ภาพรวม

ทั่วโลก มีชนเผ่าพื้นเมืองมากกว่า 5,000 กลุ่ม คิดเป็นจำนวนประชากรราว 476 ล้านคน หรือประมาณ 6.2% ของประชากรโลก พวกเขากระจายตัวอยู่ในกว่า 90 ประเทศทั่วทุกภูมิภาคของโลกและพูดภาษามากกว่า 4,000 ภาษา ชนเผ่าพื้นเมืองส่วนใหญ่ประมาณ 70% อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย
แม้ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองจะแตกต่างกัน แต่พวกเขากลับต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายที่มีลักษณะเดียวกันทั่วโลก พวกเขามักจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการถูกกีดกันและการเลือกปฏิบัติอย่างร้ายแรง
ชนเผ่าพื้นเมืองต้องเผชิญกับการถูกขับไล่ออกจากที่ดินของบรรพบุรุษที่พวกเขาอยู่อาศัยมานานหลายชั่วอายุคน ถูกปฏิเสธไม่ให้แสดงออกซึ่งวัฒนธรรมของชนเผ่าตัวเองหรือถูกปฏิบัติในฐานะพลเมืองชั้นสอง รวมถึงถูกจำกัดการเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาลและที่อยู่อาศัย
ชนเผ่าพื้นเมืองมักถูกผลักให้เป็นกลุ่มคนชายขอบและต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้นๆ ซึ่งทำให้พวกเขาต้องเสี่ยงต่อการถูกใช้ความรุนแรงและการถูกละเมิดมากขึ้น นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองมักต้องเผชิญกับการถูกข่มขู่ ถูกทำร้าย และบางครั้งถึงขั้นถูกสังหารเพียงเพราะสถานะของพวกเขา ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
ความพยายามในการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมหรือการครอบครองที่ดินดั้งเดิมที่อุดมไปด้วยทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพของชนเผ่าพื้นเมืองนี้ มักนำไปสู่การถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏหรือผู้ก่อการร้าย
ชนเผ่าพื้นเมืองมีแนวโน้มที่จะต้องทนทุกข์กับความยากจนขั้นรุนแรง การถูกเลือกปฏิบัติที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นเหตุผลว่าทำไมชนเผ่าพื้นเมืองกว่าร้อยละ 15 ของโลกมีสถานะที่ยากจนที่สุด นอกจากนี้ ชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกยังต้องเผชิญกับอัตราไร้ที่ดินทำกิน ภาวะทุพโภชนาการหรือขาดสารอาหารและการพลัดถิ่นภายในประเทศในระดับที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ พวกเขาติดอันดับสูงสุดในด้านจำนวนผู้ต้องขัง การไม่รู้หนังสือและการว่างงาน ขณะที่อายุขัยของพวกเขาอาจสั้นกว่าคนที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองถึง 20 ปี
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลทำงานเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในทุกภูมิภาคทั่วโลกและเรียกร้องให้รัฐต่างๆ ใช้และพัฒนากฎหมายที่จำเป็นเร่งด่วนเพื่อปกป้องดินแดน วัฒนธรรมและการดำรงชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง

ภาพรวมของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
เกิดความถดถอยในสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในหลายประเทศ ชนเผ่าพื้นเมืองรวมถึงชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือทางเชื้อสายที่สืบทอดกันมา ยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการถูกกีดกัน ถูกทำให้เป็นคนชายขอบและการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมในหลายพื้นที่ทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ในความคืบหน้าเชิงบวก ชนเผ่าพื้นเมืองในไต้หวันได้รับสิทธิในการใช้ชื่อพื้นเมืองของตน แทนที่จะต้องใช้ชื่อเป็นภาษาจีนกลางในเอกสารราชการ แต่ในทางกลับกัน รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ออกกฎหมายใหม่และเสนอร่างกฎหมายอื่นๆ ที่ลดทอนสิทธิของชาวเมารี ทำให้เกิดเกิดการชุมนุมประท้วงทั่วประเทศ
ในประเทศอื่นๆ รวมถึงอินโดนีเซียและมาเลเซีย โครงการพัฒนาในพื้นที่ที่ชนเผ่าพื้นเมืองอ้างสิทธิครอบครอง ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการยินยอมอย่างเต็มใจ แจ้งให้ทราบล่วงหน้าและโดยมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์จากชุมชนพื้นเมือง
ในประเทศมองโกเลีย ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบของการทำเหมืองที่มีต่อชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ของชุมชนที่เลี้ยงสัตว์
ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ชนเผ่าพื้นเมืองถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ในระบบยุติธรรมทางอาญาอย่างไม่ได้สัดส่วนและเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในออสเตรเลีย เด็กที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองอะบอริจินและชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะบริเวณช่องแคบทอร์เรสต้องเผชิญกับอัตราการถูกคุมขังที่สูงมาก โดยมีรายงานว่าเด็กชายชาวอะบอริจินสามคนเสียชีวิตในสถานกักกันในออสเตรเลียตะวันตก
ในประเทศเวียดนาม ชนเผ่าพื้นเมืองชาวมองตานญาด (Montagnard) ยังคงต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ โดยมีมากกว่า 100 คนถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาก่อการร้ายจากกระบวนการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากเหตุการณ์โจมตีป้อมตำรวจในปี 2566
รัฐบาลจีนยังคงปราบปรามกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่มีเชื้อสายฮั่น รวมถึงการควบคุมตัวโดยพลการต่อผู้นำทางวัฒนธรรมและศาสนา ขณะเดียวกัน มีรายงานอาชญากรรมจากความเกลียดชังต่อชาวมุสลิมและชนกลุ่มน้อยทางศาสนาอื่นๆ หลายร้อยกรณีในประเทศอินเดีย ซึ่งศาลตัดสินว่าให้บุคคลกว่า 100 คนมีความผิดฐานวางเพลิงเผาบ้านของชาวดาลิตในปี 2557
การเป็นชนเผ่าพื้นเมืองหมายถึงอะไร?
