นักปกป้องสิทธิมนุษยชน


ยืนหยัดเพื่อผู้กล้า

หากเราร่วมมือกัน เราจะสามารถเป็นกระบอกเสียงเพื่อคนที่กล้าพูดแทนเราทุกคน

“นักปกป้องสิทธิมนุษยชน” คือคนที่เคลื่อนไหวหรือทำงานเพื่อปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนทั้งของตัวเองและผู้อื่น พวกเขาคือฟันเฟืองสำคัญของทุกสังคม เพราะพวกเขาช่วยให้สังคมเข้มแข็งและมีความเท่าเทียมมากขึ้น

ดังนั้นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะเป็นใครก็ได้ ตั้งแต่นักข่าว ทนายความ อาจารย์ นักกิจกรรม ผู้นำชุมชน ไปจนถึงชาวไร่ชาวนาและคนธรรมดาทั่วไปที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ เรียกร้องเพื่อส่วนรวม ทั้งนี้คำนิยามของสหประชาชาติ ได้นิยามคำว่า นักปกป้องสิทธิมนุษยชน คือคนที่ทำงานหรือเคลื่อนไหวในลักษณะต่อไปนี้:

  • เป็นตัวแทนแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนให้กลุ่มคน
  • ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง ไปจนถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม 
  • รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน 
  • เคลื่อนไหวเพื่อให้ผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนถูกลงโทษตามกฎหมาย 
  • ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน 
  • ช่วยพัฒนานโยบายรัฐที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน 
  • สนับสนุนให้ภาครัฐปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน 
  • ให้ความรู้หรือจัดอบรมเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน 

แต่ปัจจุบัน นักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งในไทยและทั่วโลกกลับกำลังถูกปิดกั้นเสรีภาพและถุกคุกคามอย่างหนักจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน หลายคนถูกแจ้งข้อหาอย่างไม่ยุติธรรม และอีกหลายคนถูกอุ้มหายหรือถูกสังหาร การณรงค์เพื่อเรียกร้องให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้การเรียกร้องสิทธิมนุษยชนอื่นๆ

การทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายครั้งจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจึงถูกข่มขู่ คุกคาม ทำร้ายร่างกาย ใส่ร้ายป้ายสี ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี กักขังหน่วงเหนี่ยวไปจนถึงถูกทรมานหรือแม้กระทั่งถูกสังหาร

นอกจากนี้ ผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในหลายประเทศยังมีการสอดแนมการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างใกล้ชิด ไปจนถึงปล่อยข่าวปลอมเพื่อพยายามทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของพวกเขาด้วย

ผู้กล้าหญิงกำลังถูกโจมตี

พวกเธอมีทั้งผู้หญิงที่เป็นเยาวชนและผู้สูงอายุ เป็นเกษตรกร คนงานในโรงงาน ครู ช่างตัดเสื้อพวกเธอมีงานประจำ งานที่มีความรับผิดชอบสูง (high-powered jobs) งานรายวัน (cash-in-hand jobs) หรืออาจจะไม่มีงานทำ พวกเธอมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย และสำหรับหลายคน อุปสรรคอาจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเพราะเหตุนั้น แต่พวกเธอก็ยังคงเป็นกระบอกเสียงและยืนหยัดอยู่เสมอ

เมื่อพวกเธอพบเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พวกเธออดไม่ได้ที่จะอยากทำให้มันถูกต้อง เมื่อพวกเธอพบเจอความไม่เป็นธรรม พวกเธอก็อยากทำให้ทุกอย่างเท่าเทียมกัน พวกเธอได้เรียกร้องผ่านการณรงค์ #MeToo และ #TimesUp เพื่อให้ยุติความรุนแรงและการล่วงละเมิดต่อผู้หญิง พวกเธอลงมือทำเพื่อประโยชน์ของสังคม เพื่อให้ผู้คนสามารถทำงานได้โดยไม่ถูกคุกคาม เพื่อให้ชุมชนปลอดจากการเหยียดเชื้อชาติ เพื่อขจัดการทุจริต และเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินจากมลพิษ พวกเธอต้องเผชิญกับอันตรายเพื่อที่พวกเราจะไม่ต้องเผชิญกับอันตรายเหล่านั้นด้วยตนเอง

