสามารถในการแสดงออกอย่างเสรีหรือการมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวทางสังคม

เทคโนโลยีสร้างความไม่เท่าเทียมทางเพศ

รูปแบบของความรุนแรงเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องมาจากความรุนแรงทางเพศที่กระทำต่อผู้หญิง เด็กหญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมีรากฐานและก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมทางเพศ ความไม่สมดุลของอำนาจ บรรทัดฐานและอคติทางเพศที่เป็นอันตราย

ในขณะที่ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อผู้หญิง เด็กหญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศทุกคน ผู้ซึ่งต้องเผชิญกับรูปแบบของการเลือกปฏิบัติที่ทับซ้อนและการถูกแยกออกจากสังคมอย่างเป็นระบบ รวมถึงการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ ความพิการ ศาสนา วรรณะ ชาติพันธุ์ อายุ ชนชั้น สภาพแวดล้อมในชนบทและเมือง และอื่นๆ พวกเขาอาจต้องเผชิญกับรูปแบบของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีทางออนไลน์ที่มีลักษณะเฉพาะและมีความทับซ้อนกัน

ในปี 2561 เราพบว่าผู้หญิงที่มีผิวสี (ทั้งผู้หญิงผิวดำ เอเชีย ละตินและลูกครึ่ง) มีแนวโน้มที่จะถูกกล่าวถึงในเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเนื้อหาที่สร้างความเจ็บปวดหรือสร้างความเกลียดชังซ้ำๆ มากกว่าผู้หญิงผิวขาวถึง 34% โดยเฉพาะผู้หญิงผิวดำที่ตกเป็นเป้าหมายอย่างไม่ได้สัดส่วนมากที่สุด เพราะมีแนวโน้มที่จะถูกกล่าวถึงในทวีตที่ไม่เหมาะสมหรือสร้างความเจ็บปวดหรือสร้างความเกลียดชังซ้ำๆ มากกว่าผู้หญิงผิวขาวถึง 84%

ความรุนแรงทางเพศทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นทางออนไลน์หรือออฟไลน์ ล้วนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายระหว่างประเทศ

รูปแบบทั่วไปบางประการของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีได้แก่:

  • การจงใจรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวที่มีอยู่แล้วบนอินเทอร์เน็ตของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล (Doxing): เป็นการเผยแพร่ข้อมูลหรือเอกสารระบุตัวตนของใครบางคนทางออนไลน์โดยไม่ได้รับความยินยอม โดยมักมีเจตนาร้าย ข้อมูลเหล่านี้อาจรวมถึงที่อยู่ของบ้านที่อาศัย ชื่อจริง ชื่อลูก หมายเลขโทรศัพท์ หรือที่อยู่อีเมลของบุคคลนั้น 
  • การข่มขู่คุกคามว่าจะใช้ความรุนแรง: การข่มขู่คุกคามโดยตรงและโดยอ้อม เช่น การข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายหรือคุกคามทางเพศ ซึ่งบางครั้งอาจลุกลามไปสู่โลกออฟไลน์ได้อย่างรวดเร็ว
  • การล่วงละเมิดผ่านภาพและวิดีโอ: การใช้ภาพหรือวิดีโอในการข่มขู่และคุกคาม ซึ่งรวมถึงการเผยแพร่ภาพลับโดยไม่ได้รับความยินยอม การถ่ายภาพหรือวิดีโอลับของบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม ภาพปลอมที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี (deepfake) หรือภาพที่ถูกดัดแปลงให้แสดงในลักษณะลามกอนาจาร รวมถึงการส่งภาพหรือข้อความทางเพศโดยไม่ได้รับการร้องขอไปยังผู้อื่น
  • การคุกคามทางออนไลน์หรือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์: การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อข่มขู่ คุกคาม ก่อให้เกิดความทุกข์ใจ ปิดปากหรือโจมตีผู้หญิง เด็กหญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศโดยใช้ถ้อยคำหรือภาพที่ไม่เหมาะสมในช่วงเวลาสั้นๆ ในระหว่างการพิมพ์แสดงความคิดเห็นหรือกระทำอย่างเป็นขบวนการ
  • คำพูดที่แสดงความเกลียดชังและการใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย: การใช้ถ้อยคำดูหมิ่น เหยียดหยามหรือหยาบคายโดยเจตนาเพื่อกล่าวถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคลบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ของพวกเขา รวมถึงเพศและ/หรือรสนิยมทางเพศ ซึ่งเป็นการลดทอนความเป็นมนุษย์และส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงต่อผู้หญิง เด็กหญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ
  • การเปิดเผยความลับ (Outing): การเปิดเผยรสนิยมทางเพศและ/หรืออัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลโดยไม่ได้รับความยินยอม และเป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวของพวกเขา
  • การแบล็กเมล์ทางดิจิทัล (Digital blackmail): การขโมยข้อมูลดิจิทัลของบุคคลอื่นแล้วนำมาใช้ในการบีบบังคับให้เขากระทำสิ่งต่าง ๆ เช่น เรียกร้องเงิน ภาพถ่ายหรือภาพลับหรือกระทำกิจกรรมทางเพศ 
  • การสอดแนมโดยระบุเป้าหมาย (Targeted surveillance): การสอดแนมที่มุ่งเป้าไปยังบุคคลหรือองค์กรเป็นการเฉพาะ เช่น การใช้สปายแวร์เพื่อเข้าถึงและติดตามกิจกรรมและข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา ผู้หญิง เด็กหญิงและนักเคลื่อนไหวที่เป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมักต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงกว่าหากความเป็นส่วนตัวของพวกเขาถูกละเมิด เนื่องจากข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาอาจถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือโจมตีพวกเขาในรูปแบบต่างๆ 