ชนเผ่าพื้นเมืองสามารถระบุได้จากลักษณะบางประการ ได้แก่:
- สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเขาระบุอัตลักษณ์ของตนเองว่าเป็นชนเผ่าพื้นเมือง
- บรรพบุรุษของพวกเขามีสายสัมพันธ์ร่วมกับผู้ที่เคยอยู่อาศัยในประเทศหรือภูมิภาคนั้นมาก่อนที่จะถูกยึดครองหรือก่อนที่ประชากรกลุ่มอื่นจะเข้ามามีอำนาจเหนือกว่า
- พวกเขามีความผูกพันและความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับดินแดนและทรัพยากรธรรมชาติโดยรอบเป็นการเฉพาะ
- พวกเขามีระบบสังคม เศรษฐกิจหรือการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งพวกเขาตั้งใจจะรักษาและสืบทอดต่อไป
- พวกเขามีภาษา วัฒนธรรมและความเชื่อที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพวกเขาเอง
- พวกเขามักถูกกีดกันออกจากการเมืองและสังคม ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นคนชายขอบและถูกเลือปฏิบัติโดยรัฐ
- พวกเขารักษาและพัฒนาสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่ม
ชนเผ่าพื้นเมืองมักมีความสัมพันธ์พิเศษกับดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน อีกทั้ง พวกเขามีความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับวิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์หรือผู้ดูแลแผ่นดินสำหรับคนรุ่นต่อไป ดังนั้น การสูญเสียดินแดนของพวกเขาหมายถึงการสูญเสียเอกลักษณ์ของพวกเขาด้วย

เมื่อเราพูดถึงชนเผ่านพื้นเมือง เราจะใช้คำหรือภาษาอย่างไรที่สามารถครอบคลุมถึงพวกเขาได้?
คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” ถูกใช้ในเอกสารต่างๆ รวมถึงปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง เนื่องจากภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ คำว่า “ประชาชน” (peoples) มีนัยทางกฎหมายที่สำคัญในการยืนยันสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง
องค์การสหประชาชาติในปัจจุบันใช้คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” (Indigenous Peoples) ด้วยอักษรตัวใหญ่ตามคำเรียกร้องของตัวแทนชนเผ่าพื้นเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ยอมรับสถานะของพวกเขาในฐานะ “ประชาชน” ตามกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง
คำอื่นๆ เช่น “ชุมชน” “กลุ่ม” และ “ชนกลุ่มน้อย” มักถูกใช้แทนคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” อย่างไรก็ตาม คำเหล่านี้ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐอาจใช้ถ้อยคำอื่นๆ เหล่านี้เพื่อจงใจปฏิเสธหรือบ่อนทำลายสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเองที่คำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” มอบให้ คำอื่นๆ เหล่านี้จะมีความสำคัญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์และควรใช้ก็ต่อเมื่อคนที่เกี่ยวข้องเลือกใช้คำเหล่านั้นด้วยตนเองเท่านั้น
คำว่า ชนพื้นเมืองหรือชนพื้นเมืองดั้งเดิม ชาวอะบอริจิน (Aboriginal) ชนชาติแรก (First Nation) หรือชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) อาจเป็นคำเรียกรวมที่นิยมใช้ในบางภูมิภาคหรือบางบริบท ในบางประเทศอาจมีคำศัพท์เฉพาะ เช่น Adivasis (อินเดีย) หรือ Janajatis (เนปาล) เป็นต้น แต่เมื่อกล่าวถึงชนเผ่าพื้นเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ โดยทั่วไปแล้วควรใช้ชื่อเฉพาะของชนเผ่าพื้นเมืองกลุ่มนั้นๆ จะดีที่สุด
กฎหมายระหว่างประเทศและชนเผ่าพื้นเมือง
สิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองได้บัญญัติอยู่ในปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งปฏิญญานี้ได้รับการลงนามเห็นชอบในปีพ.ศ. 2550
นอกจากนี้ เวทีถาวรสหประชาชาติว่าด้วยชนเผ่าพื้นเมือง (United Nations Permanent Forum on Indigenous Issues, UNPFII) เป็นหน่วยงานกลางของสหประชาชาติซึ่งมีหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าพื้นเมือง เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม การศึกษาสุขภาพและสิทธิมนุษยชน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2543
ชนเผ่าพื้นเมืองถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไรบ้าง?
การละเมิดสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง
แม้ว่าชนเผ่าพื้นเมืองบางกลุ่มจะสามารถปกครองตนเองได้ แต่หลายกลุ่มยังคงถูกปฏิเสธสิทธิในการเลือกตั้งรัฐบาลหรือระบบการเมืองของตนเองอย่างเสรี ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ชนเผ่าพื้นเมืองเคยปกครองตนเองอย่างเสรีมาเป็นเวลานานหลายพันปี ก่อนที่ผู้ล่าอาณานิคมจะเข้ามายึดครองตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา
สิทธิเหล่านี้อยู่ภายใต้คำเรียกรวมของคำว่า “สิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตตนเอง” ซึ่งเป็นสิทธิที่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ หมายถึงสิทธิของประชาชนในการกำหนดสถานะทางการเมืองของตนเองอย่างเสรี กำหนดรูปแบบการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของตนได้อย่างอิสระ สิทธินี้ได้รับการรับรองในเครื่องมือทางกฎหมาย เช่น ปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองและแก้ไขผลกระทบของลัทธิล่าอาณานิคมที่มีต่อชนเผ่าพื้นเมือง

การถูกกลืนกลายโดยบังคับ (Forced assimilation)
ในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 แคนาดาได้แยกเด็กที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองออกจากครอบครัวแล้วส่งพวกเขาไปยังโรงเรียนประจำที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กเหล่านี้ซึมซับและกลมกลืนเข้ากับสังคมแคนาดาโดยรวมมากขึ้น โรงเรียนประจำที่รู้จักกันในชื่อ “Indian Residential Schools” หรือ “โรงเรียนของชาวอินเดียน” เด็กๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ภาษาพื้นเมืองของตนเองหรือแสดงออกถึงมรดกทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชนเผ่า ผลที่ตามมาคือ “ชาวอะบอริจินไม่สามารถดำรงชีวิตในฐานะชนเผ่าพื้นเมืองที่มีรัฐบาล วัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของตนเองได้อีกต่อไป” มีการประเมินว่า เด็กจากกลุ่มชาติพันธุ์ชนชาติแรกราว 150,000 คนต้องเผชิญกับการล่วงละเมิดในโรงเรียนเหล่านี้
เด็กที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองในออสเตรเลียก็ถูกบังคับให้กลืนกลายและหลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมของคนผิวขาวเช่นกัน โดยถูกส่งตัวไปอยู่ในสถาบันต่างๆ ซึ่งพวกเขาต้องเผชิญกับการล่วงละเมิดและการถูกละเลย เด็กเหล่านี้เป็นที่รู้จักในชื่อว่า “รุ่นที่ถูกพลัดพราก” หรือ “ช่วงวัยที่หายไป” (Stolen Generations)

การบุกรุกสิทธิในที่ดินทางวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง
สิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการครอบครองและเป็นเจ้าของที่ดินก็ถูกละเมิดอย่างกว้างขวางเช่นกัน
กรณีศึกษา: ชนเผ่าพื้นเมืองเซงเวอร์ (Sengwer)
ชนเผ่าพื้นเมืองเซงเวอร์ (Sengwer) อาศัยอยู่ในป่าเอ็มโบบัต (Embobut) ประเทศเคนยาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ต่อมา Kenya Forest Service (KFS) ภายใต้กระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ได้โยกย้ายชาวเซงเวอร์ออกจากป่า โดยเจ้าหน้าที่รัฐกล่าวหาว่าชาวเซงเวอร์สร้างความเสียหายให้แก่ป่าไม้ แต่รัฐบาลไม่ได้มีหลักฐานใดในเรื่องนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่รัฐยังเผาบ้านของชาวเซงเวอร์และใช้ความรุนแรงและข่มขู่สมาชิกในชุมชน
ชาวเซงเวอร์ไม่เคยได้รับการปรึกษาและการแจ้งความยินยอม โดยเสรีก่อนที่พวกเขาจะถูกโยกย้าย ซึ่งนี่เป็นการละเมิดกฎหมายเคนยาและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง
Irungu Houghton ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เคนยา
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐไม่สามารถโยกย้ายถิ่นฐานของชนเผ่าพื้นเมืองออกจากพื้นที่ของพวกเขาได้ หากปราศจากความยินยอมอย่างเต็มใจ แจ้งให้ทราบล่วงหน้าและโดยมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ (FPIC) พร้อมทั้งต้องมีการชดเชยอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมให้แก่พวกเขา อย่างไรก็ตาม ที่ดินของชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของป่าที่ยังคงความสมบูรณ์มากกว่าร้อยละ 35 ของโลก อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น น้ำมัน ก๊าซ และแร่ธาตุ กลับถูกจัดสรร ขาย ให้เช่าหรือแม้แต่ถูกปล้นสะดมและทำให้ปนเปื้อนจนเกิดมลพิษโดยรัฐบาลและบริษัทเอกชน
ชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมากถูกบังคับให้โยกย้ายออกจากที่ดินของตนเองเนื่องจากนโยบายที่เลือกปฏิบัติหรือความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิในที่ดินของชนเผ่าพื้นเมืองมักต้องเผชิญกับความรุนแรงและบางครั้งถึงขั้นถูกสังหารเมื่อพวกเขาพยายามปกป้องที่ดินของตนเอง
การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชนเผ่าพื้นเมืองเช่นนี้บีบบังคับให้พวกเขาต้องละทิ้งถิ่นฐานเดิมและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองต่างๆ พวกเขามักถูกตัดขาดจากทรัพยากรและประเพณีที่มีความสำคัญต่ออัตลักษณ์ ความเป็นอยู่และการดำรงชีวิต อีกทั้งยังทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกกีดกันอย่างรุนแรง ถูกทำให้เป็นกลุ่มคนชายขอบ ต้องเผชิญกับความยากจน โรคภัยไข้เจ็บ ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นและแม้กระทั่งการสูญพันธุ์ในฐานะประชาชนกลุ่มหนึ่ง

กรณีศึกษา: เปรู
แอมเนสตี้รณรงค์ในกรณีของ มาซิมา อาคูเนีย (Máxima Acuña Atalaya) เธอเป็นชาวนาจากประเทศเปรู เธอยืนหยัดต่อสู้กับบริษัทเหมืองแร่ทองคำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งบริษัทดังกล่าวพยายามข่มขู่เธอให้ออกจากที่ดินเพื่อที่พวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินแห่งนั้น และเป็นเวลากว่าห้าปีในการดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกที่ดินที่ไม่มีมูลความจริง ต่อมา ศาลฎีกาพิพากษาว่าไม่มีเหตุผลที่จะดำเนินการพิจารณาคดีที่ไร้มูลความจริงนี้และในเดือนพฤษภาคม 2560 ข้อกล่าวหาที่มีต่อมาซิมาก็ถูกยกฟ้อง
ความสำเร็จในการรณรงค์นี้มาจากผู้สนับสนุนของแอมเนสตี้มากกว่า 150,000 คนที่ส่งจดหมายและข้อความสนับสนุนไปยังมาซิมา

การปิดกั้นการเข้าถึงการดูแลสุขภาพและบริการสาธารณะอื่นๆ
ชนเผ่าพื้นเมืองต้องเผชิญกับการกีดกันและการเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเขามีสถานะเป็นชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งการถูกเลือกปฏิบัติมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา ทั้งการจำกัดสิทธิในการเข้าถึงบริการด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษาและที่อยู่อาศัย
นอกจากนี้ ชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกยังต้องเผชิญกับอัตราไร้ที่ดินทำกิน ภาวะทุพโภชนาการหรือขาดสารอาหารและการพลัดถิ่นภายในประเทศในระดับที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ พวกเขาติดอันดับสูงสุดในด้านจำนวนผู้ต้องขัง การไม่รู้หนังสือและการว่างงาน ขณะที่อายุขัยโดยเฉลี่ยของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกลดต่ำลงถึง 20 ปีเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมือง
การดูแลสุขภาพสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้หญิงและเด็ก
ตั้งแต่อินเดียไปจนถึงเปรู ชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้หญิงมีอัตราการเสียชีวิตระหว่างคลอด (การเสียชีวิตของมารดาขณะคลอด) การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปและยังมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความรุนแรงมากกว่า
ชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้หญิงมักจะเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้น้อยลงในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากการเลือกปฏิบัติและการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้พวกเธอมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตขณะคลอดบุตรมากกว่า ตัวอย่างเช่น ในประเทศปานามาและรัสเซีย ชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตระหว่างการคลอดบุตรมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองถึงประมาณ 6 เท่า
อัตราการเกิดของเด็กสาววัยรุ่นชาวอเมรินเดียน (Amerindian) สูงเป็นสองเท่าของประชากรทั่วไปในกายอานา ในประเทศเคนยา ผู้หญิงชาวมาไซมีแนวโน้มที่จะไม่ฝากครรภ์หรือไม่ได้รับการดูแลก่อนคลอดมากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า และในนามิเบีย ผู้หญิงจากชนเผ่าซานมีแนวโน้มที่จะคลอดบุตรโดยไม่ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญหรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลสูงกว่าถึงสิบเท่า
เหตุการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนหนึ่งที่รุนแรงคือ ในปีพ.ศ. 2533 ชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้หญิงและชาวกัมเปซิโนที่ยากจนในประเทศเปรูกว่า 2,000 คน ถูกรัฐทำหมันโดยไม่ได้รับความยินยอม แต่เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2557 สำนักงานอัยการในกรุงลิมาได้ปิดคดีและปฏิเสธการให้ความยุติธรรมแก่ผู้หญิงเหล่านี้
ในบางประเทศ ชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นผู้หญิงต้องทนทุกข์ทรมานจากความรุนแรงในครอบครัวอย่างไม่ได้สัดส่วน เนื่องจากพวกเธอต้องเผชิญกับความคับข้องใจและความโกรธเคือง ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกเลือกปฏิบัติที่ฝังรากลึกและส่งผลกระทบต่อชุมชนในวงกว้าง
ชนเผ่าพื้นเมืองที่เป็นเด็กยังเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิด ในตอนใต้ของแอฟริกา พบว่าเด็กๆ จากชนเผ่าซานและชนเผ่าพื้นเมืองอื่นๆ เข้าถึงการศึกษาได้ยาก หรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้หญิงและเด็กหญิงส่วนใหญ่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ข้ามพรมแดนซึ่งมาจากชุมชนของชนเผ่าพื้นเมืองเอง