แต่ผู้นำรัฐบาลบางคนกลับใส่ร้ายพวกเธอ พวกเขาตัดงบประมาณให้กับคลินิกวางแผนครอบครัวและคุมกำเนิด ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้หญิงในที่สาธารณะ ให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าสิ่งแวดล้อม โจมตีชุมชนของคนผิวสี ลิดรอนสิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ เมื่อผู้หญิงลุกขึ้นต่อต้านเพื่อท้าทายสถานะเดิม พวกเธอกลับถูกล่วงละเมิดมากขึ้น โดยถูกเรียกว่าหสเภณี แม่มด ผู้ก่อการร้าย และศัตรูของชาติ ในสภาพสังคมที่ถูกทำให้เป็นพิษด้วยการเมืองแบบชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงที่กล้าแข็งขืนกลับต้องเผชิญกับการถูกข่มขู่ ทำร้าย ข่มขืนหรือแม้กระทั่งถูกฆ่า

แต่เหมือนดั่งกระแสน้ำ ผู้หญิงเหล่านี้ยังคงยืนหยัดที่จะลุกขึ้นสู้ พวกเธอกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและใช้มันอย่างเต็มที่ ผู้คนเรียกพวกเธอว่าผู้กล้า แต่พวกเธอบอกเพียงว่าพวกเธอทำในสิ่งที่ใครๆ ก็จะทำ หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และพวกเธอก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพวกเราคนอื่นเลย

พวกเธอพูดถูก ผู้กล้าหญิงเหล่านี้อยู่ท่ามกลางเราและเป็นส่วนหนึ่งของเรา ตอนนี้ เราต้องร่วมมือกับพวกเธอเพื่อดับไฟที่กำลังเผาไหม้สิทธิของเราที่ได้มาอย่างยากลำบาก ตอนนี้พวกเราก็ต้องกล้าหาญเช่นกัน และต้องยืนหยัดเพื่อปกป้องผู้หญิงที่ปกป้องสิทธิของพวกเรา

แม่ของฉันสมควรได้รับความยุติธรรม และมันจำเป็นที่เราต้อง
เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสมคบคิดที่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหากเราต้องการป้องกันไม่ให้เกิดการสังหารขึ้นอีก

 เบร์ธา ซูนญิกา (Bertha Zuñiga)

ผู้กล้าก็คือคนธรรมดาที่มีหัวใจ

การใส่ร้ายป้ายสี การสอดแนมและการปิดปากผู้เห็นต่าง

คนที่เป็นกระบอกเสียงเพื่อต่อต้านความอยุติธรรมกำลังตกเป็นเป้าโจมตี รัฐบาล บริษัท กลุ่มติดอาวุธ กลุ่มที่เผยแพร่ความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ รวมถึงกลุ่มที่มีอำนาจอื่นๆ กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อปิดปากพวกเขา และทำลายงานของพวกเขาให้สิ้นซาก

พวกเขาสร้างภาพให้คนที่ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจกลายเป็นอาชญากร ผู้ก่อการร้าย คนไม่รักชาติ พวกทุจริตคอร์รัปชัน หรือแม้กระทั่ง “พวกต่างชาติ” จากนั้นการโจมตีก็จะทวีความรุนแรงขึ้น โดยการใส่ร้ายป้ายสี ทำลายชื่อเสียง จับกุมคุมขังและอาจถึงขั้นใช้ความรุนแรงเพื่อปิดปากผู้เห็นต่าง

ผู้ที่มีอำนาจสร้างภาพให้คนที่ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจของพวกเขากลายเป็นอาชญากร ผู้ก่อการร้าย หรือแม้กระทั่ง ‘พวกต่างชาติ’

ภาพโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

ในขณะเดียวกัน สหภาพแรงงานถูกยุบ หนังสือพิมพ์ถูกปิด การใช้โซเชียลมีเดียถูกห้าม กิจกรรมหรือการเคลื่อนไหวทางดิจิทัลถูกสอดส่องโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ชุมนุมประท้วงโดยสงบต้องเผชิญกับการใช้ความรุนแรง การออกมายืนหยัดเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนกลายเป็นเรื่องยากและอันตราย