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงบางรูปแบบของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีเท่านั้น เนื่องจากความรุนแรงลักษณะนี้สามารถนิยามได้หลากหลายและเพราะเทคโนโลยีรวมถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานยังคงพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ความรุนแรงทางออนไลน์ ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมอย่างการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์และการคุกคามทางออนไลน์ อาจเป็นอันตรายและส่งผลกระทบจริงไม่ต่างกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อหน้าในชีวิตจริง ภาพโดย ©Bakarmax

อันตรายของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี

มนูญ วงษ์มะเซาะห์ เธอเป็นผู้หญิงข้ามเพศจากประเทศไทยที่ทำงานเพื่อการคุ้มครองสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่นับถือศาสนาอิสลาม ภาพโดย ©Amnesty International

เมื่อผู้หญิง เด็กหญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศถูกโจมตีด้วยความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี มันทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มากขึ้นในการเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในการสื่อสารทางออนไลน์และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล

นอกจากนี้ ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายทางจิตใจที่ร้ายแรงซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพวกเขา รวมถึงภาวะต่างๆ เช่น โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) อาการหวาดระแวง ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ซึ่งอาจนำไปสู่การทำร้ายตัวเองได้ ตัวอย่างเช่น ทรานส์เจนเดอร์และบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลายส่วนใหญ่เล่าว่าการตกเป็นเป้าโจมตีทางออนไลน์ส่งผลกระทบด้านลบอย่างมากต่อความปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ของพวกเขา

ลักษณะของความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ที่แพร่หลายและรุนแรงทำให้หลายคน รวมถึงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ต้องแยกตัวออกจากชุมชนออนไลน์โดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ทำให้ความรุนแรงทางออนไลน์ไม่เพียงเป็นปัญหาของการเลือกปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ละเมิดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้คนด้วย

การตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยียังสามารถนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจได้ด้วย เนื่องจากผู้หญิง เด็กหญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศถูกบังคับให้ลดการแสดงตัวตนทางดิจิทัลของตนเองลง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงข้อมูลและบริการต่างๆ อีกทั้งยังสามารถนำไปสู่การโจมตี การละเมิดและการล่วงละเมิดในโลกออฟไลน์ได้เช่นเดียวกัน

เทคโนโลยีดิจิทัลมีความสำคัญมากสำหรับการเคลื่อนไหว
แต่ในขณะนี้มันไม่ใช่พื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีความหลากหลาย
ทางเพศและผู้หญิงเลย

นิชการ วงศ์วิเศษ นักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นอนไบนารี

กรณีศึกษา: เนื้อหาจากทวิตเตอร์ที่เป็นพิษ (Toxic Twitter)