การบริการด้านสาธารณสุข
การถูกกีดกันและทำให้เป็นชายขอบ ยังหมายความว่าชนเผ่าพื้นเมืองมีความเสี่ยงสูงกว่าในช่วงภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข เช่น การระบาดของโรคโควิด-19 การที่พวกเขาขาดการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ข้อมูลสาธารณะและบริการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น สุขอนามัยและน้ำสะอาด ส่งผลให้ชนเผ่าพื้นเมืองได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ดังกล่าวอย่างไม่ได้สัดส่วนและรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น
ผลกระทบรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อรัฐหลายแห่งล้มเหลวในการปรึกษาหารือกับชนเผ่าพื้นเมืองอย่างเหมาะสมขณะจัดทำแผนรับมือกับโรคโควิด-19 ซึ่งหมายความว่านโยบายต่างๆ ไม่ได้รับการออกแบบมาให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของพวกเขา เช่น ข้อมูลด้านสาธารณสุขมักไม่ถูกจัดเตรียมไว้ในภาษาของชนเผ่าพื้นเมือง
ชนเผ่าพื้นเมืองยังมีแนวโน้มที่จะติดโรคต่างๆ เช่น มาลาเรีย วัณโรคและเอชไอวี มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
การศึกษา
ช่องว่างทางการศึกษาระหว่างเด็กที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองกับเด็กกลุ่มอื่นยังคงมีอยู่ทั่วโลก ระบบการศึกษามักจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของชนเผ่าพื้นเมืองได้ โดยมีอุปสรรคสำคัญหลายประการ เช่น การขาดแคลนครูที่สามารถพูดภาษาของชนเผ่าพื้นเมือง
ปัญหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้นจากการที่ชนเผ่าพื้นเมืองมีการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตในระดับที่น้อยกว่ามาก หรือที่เรียกว่า “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล”
กรณีศึกษา: โรคโควิด-19
แม้กระทั่งก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ชนเผ่าพื้นเมืองก็มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาได้น้อยกว่าคนที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองอยู่แล้ว อันเนื่องมาจากการเลือกปฏิบัติที่เป็นระบบและยาวนาน
การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ช่องว่างและความเหลื่อมล้ำเหล่านี้เด่นชัดและรุนแรงมากยิ่งขึ้น เด็กที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองมีการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตน้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าพวกเขาถูกตัดขาดจากโอกาสทางการศึกษาเมื่อเกิดการระบาดของโรค
การระบาดใหญ่ยิ่งทำให้ผลกระทบของ “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” ระหว่างนักเรียนที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองกับนักเรียนที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก เมื่อโรงเรียนต้องปิดทำการและเปลี่ยนไปใช้การเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์แทน เด็กที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองจำนวนมากโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ขาดแคลนอุปกรณ์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำเป็นต่อการเข้าถึงห้องเรียนเสมือน ปัญหาเพิ่มเติมยังรวมถึงค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตที่สูง เครือข่ายที่ไม่มีความเสถียรหรือไม่มีสัญญาณเลยและไฟฟ้าดับอยู่บ่อยครั้ง
ผลกระทบเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากรัฐบาลได้นำความต้องการของนักเรียนที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองมาพิจารณาในแผนรับมือกับโรคโควิด-19 แต่ในหลายประเทศ ชนเผ่าพื้นเมืองไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนเหล่านั้น ความล้มเหลวในการปรึกษาหารือกับกลุ่มคนชายขอบเช่นนี้ ส่งผลให้ชนเผ่าพื้นเมืองถูกปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดบางประการ รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงศึกษาและการบริการด้านสุขภาพ
แม้ว่าโรงเรียนจะกลับมาเปิดอีกครั้งแล้ว แต่ผลกระทบจากการระบาดใหญ่ต่อเด็กที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบของการสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้และการลาออกจากระบบการศึกษา

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าชนเผ่าพื้นเมืองมีสัดส่วนคิดเป็น 6.2% ของประชากรโลก แต่ชนเผ่าพื้นเมืองได้ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพของโลกได้ถึง 80%
ปริมาณคาร์บอนมากกว่า 20% ที่ถูกกักไว้บริเวณเหนือพื้นดินในป่าไม้ของโลกพบได้ในที่ดินที่จัดการโดยชนเผ่าพื้นเมืองในลุ่มน้ำอเมซอน เมโสอเมริกา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและประเทศอินโดนีเซีย
ถึงแม้ชนเผ่าพื้นเมืองมีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขากลับเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ต้องเผชิญกับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเรื่องอันตรายต่อวิถีชีวิตของพวกเขา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคุกคามถิ่นที่อยู่อาศัยและระบบนิเวศที่ชนเผ่าพื้นเมืองต้องพึ่งพาในเรื่องของอาหาร น้ำ ยา การดำรงชีวิตและอัตลักษณ์
ชนเผ่าพื้นเมืองยังได้รับผลกระทบอย่างไม่ได้สัดส่วนจากการสำรวจและการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เนื่องจากการถูกกีดกันทางการเมืองทำให้พวกเขาต่อต้านเรื่องนี้ได้ยาก บริษัทที่แสวงหาผลประโยชน์มักจะละเมิดสิทธิของชุมชนเหล่านี้ในการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วมสาธารณะและการได้รับความยินยอมอย่างเต็มใจ แจ้งให้ทราบล่วงหน้าและโดยมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้แสดงให้เห็นว่า ชุมชนชาวอาดิวาสีในอินเดียที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองถ่านหินแทบไม่ได้รับการปรึกษาหารืออย่างเหมาะสมก่อนที่ที่ดินของพวกเขาจะถูกยึด ระบบนิเวศจะถูกทำลายและวิถีชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ในความเสี่ยง
ชนเผ่าพื้นเมืองยังมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย
ความรู้ที่ลึกซึ้งของชนเผ่าพื้นเมืองเกี่ยวกับโลกธรรมชาติ ทำให้พื้นที่ที่พวกเขาใช้สอยเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ป่าไม้ก็เจริญเติบโต อีกทั้งยังมีความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนของพวกเขาช่วยต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นของพวกเขาสามารถจัดการคาร์บอนได้ถึง 300,000 ล้านเมตริกตันจากต้นไม้และดินของพวกเขา ซึ่งถือเป็นการมีส่วนร่วมและสนับสนุนอย่างมหาศาลในการริเริ่มระดับโลกเพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เราต้องสนับสนุนชนเผ่าพื้นเมือง อนุรักษ์องค์ความรู้และภูมิปัญญาเหล่านี้ไว้ ในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การล่าอาณานิคมสีเขียว (Green colonialism)
ผู้นำชนเผ่าพื้นเมือง ชาวประมงพื้นบ้าน ชุมชนผู้สืบเชื้อสายแอฟริกัน ชาวนา ชุมชนติดที่ดินอื่นๆ และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม กำลังทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลและบริษัทต่างๆ ในกลุ่มประเทศซีกโลกเหนือให้จริงจังกับปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หากมองแบบผิวเผิน อาจดูเหมือนว่าในที่สุด ชาติมหาอำนาจเหล่านี้ ซึ่งหลายประเทศเคยเป็นเจ้าอาณานิคมกำลังเริ่มรับผิดชอบต่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่พวกเขาก่อขึ้นต่อโลกของเรา
แต่กลุ่มประเทศซีกโลกเหนือเหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะละทิ้งความพยายามในการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพภายในประเทศของตนเอง ในทางกลับกัน พวกเขาส่งเสริมรูปแบบการอนุรักษ์ที่เน้นการควบคุมด้วยกำลังทหารในกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ ซึ่งมักจะมุ่งเป้าไปที่ดินแดนของชนเผ่าพื้นเมือง โดยชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับการถูกขับไล่ออกจากถิ่นฐานเดิมของพวกเขาเพื่อให้พื้นที่เหล่านั้นสามารถผนวกรวมเข้าเป็นอุทยานแห่งชาติ แอมเนสตี้ได้บันทึกกรณีเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในประเทศแทนซาเนีย ยูกันดา เคนยา เนปาล และกัมพูชา
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “การล่าอาณานิคมสีเขียว” (green colonialism) อีกทั้งยังเป็นการอธิบายถึงวิธีการดำเนินการขององค์กรพัฒนาเอกชนด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากกลุ่มประเทศซีกโลกเหนือหรือที่เรียกว่า “Big Green” กำลังดำเนินงานอยู่ โดยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลของตนเองในลักษณะที่เสริมสร้างอำนาจแบบอาณานิคมที่เหนือกว่าชนเผ่าพื้นเมือง
เนื่องจากองค์กรเหล่านี้ไม่ได้ทำงานร่วมกันกับชนเผ่าพื้นเมืองหรืออาศัยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่สืบทอดมานานนับศตวรรษ องค์กรเหล่านี้จึงล้มเหลวในการรับมือและแก้ไขปัญหาการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในช่วงหลังมานี้ คาร์บอนเครดิต (สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม) กลายเป็นแรงจูงใจทางการเงินที่ผลักดันให้รัฐบาลขับไล่ชุมชนออกจากที่ดินของตนเอง ซึ่งเรื่องนี้ถูกนำเสนออย่างผิดๆ ว่าเป็นการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีของกลุ่มประเทศซีกโลกเหนือในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในทางปฏิบัติ โครงการคาร์บอนเครดิตทั้งระบบกำลังถูกเปิดโปงว่าเป็นการฉ้อโกงและแทบไม่ก่อให้เกิดส่วนสนับสนุนในการฟื้นฟูป่าไม้เลย

การโจมตีนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวประเด็นเรื่องสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองและสิ่งแวดล้อม
นักปกป้องสิ่งแวดล้อมมักจะอยู่แนวหน้าของการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในทวีปอเมริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่อันตรายที่สุดในโลกสำหรับผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้องที่ดิน ดินแดนและสิ่งแวดล้อม
ในปีพ.ศ. 2563 ตามรายงานของ Global Witness มีผู้ถูกสังหารจากการปกป้องสิ่งแวดล้อมจำนวน 177 คน หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ยหนึ่งคนในทุกๆ วัน โดยเกือบ 88% ของการสังหารเกิดขึ้นในทวีปอเมริกา ประเทศที่อันตรายที่สุดสำหรับนักปกป้องสิ่งแวดล้อมคือประเทศโคลอมเบีย ซึ่งมีการสังหารถึง 60 ราย บราซิล เม็กซิโกและฮอนดูรัสก็อยู่ในห้าอันดับแรกเช่นกัน ในจำนวนผู้ถูกสังหารทั้งหมดตลอดทั้งปี มี 34% ที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกข้อมูลอย่างต่อเนื่องว่านักปกป้องสิ่งแวดล้อมในทวีปอเมริกาถูกข่มขู่ โจมตี คุกคามหรือแม้กระทั่งถูกสังหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อเรียกร้องของพวกเขาขัดแย้งต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของกลุ่มอิทธิพล ซึ่งมักกระทำการโดยไม่ต้องรับโทษและลอยนวลพ้นผิด อาชญากรรมเหล่านี้แทบไม่เคยได้รับการสืบสวนอย่างเหมาะสม และเหยื่อเองก็แทบจะไม่เคยได้รับความยุติธรรมเลย
แม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมหาศาล แต่ชนเผ่าพื้นเมืองและนักเคลื่อนไหวคนอื่นๆ ทั่วทวีปอเมริกายังคงลุกขึ้นเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม พวกเขาเป็นคนที่แบกรับภาระสำคัญในการอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ โดยดูแลและปกป้องพื้นที่กว่า 22% ของพื้นผิวโลก

กรณีศึกษา: เบรตา กาเซเร (Berta Cáceres) จากประเทศฮอนดูรัส
เบรตา กาเซเร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวฮอนดูรัสใช้เวลานานถึงทศวรรษในการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในฮอนดูรัส หนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลกสำหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2556 เบรตาได้ร่วมกับ COPINH (สภาองค์กรประชาชนและชนเผ่าพื้นเมืองแห่งฮอนดูรัส) รณรงค์ต่อต้านการก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำอากวา ซาร์กา (Agua Zarca) ในแม่น้ำริโอ บลังโก (Río Blanca) หากเขื่อนนี้ถูกสร้างขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการไหลของน้ำในแม่น้ำกวัลการ์เก (Gualcarque river) ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองเลนกา (Lenca) อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหารและน้ำดื่มอันล้ำค่าอีกด้วย
การเคลื่อนไหวอย่างไม่เกรงกลัวของเบรตา ทำให้เธอกลายเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจบางคน เธอและผู้ที่มีส่วนร่วมในการรณรงค์ต้องเผชิญกับการคุกคาม รวมถึงการขู่ฆ่า ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเคยชินมานาน แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่รัฐบาลกลับล้มเหลวในการจัดหาการคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพให้กับเบรตาหรือเพื่อนร่วมงานของเธอ และเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2559 มีชายติดอาวุธสองคนบุกเข้าไปในบ้านของเธอที่เมืองอินทิบูคาและยิงเธอเสียชีวิต
หลังจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมมาอย่างยาวนาน ในเดือนมิถุนายน 2565 ดาวิด กาสติโย อดีตผู้จัดการบริษัทเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ถูกตัดสินจำคุก 22 ปีในข้อหามีส่วนร่วมในการวางแผนลอบสังหารเบรตา โดยก่อนหน้านั้นมีผู้กระทำผิดอีกเจ็ดคนถูกตัดสินจำคุกไปแล้วในปี 2562 ญาติของเบรตาและ COPINH ยังคงเรียกร้องให้มีการนำตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารมารับผิดชอบทั้งหมด

เปลี่ยนวันโคลัมบัส
มีประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในทวีปอเมริกาและอีกหลายมลรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้เปลี่ยนวันหยุดประจำชาติ กล่าวคือ วันโคลัมบัส ให้เป็นวันชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อเฉลิมฉลองความยืดหยุ่นและวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองในทวีป
การเฉลิมฉลองวันโคลัมบัสในหลายประเทศในภูมิภาคและที่อื่นๆ มีขึ้นเพื่อแสดงถึงวันครบรอบการค้นพบทวีปอเมริกาของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ.1492 (พ.ศ.2035)
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีความตระหนักมากขึ้นว่าการค้นพบของโคลัมบัสไม่ได้เป็นเพียงแค่การมาถึงของชาวยุโรปในโลกใหม่ แต่ยังเป็นการเริ่มต้นของความรุนแรง การแสวงหาผลประโยชน์ การปราบปรามและความทุกข์ทรมานของชนเผ่าพื้นเมืองทั่วทวีปอเมริกา
วันชนเผ่าพื้นเมือง เรียกอีกชื่อว่า วันของคนแรก วันชนเผ่าพื้นเมืองแห่งชาติ วันของชาวอินเดียน (บราซิล) หรือวันชนพื้นเมืองอเมริกัน
แอมเนสตี้ ทำอะไรบ้างเพื่อช่วยเหลือชนเผ่าพื้นเมือง?