ในปี 2561 เราได้เริ่มแคมเปญเรียกร้องให้ทวิตเตอร์ดำเนินการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศที่แพร่หลายบนแพลตฟอร์มดังกล่าว ซึ่งแคมเปญนี้เกิดขึ้นจากงานวิจัยที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่เป็นอันตรายของความรุนแรงและการล่วงละเมิดต่อผู้หญิงบนทวิตเตอร์ รวมถึงการทำให้ผู้หญิงต้องเซ็นเซอร์ตัวเองในสิ่งที่โพสต์ จำกัดหรือเปลี่ยนแปลงการมีปฏิสัมพันธ์ทางออนไลน์ หรือบางครั้งทำให้ผู้หญิงต้องออกจากแพลตฟอร์มไปโดยสิ้นเชิง และก่อให้เกิดผลกระทบที่ทำให้ผู้หญิงหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะออกมาพูด

เราได้สัมภาษณ์บุคคลที่มีอิทธิพล เช่น นักออกแบบเกม โซอี้ ควินน์ และนักการเมืองอังกฤษ ไดแอน แอบบอตต์ ซึ่งพูดถึงผลกระทบที่มีต่อชีวิต อาชีพและสุขภาพจิตของพวกเขาจากการตกเป็นเป้าหมายของความรุนแรงทางออนไลน์

แคมเปญดังกล่าวได้เสนอข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการเฉพาะที่ทางทวิตเตอร์สามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงการตรวจสอบและการรายงาน รวมถึงการปราบปรามความรุนแรงทางออนไลน์

การปิดปากผู้เห็นต่างด้วยความรุนแรงทางออนไลน์

เราทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก ทั้งในพื้นที่ออนไลน์และออฟไลน์

พื้นที่ออนไลน์ เช่น โซเชียลมีเดีย สามารถสร้างชีวิตและปลุกพลังให้กับการเคลื่อนไหวและความยุติธรรมทางสังคม โซเชียลมีเดียทำให้การแบ่งปันและการค้นหาข้อมูลเป็นเรื่องที่เปิดกว้างมากขึ้น และช่วยขยายเสียงของผู้คนที่อาจถูกละเลยและถูกเพิกเฉยในสังคม นอกจากนี้ยังสร้างพื้นที่สำหรับการชุมนุมประท้วงทางออนไลน์ ซึ่งผู้คนสามารถเชื่อมโยงและรวมตัวกันเป็นกลุ่มในโลกดิจิทัล เป็นการนำพาผู้คนมารวมกันในรูปแบบที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในโลกออฟไลน์

แต่ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีกลับเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อการแสดงออกและการเคลื่อนไหวของผู้หญิง เด็กหญิงและกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ

มันอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินหน้าผลักดันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อคุณตกเป็นเหยื่อของการใส่ร้ายป้ายสี หรือเมื่อคุณพบว่ารัฐบาลของคุณใช้สปายแวร์เพื่อติดตามกิจกรรมของคุณ หรือเมื่อคุณต้องเผชิญกับการคุกคามทางเพศในโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

การสร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว

ประสบการณ์เหล่านี้บีบบังคับให้ผู้หญิง เด็กหญิง นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศต้องออกจากพื้นที่ออนไลน์หรือมีส่วนร่วมในพื้นที่เหล่านั้นน้อยลง และในสังคมที่การพูดคุยและการสื่อสารสาธารณะจำนวนมากเกิดขึ้นทางออนไลน์ การตัดสินใจลดการมีส่วนร่วมในโลกออนไลน์ลงนั้น เท่ากับว่าได้จำกัดบทบาทในการเคลื่อนไหวและการเข้าถึงข้อมูลของตนเองด้วย

บ่อยครั้ง การปิดปากแบบนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลเป็นผู้กระทำ พวกเขาใช้กลยุทธ์ต่างๆ ที่มีจุดประสงค์เฉพาะเพื่อข่มขู่ให้ผู้คนหวาดกลัวจนไม่กล้าแสดงออก การสัมภาษณ์ของเรากับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เคยเผชิญกับความรุนแรงทางออนไลน์ สะท้อนสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเรียกว่า ‘การสร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว’ (the chilling effect)

การสัมภาษณ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เคยเผชิญกับความรุนแรงทางออนไลน์ สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเรียกว่า “การสร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว” (the chilling effect) ภาพโดย ©Colin Foo

กรณีศึกษา: ประเทศไทย

หลังจากที่เราได้พูดคุยกับผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยหลายสิบคน เราพบว่า ผู้กระทำทั้งที่เป็นตัวแทนของรัฐและที่ไม่ใช่รัฐ มักใช้พื้นที่ออนไลน์เป็นอาวุธเพื่อโจมตี ข่มขู่ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและลดทอนความน่าเชื่อถือของผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นประจำ

นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวตกเป็นเป้าหมายของการสอดแนม รวมถึงสปายแวร์เพกาซัสและการโจมตีบัญชีเฟซบุ๊กของพวกเขา เราพบว่าวิธีการคุกคามทางออนไลน์ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีอยู่ 4 รูปแบบหลักคือ 

  • การใช้ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชังและดูหมิ่นเหยียดหยาม
  • การใส่ร้ายป้ายสีแบบเจาะจงเป้าหมาย
  • การจงใจรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวที่มีอยู่แล้วบนอินเทอร์เน็ตของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล (doxing)
  • การข่มขู่ว่าจะใช้ความรุนแรงทางเพศ

ท้ายที่สุดแล้ว การใช้ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยีต่อนักเคลื่อนไหวในประเทศไทยนำไปสู่บรรยากาศที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว

นักเคลื่อนไหวและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้บอกกับเราว่า สุขภาพจิตของพวกเขาได้รับผละกระทบอย่างรุนแรงและพวกเขาไม่สามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากใครได้เลย ผลที่ตามมาคือผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเล่าว่าพวกเขารู้สึกว่าตนเองถูกขัดขวางไม่ให้แสดงออกหรือแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่และไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวในพื้นที่ดิจิทัลได้ บรรยากาศที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวเช่นนี้ไม่ได้ส่งผลแค่กับบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายโดยตรงจากการสอดแนมหรือการคุกคามทางออนไลน์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกับคนอื่นในกลุ่มที่พวกเขาทำงานอยู่ด้วย

อัญชนา หีมมิหน๊ะ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย อัญชนาตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีและการใส่ร้ายป้ายสีในทางออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่เธอเชื่อว่าเป็นฝีมือของรัฐหรือผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ©Amnesty International

เสรีภาพในการแสดงออกทางออนไลน์ในประเทศไทย

การรัฐประหารโดยทหารในปี 2557 คือจุดเริ่มต้นในความพยายามที่ยาวนานของทางการไทยในการปิดปากนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักข่าวและนักการเมืองฝ่ายค้าน โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ หลายคนหวังว่าการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 จะสิ้นสุดการปราบปรามซึ่งมีเป้าหมายเป็นบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ในโลกออนไลน์รวมถึงใครก็ตามที่มีแนวคิดต่างจากสิ่งที่รัฐบาลยอมรับ แต่ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ประเทศไทยกลับไม่แสดงสัญญาณว่าจะผ่อนปรนข้อจำกัดด้านเสรีภาพในการแสดงออกทางออนไลน์ แทนที่เจ้าหน้าที่รัฐจะยกเลิกวิธีการเอาผิดกับเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล แต่รัฐกลับดำเนินคดีกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังคุกคามและข่มขู่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตด้วยเพียงเพราะพวกเขาใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกทางออนไลน์อย่างสงบ

นับตั้งแต่การเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562 ทางการไทยยังคงดำเนินคดีอาญากับบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของรัฐบาล ไม่ว่าพวกเขาจะวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งประเทศไทย แต่พวกเขากลับต้องเผชิญกับโทษจำคุกและค่าปรับที่สูง ในหลายกรณีรัฐบาลพุ่งเป้าฟ้องร้องคดีอาญากับบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อส่งข้อความไปยังผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนอื่นๆ ว่าทางการไทยไม่อดกลั้นต่อความเห็นต่าง กลยุทธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว รวมถึงเพื่อยับยั้งการโพสต์และแชร์เนื้อหาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของรัฐบาลที่รัฐถือว่าเป็น “ข้อมูลเท็จ”

หลังจากมีการระบาดของโรคโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งถือว่ารัฐบาลเพิ่มข้อจำกัดด้านเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบอย่างมีนัยยะสำคัญ รัฐบาลใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ทันทีเพื่อให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการเซ็นเซอร์เนื้อหาเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่รัฐถือว่าเป็น “ข้อมูลเท็จ” หรืออาจก่อให้เกิดความตระหนกในหมู่ประชาชน

ข้อความไม่ชัดเจน บทบัญญัติที่คลุมเครือในกฎหมายที่มีปัญหาหลายฉบับยังคงเปิดช่องว่างให้รัฐบาลข่มขู่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐ เช่น พระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์) มาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (การยุยงปลุกปั่น) และมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ)

นอกจากนี้รัฐบาลยังกำหนดให้การหมิ่นประมาทเป็นคดีอาญาและเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้เจ้าหน้าที่สกัดกั้นความเห็นต่าง การฟ้องร้องดำเนินคดีโดยรัฐบาลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 ชี้ให้เห็นแนวโน้มการควบคุมพื้นที่ออนไลน์มากขึ้นเพื่อยับยั้งการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก รัฐบาลพยายามใช้วิธีการใหม่ๆ ที่เพิ่มข้อจำกัดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจำกัดการแสดงออกบนโลกออนไลน์ ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังได้ยับยั้งการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนต่อวิธีการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาลอีกด้วย

เจ้าหน้าที่รัฐได้บังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือแม้กระทั่งกับบุคคลทั่วไปที่ใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก นอกจากนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐยังได้บังคับใช้กฎหมายเพื่อขัดขวาง ปิดกั้นและควบคุมกิจกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน เช่น การใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากเป็นกฎหมายที่เปิดช่องทางให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีกับใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์องค์กรหรือเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้ง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ที่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ก็เป็นกฎหมายที่อาจอนุญาตให้รัฐบาลสามารถเข้าค้นและยึดข้อมูลและอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ในกรณีที่อาจตีความว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ทำให้รัฐสามารถตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตและเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น การสื่อสารระหว่างบุคคลโดยปราศจากหมายศาล

ในเดือนพฤศจิกายน 2562 มีการเปิดตัวศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมที่ดำเนินการโดยภาครัฐ ซึ่งเพิ่มความกังวลของประชาชนต่อรัฐบาลที่เชื่อว่าหน่วยงานของตนเป็นผู้ควบคุมมาตรฐานการต่อสู้กับ “ข่าวปลอม” ในสื่อออนไลน์ แม้ว่าหน่วยงานรัฐอื่นที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ฯ จะดำเนินงานเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของ “ข้อมูลเท็จ” ในประเด็นสำคัญบางประเด็น แต่ไม่ได้ดำเนินงานเพื่อรับมือต่อการระบาดของโรคโควิด-19 อีกทั้งเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการช่วยเหลือตามข้อร้องเรียนของบุคคลที่ตกเป็นเป้าหมายของวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง และการรณรงค์ทางออนไลน์ด้วยข้อมูลเท็จ แม้รัฐบาลจะพยายามทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยมากขึ้น แต่กลับไม่ครอบคลุมไปยังผู้ที่มีความเห็นต่าง

อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐมีความพยายามสอดแนมข้อมูลคนทำงานภาคประชาสังคม บุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นที่จับตามองของประชาชนทั่วไปมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของการส่งคำขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก การส่งลิ้งค์ที่นำไปสู่เว็บไซด์ที่ปลอมแปลงขึ้นเพื่อล่อลวงให้กรอกข้อมูลส่วนตัว (phishing link) อีกทั้งปฏิบัติการสารสนเทศจากฝ่ายรัฐ (Information Operation – IO)

ในปลายปี 2561 รัฐบาลได้เปิดเผยแผนการผลักดัน “ศูนย์ไซเบอร์กองทัพบก” ในลักษณะการรับมือแบบสงครามไซเบอร์ ซึ่งกองกำลังไซเบอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสอดส่องสื่อสังคมออนไลน์และการสื่อสารออนไลน์ของคนทำงานภาคประชาสังคมเพื่อระบุตัวผู้เห็นต่างและมีความเป็นไปได้ที่กองทัพไซเบอร์นั้นจงใจปล่อยข่าวปลอมเพื่อคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทางโซเชียลมีเดียหรือแม้กระทั่งดำเนินคดีกับประชาชนทั่วไปที่พยายามใชสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกของตน

ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ระบุว่ารัฐบาลมีเป้าหมายในการควบคุมข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลทางออนไลน์โดยผ่านการบังคับใช้กฎหมายที่คลุมเครือและจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาบางอย่าง

คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในฐานะหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับดูแลการบังคับใช้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ได้กล่าวว่า “มาตรการที่จำกัดสิทธิต้องสอดคล้องกับหลักการความได้สัดส่วน ต้องมีความเหมาะสมในการบรรลุหน้าที่คุ้มครอง ต้องเป็นเครื่องมือที่ล่วงล้ำสิทธิมนุษยชนน้อยที่สุดจากมาตรการทั้งหมดเพื่อบรรลุหน้าที่คุ้มครองและต้องได้สัดส่วนกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการคุ้มครอง”

ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัลสำหรับภาคประชาสังคม

ศูนย์รวมข้อมูลฯ เป็นการจัดทำโดย Security Lab ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักข่าวและคนทำงานภาคประชาสังคมอื่นๆ

มีแหล่งทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมมากมายเพื่อสนับสนุนให้สังคมดิจิทัลสามารถพัฒนาและคุ้มครองภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัลได้ และศูนย์ข้อมูลฯ นี้จะสนับสนุนความสามารถในการจำแนกทรัพยากรที่เข้าถึงได้ เป็นประโยชน์ มีการอัพเดตและไม่มีค่าใช้จ่าย

รัฐบาลและหน่วยงานที่ไม่ใช่รัฐมักใช้การโจมตีทางดิจิทัลเพื่อสอดแนมข้อมูล คุกคามและข่มขู่นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักข่าวและคนทำงานภาคประชาสังคมอื่น ๆ

รูปแบบของการโจมตีทางดิจิทัลอาจประกอบด้วย:

  • การโจมตีด้วยมัลแวร์ รวมทั้งการใช้สปายแวร์โจมตีอุปกรณ์มือถือและคอมพิวเตอร์ และมัลแวร์เรียกค่าไถ่
  • การโจมตีโดยใช้เทคนิคทางจิตวิทยาสังคม เช่น การโจมตีแบบฟิชชิง (phishing) และการแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น
  • ภัยคุกคามต่อการให้บริการ รวมทั้งการให้บริการทางอินเทอร์เน็ต และการโจมตีโดยปฏิเสธการให้บริการ (การโจมตีแบบ DoS: Denial-of-Service)  
  • การจงใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
  • การคุกคามทางออนไลน์ รวมทั้งความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี (Technology-facilitated gender-based violence: TfGBV)
  • การจงใจรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวที่มีอยู่แล้วบนอินเทอร์เน็ตของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล (doxing) 
  • การแบล็กเมล์ (blackmailing) 
  • การเข้ายึดบัญชี
  • การสอดแนมข้อมูลทางดิจิทัล

เราไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีทั้งหมดได้ แต่เราสามารถสนับสนุนบุคคลและหน่วยงานในการเพิ่มภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัล เพื่อคุ้มครองข้อมูล บัญชีการใช้งาน อุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานได้

Security Lab ทำงานสอบสวนและเก็บข้อมูลการปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิมนุษยชนที่เชื่อมโยงกับการใช้สปายแวร์และเทคโนโลยีสอดแนมข้อมูล รวมทั้งภัยคุกคามทางดิจิทัลอย่างมีเป้าหมายโดยเฉพาะกับภาคประชาสังคม

ศูนย์รวมข้อมูลฯ นี้ให้ข้อเสนอแนะในการคุ้มครองอุปกรณ์และข้อมูลของท่าน ให้ปลอดภัยจากการสอดแนมข้อมูลทางดิจิทัล รวมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่จะช่วยให้สร้างภูมิคุ้มกันในโลกดิจิทัลของคุณ

แอมเนสตี้ทำอะไรบ้างเพื่อหยุดยั้งความรุนแรงผ่านการใช้เทคโนโลยีและความรุนแรงทางออนไลน์อื่นๆ?