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลทำงานเพื่อปกป้องสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในทุกภูมิภาคของโลก และเรียกร้องให้รัฐต่างๆ บังคับใช้และพัฒนากฎหมายที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองที่ดิน วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของพวกเขา
ในระดับนานาชาติ ชนเผ่าพื้นเมืองได้ส่งเสียงของพวกเขาและผลักดันรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ แอมเนสตี้ได้ให้การสนับสนุนพวกเขา เช่น ในกระบวนการจัดทำและพัฒนาปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง
เรายังทำงานเพื่อสนับสนุนชนเผ่าพื้นเมืองในการอ้างสิทธิในที่ดินเพื่อให้พวกเขาได้ที่ดินของตนเองคืนอีกด้วย ตัวอย่างเช่น หลังจากต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากและในสภาพที่ทรุดโทรมริมถนนสายหลักเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองซาโวยามักซา (Sawhoyamaxa) ในประเทศปารากวัย ก็ชนะคดีในการต่อสู้ทางกฎหมายและได้กลับคืนสู่ดินแดนบรรพบุรุษของตนในปี 2557
พวกเราชนเผ่าพื้นเมือง จะร้องไห้ก็ต่อเมื่อเราได้อิสรภาพแล้วเท่านั้น วันนี้มันเหมือนกับว่าเรากำลังออกมาจากคุก พวกเราหลายคนจึงร้องไห้ เพราะมันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
การสอส มาเรกอส (Carlos Marecos) ผู้นำชุมชนของชนเผ่าพื้นเมืองซาโวยามักซา (Sawhoyamaxa)

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยในประเด็นเรื่องสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองให้
- รัฐบาลต้องดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายที่ทำให้ปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองเป็นไปตามเจตนารมณ์ โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้
- ให้คำปรึกษาแก่ชนเผ่าพื้นเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขอฉันทานุมัติที่ได้รับการแจ้งให้ทราบสำหรับการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
- ให้พวกเขาดำเนินชีวิตโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติและการคุกคามจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
- ให้พวกเขาได้รับความปลอดภัยในการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่และวิถีชีวิต
- ทางการต้องใช้มาตรการอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อประกันสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และทางเชื้อสายที่สืบทอดกันมา รวมทั้งยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายและนโยบายที่เลือกปฏิบัติต่อพวกเขา
- ให้ความสำคัญกันโยบายและแผนงานเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติทางโครงสร้างในระบบยุติธรรมทางอาญาและอื่นๆ
- ประกันให้มีการปรึกษาหารืออย่างจริงจังและมีการขอความยินยอมที่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าและเป็นอิสระ ก่อนจะมีการพัฒนาหรือมีการทำโครงการและการตัดสินใจใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา
- ยกเลิกการสนับสนุนและทบทวนร่างกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนของกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธ์ุ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอรเครดิต ร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้ เป็นต้น
- เร่งดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย โดยมีการปรึกษาหารือกับกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองอย่างเต็มที่ เพื่อให้การรับรองสถานะทางกฎหมายและสิทธิต่างๆ ของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยในรัฐธรมมนูญและกฎหมายภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนของชนเผ่าพื้นเมือง กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พระราชบัญญัติป่าไม้ เป็นต้น
- พิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธ์ุในเรื่องการรับรองความหมายของชนเผ่าพื้นเมืองและพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิต ให้สอดคล้องกับปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งคุ้มครองสิทธิในที่ดิน เขตแดนและทรัพยากร และสิทธิทางวัฒนธรรม
- พิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้คุ้มครองถึงกลุ่มเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กหญิงที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง โดยให้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการร่างกฎหมายและกำหนดมาตรการต่างๆ ของรัฐในประเด็นนี้ อีกทั้งนำหลักการความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ ธรรมาภิบาลและการไม่ทุจริตเข้ามาพิจารณาและปรับใช้กับทุกนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ
- พิจารณาทบทวนการดำเนินคดีและคำพิพากษาจากการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมต่อชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง รวมถึงนโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐบาลต่อกลุ่มชาวบ้าน ชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธ์ุที่ถูกกล่าวหาว่าบุกรุกเขตป่าสงวนหรือทำการเกษตรจนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน
- เผยแพร่ความรู้ต่อสาธารณะและในระบบการศึกษา ให้ประชาชนเข้าใจถึงบทบาทของชนเผ่าพื้นเมืองและองค์ความรู้ของชนเผ่าพื้นเมืองในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