เรากำลังดำเนินการรณรงค์อย่างเต็มที่เพื่อยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี รวมถึงความรุนแรงทางออนไลน์ในทั่วทุกพื้นที่ นักวิจัยของเราได้พูดคุยกับผู้คนจากทั่วโลกเพื่อให้แคมเปญและข้อเสนอแนะของเรามีรากฐานมาจากประสบการณ์จริง

ในฐานะที่เป็นการเคลื่อนไหวระดับโลก เราจัดแคมเปญที่สอนผู้คนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงการล็อบบี้รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีให้ดำเนินการอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาในการปกป้องสิทธิของผู้คนในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะผู้หญิง ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศและนักเคลื่อนไหว นอกจากนี้เรายังสนับสนุนภาคประชาสังคมในการสร้างและปกป้องความสามารถในการปรับตัวทางดิจิทัลของพวกเขาอีกด้วย

ผ่านแคมเปญใหม่ ซึ่งเป็นแคมเปญระดับโลกของเราที่ชื่อว่า Make It Safe Online เรากำลังเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกดำเนินการและปกป้องสิทธิในการชุมนุมประท้วงสำหรับผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ

เรามีความเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าในอนาคต พื้นที่ออนไลน์จะเป็นพลังที่ดีและเป็นพลังที่แท้จริงที่ผู้คนจะรู้สึกปลอดภัยในการมีส่วนร่วมและแสดงออกอย่างเสรีโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความรุนแรง

แต่เราต้องการความช่วยเหลือจากคุณเพื่อทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวกลายเป็นความจริง

แคมเปญ “Make it Safe Online” ของเรา เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อปกป้องผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงสิทธิของพวกเขาในการชุมนุมประท้วงอย่างปลอดภัย

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยในประเด็นเสรีภาพในการแสดงออกทางออนไลน์ให้

  • รัฐบาลต้องยุติการดำเนินการแก้ไขพัฒนาการที่ถดถอย ที่สำคัญคือต้องยุติการใช้กฎหมายอาญาต่อบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และมาตรา 112 116 และ 326 ถึง 333 แห่งประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 
  • รัฐบาลต้องแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายที่จำกัดการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกทางออนไลน์ รัฐบาลควรยุติการดำเนินคดีอาญากับผู้วิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้โดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข 
  • หากรัฐบาลมีความตั้งใจจะยับยั้งการเผยแพร่ “ข่าวปลอม” รัฐควรจ้างหน่วยงานภายนอกที่น่าเชื่อถือและเป็นอิสระเพื่อตรวจสอบเนื้อหาออนไลน์รวมถึงยุติบทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการตรวจสอบข้อเท็จจริง
  • รัฐบาลต้องจัดตั้งหน่วยงานเพื่อปฏิรูปการดำเนินงานให้หลายด้าน ในฐานะรัฐภาคีแห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เนื่องจากประเทศไทยมีพันธกรณีระหว่างประเทศในการเคารพสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก รวมถึงการแสดงออกทางออนไลน์ 
  • รัฐบาลต้องดำเนินการมากขึ้นเพื่อรับประกันว่าได้ปฏิบัติตามพันธกรณีในการเคารพ ปกป้อง ส่งเสริมและเติมเต็มสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแสดงออกทางออนไลน์
  • รัฐบาลต้องยุติกระบวนการทางอาญาทั้งหมดต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรม นักข่าว นักการเมืองและผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายเพียงเพราะใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกโดยสงบ พร้อมทั้งปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวโดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข
  • รัฐบาลต้องยุติการฟ้องคดีทางอาญาต่อบุคคลเพียงเพราะการใช้สิทธิมนุษยชน รวมถึงสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกทางออนไลน์
  • รัฐบาลต้องยุติการมีส่วนร่วมของกระทรวงเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมในศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและในการดำเนินงานตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งจัดตั้งหน่วยงานภายนอกที่เป็นกลาง ถ่วงดุลและเป็นอิสระเพื่อตรวจสอบกรณีการร้องเรียนข้อเท็จจริงที่อาจก่อให้เกิดอันตราย
  • รัฐบาลต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตให้สามารใช้สิทธิมนุษยชนได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกโดยปราศจากการข่มขู่ คุกคาม จับกุมหรือดำเนินคดี

ข้อมูลเพิ่มเติม