แต่ก็เพราะเหตุนี้เอง เราจึงต้องการนักปกป้องสิทธิมนุษยชนมากกว่าที่ผ่านมา พวกเขากล้าหาญพอที่จะออกมาเรียกร้องเพื่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและเพศ ประณามการทรมาน และท้ายที่สุด คือการเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้นำของเรา

ฉันคิดอยู่ตลอดว่าฉันอาจจะถูกฆ่าหรือไม่ก็ถูกลักพาตัว แต่ฉันจะ
ไม่ลี้ภัยไปไหนเด็ดขาด ฉันคือนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและฉันจะ
ไม่ยอมแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้

เบรตา กาเซเร นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกยิงเสียชีวิตในประเทศฮอนดูรัสเมื่อปี 2559

ทำไมการปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเราทุกคน

โดย กัวดาลูเป มาเรนโก (Guadalupe Marengo) หัวหน้าโครงการนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและบรรเทาทุกข์ทั่วโลก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

ปี 2567 ถือเป็นปีที่ยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับสิทธิมนุษยชน เนื่องจากผู้มีอำนาจจำนวนไม่น้อยประสบความสำเร็จในการผลักดันวาทกรรมที่คุกคามแนวคิดพื้นฐานที่สุดของสิทธิและความยุติธรรม

ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียม ความอยุติธรรม ความขัดแย้งและแม้กระทั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ท่ามกลางสถานการณ์เหล่านี้ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้กล้าหาญยอมเสี่ยงชีวิตและความปลอดภัยของตนเองเพื่อเปิดโปงการละเมิดและต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ขณะที่รัฐบาลหลายแห่ง ในกรณีที่ดีที่สุด ล้มเหลวในการดำเนินการอย่างเพียงพอเพื่อปกป้องพวกเขา และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดกลับโจมตีพวกเขาเสียเอง

เรื่องราวของพวกเขามีมากมายจนอาจเขียนได้เป็นพันหน้า

ตัวอย่างเช่น โซเลีย ปาร์ซี (Zholia Parsi) จากขบวนการผู้หญิงชาวอัฟกันเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Spontaneous Movement of Afghan Women) ซึ่งยังคงรณรงค์เคลื่อนไหวต่อต้านการกดขี่ทางเพศในอัฟกานิสถาน แม้ว่าเธอจะเคยถูกจับกุม ทรมานและถูกบังคับให้ลี้ภัยเพียงเพราะเธอประท้วงต่อต้านความพยายามในการลบล้างผู้หญิงในประเทศของเธอ หรือเลโอนาลา มอนกาโย (Leonela Moncayo) หญิงสาวชาวเอกวาดอร์ เธอเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์ที่นำโดยชุมชนเพื่อต่อต้านการเผาก๊าซพิษในบริเวณใกล้ที่อยู่อาศัย และเธอยังคงต่อสู้ต่อไปแม้ต้องเผชิญกับการถูกข่มขู่และถูกโจมตี

งานของนักเคลื่อนไหวเช่นพวกเขานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งไม่เพียงแค่เพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิมนุษยชนได้รับการเคารพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรับประการว่าการพัฒนาจะเป็นไปอย่างยั่งยืน เป็นธรรมและครอบคลุม ตามที่ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้ย้ำเตือนรัฐบาลประเทศต่างๆ เมื่อไม่นานมานี้ด้วย

การปกป้องนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและงานที่สำคัญของพวกเขาเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่นำไปสู่การจัดทำปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในปี 2541 เอกสารฉบับนี้ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากรัฐสมาชิกแห่งสหประชาชาติโดยฉันทามติเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจพัฒนาระบบที่เข้มแข็งเพื่อให้เราทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น รวมตัวและเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้มีอำนาจได้อย่างปลอดภัยโดยปราศจากความกลัวการถูกตอบโต้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อความในปี 2541 จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังล้มเหลวในการนำไปปฏิบัติจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องที่พวกเขาต้องรับมืออย่างอดทน ระบบการกดขี่ในรูปแบบต่างๆ ที่พวกเขาต้องเผชิญ รวมทั้งความท้าทายในหลากหลายรูปแบบที่เกิดจากการต่อสู้ของพวกเขาเอง ฉันขอเชิญชวนให้ทุกคนเข้าไปดู HRD Memorial ซึ่งเป็นฐานข้อมูลออนไลน์ที่รวบรวมข้อมูลของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายพันคนที่ถูกสังหารตั้งแต่ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ถูกนำมาใช้

ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษครึ่งนับตั้งแต่ปฏิญญาว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้รับการรับรองโดยสหประชาชาติ ความท้าทายต่างๆ ได้ทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อเราจัดการประชุมสุดยอดนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโลกที่กรุงปารีสในปี 2561 นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากทั่วโลกได้ร่วมกันถ่ายทอดถึงอุปสรรคที่พวกเขาต้องเผชิญท่ามกลางบริบทของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างลึกซึ้ง การเลือกปฏิบัติและความรุนแรงจากเหตุแห่งเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ ระบบอาณานิคม การเหยียดเชื้อชาติ การอพยพโดยถูกบังคับ และอุปสรรคต่อการย้ายถิ่นฐาน การต่อสู้นี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง การทุจริตคอร์รัปชัน การปกครองแบบเผด็จการ และความท้าทายใหม่ๆ จากเทคโนโลยีสมัยใหม่

การมีชุมชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็งและหลากหลาย พร้อมด้วยทรัพยากรที่จำเป็นอย่างเพียงพอ ความปลอดภัยและพื้นที่ในการเรียกร้องผู้มีอำนาจ รวมถึงการเสนอทางเลือกใหม่
ในการแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนาสังคม ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ในการสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนกว่า

กัวดาลูเป มาเรนโก หัวหน้าโครงการนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและบรรเทาทุกข์ทั่วโลก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

ในการประชุมสุดยอดครั้งนั้น นักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้เรียกร้องให้รัฐดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการปกป้องนักปกป้องสิทธิ

แต่จนถึงทุกวันวันนี้ เสียงเรียกร้องของพวกเขายังแทบไม่ได้รับการตอบสนอง

ในทางกลับกัน ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิทธิมนุษยชนเริ่มถดถอยลงและการโจมตีนักปกป้องสิทธิฯ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน แนวคิดเกี่ยวกับความยุติธรรมซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดและได้รับการยอมรับโดยทั่วกันอย่างกว้างขวางกลับถูกตั้งคำถามอย่างต่อเนื่อง

ฉันเห็นสิ่งนี้ทุกครั้งที่มีกฎหมายใหม่ออกมาเพื่อจำกัดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การชุมนุม และการสมาคม ทุกครั้งที่นักปกป้องสิทธิฯ ถูกทำร้าย ถูกดำเนินคดีทางอาญา และถูกใส่ร้ายป้ายสี ฉันยังเห็นมันในรูปแบบที่แนบเนียนกว่านั้นด้วย เช่น เมื่อเงินทุนและทรัพยากรถูกนำมาใช้เพื่อปิดปากเสียงบางกลุ่มและขยายเสียงของบางกลุ่ม หรือเมื่อการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของคนที่ถูกเลือกปฏิบัติและคนชายขอบถูกทำให้หมดความชอบธรรม และถูกมองว่าเป็นอันตรายหรือเป็นที่น่าสงสัย ไม่น่าไว้ใจเพียงเพราะพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ

โลกที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีความปลอดภัย
คือโลกที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราทุกคน

กัวดาลูเป มาเรนโก

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่สู้อีกต่อไป

เมื่อต้นปีนี้ เพื่อสานต่อจากการประชุมสุดยอดที่กรุงปารีส กลุ่มภาคีระหว่างประเทศขององค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งทำงานร่วมกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงทีมของฉันที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ร่วมกันเผยแพร่ ปฏิญญาว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน+25 เอกสารฉบับนี้สรุปบทเรียนจากหลายทศวรรษเกี่ยวกับความท้าทายที่นักปกป้องสิทธิฯ กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน และเสริมเนื้อหาของปฏิญญาฉบับเดิมด้วยแนวทางปฏิบัติที่ก้าวหน้าของกฎหมายและแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนในช่วงตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น เอกสารนี้แนะนำให้รัฐกำหนดมาตรการคุ้มครองที่คำนึงถึงแง่มุมร่วมกันและทับซ้อนกันของการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งยุติการตีตราและการดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิฯ อย่างไม่เป็นธรรม และรับมือกับการละเมิดสิทธิที่เกิดขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปกป้องคนที่ต้องพลัดถิ่นหรือลี้ภัย อีกทั้งยังได้ระบุบทบาทและความรับผิดชอบของภาคส่วนที่ไม่ใช่รัฐ เช่น ภาคธุรกิจ อีกด้วย

การมีชุมชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เข้มแข็งและหลากหลาย พร้อมด้วยทรัพยากรที่จำเป็นอย่างเพียงพอ ความปลอดภัยและพื้นที่ในการเรียกร้องผู้มีอำนาจ รวมถึงการเสนอทางเลือกใหม่ในการแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนาสังคม ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างอนาคตที่ดีและยั่งยืนกว่า

ปี 2567 เป็นปีที่หนักหนาสาหัส ความปรารถนาของฉันสำหรับปี 2568 คือหวังว่าฉันจะได้เห็นรัฐบาลทั่วโลกปฏิบัติตามพันธะสัญญาของตน ยอมรับบทบาทสำคัญของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการต่อสู้กับความอยุติธรรม และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถทำหน้าที่ได้โดยไม่ต้องหวาดกลัว

โลกที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนมีความปลอดภัย คือโลกที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราทุกคน

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องเผชิญกับการข่มขู่คุกคามและการสอดแนมข้อมูลโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

งานวิจัยของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เปิดเผยรูปแบบของความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศผ่านการใช้เทคโนโลยี ซึ่งมีเป้าหมายเป็นผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงการสอดแนมทางดิจิทัลและการคุกคามทางออนไลน์ ทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลที่ไม่ใช่รัฐ

ในเดือนมิถุนายน 2567 ผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติห้าคนได้เขียนจดหมายถึงรัฐบาลแสดงความกังวลเกี่ยวกับการสอดแนมข้อมูลโดยเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสองคน ได้แก่ อังคณา นีละไพจิตร และปรานม สมวงศ์ อันเกี่ยวเนื่องจากงานรำลึกถึงเหยื่อของการบังคับให้สูญหายที่จัดขึ้นในเดือนมีนาคม 2567

ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ศาลแพ่งกรุงเทพฯ มีคำสั่งยกฟ้องคดีที่จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย ได้ฟ้องร้องบริษัท NSO Group เนื่องจากความล้มเหลวในการป้องกันไม่ให้มีการนำสปายแวร์เพกาซัสของบริษัทมาใช้ในการเจาะระบบโทรศัพท์มือถือของเขา ศาลเห็นว่ามีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าโทรศัพท์มือถือของจตุภัทร์ติดสปายแวร์ดังกล่าว ซึ่งขัดแย้งกับผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์โดยสถาบันวิจัย Citizen Lab และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนสำคัญและเป็นที่รู้จักของไทย เช่น ทนายจูน-ศิริกาญจน์ เจริญศิริ เธอทำงานด้านสิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหารปี 2557 แล้วถูกคดีเพียงเพราะว่าไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถของลูกความของเธอ ซึ่งเป็นนักศึกษาจำนวน 14 คนที่ออกมาชุมนุมโดยสงบเพื่อเรียกร้องและไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่มีหมายค้นตามกฎหมายและเพื่อที่เธอจะคุ้มครองสิทธิของลูกความธรรมดาๆ ของเธอ ทำให้เธอโดนคดีไปด้วย เธอถูกรัฐบาลฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดีในหลายข้อหา ทั้งข้อหายุยงปลุกปั่น (มาตรา 116 ตามประมวลกฎหมายอาญา) พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ

เดือนมีนาคมปี 2561 ทนายจูนได้เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้หญิงไทยคนที่สองที่ได้รับรางวัล “ผู้หญิงกล้าหาญนานาชาติ” (International Women of Courage Award) รางวัลที่เป็นผลมาจากการทำงานหลังเกิดการรัฐประหารในปี 2557 เรื่องราวของทนายจูนเป็นที่รู้จักหลังจากเธอตกเป็นผู้ต้องหาจากการทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ท่ามกลางเสียงชื่นชม และกำลังใจจากผู้คนทั่วโลก ทนายจูนยืนยันว่า ความกล้าหาญนี้ ถูกส่งต่อมาอีกทีจากลูกความของเธอ กลุ่มคนที่กลายเป็นผู้ต้องหาจากการยืนยันว่า สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ และประชาธิปไตยต้องไปด้วยกัน

เรามาร่วมกันยืนหยัดเคียงข้างผู้กล้าทั่วโลกด้วยกัน

เราต้องการโลกที่ทุกคนสามารถพูดในสิ่งที่ถูกต้องได้โดยไม่ถูกโจมตี ข่มขู่ จำคุกหรือถูกกระทำในรูปแบบอื่นๆ รัฐบาลประเทศต่างๆ จำเป็นต้องมีกฎหมายที่คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้ปลอดภัยจากอันตรายและยกเลิกกฎหมายที่กดขี่ เช่น กฎหมายที่ละเมิดสิทธิในเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น

พวกเขาต้องปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังเพียงเพราะกล้าที่จะออกมาท้าทายและต่อสู้กับความอยุติธรรม และต้องหยุดใช้ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง เช่น ข้อหาเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติมาเป็นข้ออ้างในการปิดปากผู้ที่เห็นต่างจากตนเอง

ผู้ร่างกฎหมาย ผู้นำธุรกิจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้มีอิทธิพลอื่นๆ ควรให้คำมั่นต่อสาธารณะว่าจะยืนหยัดเคียงข้างผู้กล้าในทุกที่ โดยการยอมรับว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนคือคนที่มีความมุ่งมั่นและกล้าหาญในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น เราจะสามารถปกป้องพวกเขาจากการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

บทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

เอกสารข้อเสนอถึงผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้ยื่นเอกสารฉบับนี้เพื่อตอบสนองต่อคำเชิญให้มีส่วนร่วมในการจัดทำรายงานฉบับถัดไปของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับบทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการมีส่วนร่วมเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) และความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญในการทำงานดังกล่าว โดยรายงานจะนำเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเดือนตุลาคม 2567

บทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนในปี 2573

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573 ซึ่งได้รับการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยองค์การสหประชาชาติ วาระนี้มีพื้นฐานอยู่บนกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ความยุติธรรมทางสังคมและความครอบคลุม โดยการยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจึงมีบทบาทสำคัญทั้งในการผลักดันให้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เกิดขึ้นจริงและในการตรวจสอบให้รัฐปฏิบัติตาม

พันธกรณีของตน บทบาทของพวกเขายังมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนตระหนักว่าสิทธิมนุษยชนมีลักษณะเป็นสากลและเชื่อมโยงถึงกัน และพวกเขามักปฏิบัติงานโดยยึดหลักความยุติธรรมทางสังคม ความเชื่อมโยงหลากหลายมิติหรือความทับซ้อนกันและความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ

ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมทางสังคม Abahlali baseMjondolo (AbM) ในแอฟริกาใต้ (โปรดดูเอกสารข้อเสนอร่วมกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แอฟริกาใต้) มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเป้าหมายที่ 11 ว่าด้วยเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน โดยการปกป้องสิทธิของผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัด แต่พวกเขายังมีส่วนร่วมในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงประเด็นด้านสุขภาพ การศึกษา การเข้าถึงน้ำ อาหาร ความเหลื่อมล้ำ และความรับผิดชอบของรัฐ พวกเขาทำงานเหล่านี้ผ่านการรณรงค์เรียกร้องสิทธิด้านที่อยู่อาศัย การยุติการบังคับไล่ที่ การเข้าถึงการศึกษา และการจัดบริการสาธารณะพื้นฐาน เช่น น้ำ ไฟฟ้า สุขาภิบาล การรักษาพยาบาล และการจัดเก็บขยะ นอกจากนี้ พวกเขายังแสดงจุดยืนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การต่อต้านความเกลียดชังคนต่างชาติภายในชุมชน และนำเสนอคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายของรัฐต่อประเด็นเหล่านี้ รวมถึงผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของคนยากไร้และคนชายขอบ AbM ยังจัดอบรมให้ความรู้เรื่องสิทธิในที่อยู่อาศัย การใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อต่อสู้กับการบังคับไล่ที่ และริเริ่มโครงการพัฒนาชุมชน เช่น ศูนย์เด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ร้านค้าชุมชน แปลงเกษตร สวนปลูกผัก โรงครัว กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้า และการให้การสนับสนุนแก่คนที่มีเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือผู้ป่วยกำพร้าเนื่องจากโรคเอดส์ในบางชุมชน ล่าสุด หนึ่งในชุมชนของพวกเขาได้รับรางวัลจากองค์กร Southern African Defenders และ AbM ได้แสดงให้เห็นว่าการปกป้องสิทธิมนุษยชนสามารถทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ และแสดงให้เห็นภาพอย่างเป็นรูปธรรมของอนาคตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกด้วย

ตัวอย่างเพิ่มเติมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการผลักดันให้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) บรรลุผลอย่างแท้จริง:

นักปกป้องสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ (เป้าหมายที่ 3 และ 5 ของการพัฒนาที่ยั่งยืน)

การปกป้องการเข้าถึงสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์และสิทธิทางเพศ และสิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดีมีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสุขภาพ (เป้าหมาย 3.2 และ 3.7) ความเท่าเทียมทางเพศ (เป้าหมาย 5.1 และ 5.6) อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องสุขภาพ เพศสภาพ อัตลักษณ์ และสิทธิในเนื้อตัวร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของความยุติธรรมทางสังคม เนื่องจากกลุ่มที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากที่สุดคือกลุ่มคนชายขอบ คนที่ถูกเลือกปฏิบัติและคนยากจน ดังนั้น การเข้าถึงสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ (SRR) สำหรับทุกคนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตที่ “ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” การถกเถียงและการเคลื่อนไหวที่นำโดยผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ (WHRDs) ที่ทำงานด้าน SRR ได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่อาจแยกออกจากกันและความเชื่อมโยงกันของสิทธิมนุษยชน รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้มุมมองที่ทับซ้อนในงานสิทธิมนุษยชน ตัวอย่างเช่น แนวคิดเรื่องความยุติธรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์ (reproductive justice) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้หญิงผิวดำได้ริเริ่มขึ้นโดยใช้มุมมองเฟมินิสม์ที่ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและใช้มุมมองที่ทับซ้อนกัน โดยมีรากฐานอยู่บนความเชื่อที่ว่าปัจเจกบุคคลและชุมชนมีสิทธิในทรัพยากรและอำนาจในการตัดสินใจอย่างยั่งยืนและเสรีภาพในเนื้อตัวร่างกาย เพศสภาพ เพศวิถี และชีวิตของตนเอง ซึ่งหมายถึงการขยายขอบเขตจากการปกป้องสิทธิและทางเลือกของแต่ละบุคคล ไปสู่การแก้ไขปัญหาปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่กว้างขึ้นซึ่งส่งผลกระทบและจำกัดสิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์ การกระทำและการตัดสินใจของบุคคล รวมถึงผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาด้วยเหตุนี้ การถกเถียงเกี่ยวกับ SRR จึงเชื่อมโยงไม่เพียงแต่เรื่องเพศเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับรูปแบบการเลือกปฏิบัติและความเหลื่อมล้ำอื่นๆ เช่น อัตลักษณ์ เชื้อชาติ ชนชั้น ความพิการ และรายได้ เป็นต้น บุคคล กลุ่มบุคคลและขบวนการที่ปกป้องและส่งเสริมสิทธิด้าน SRR และความยุติธรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์ จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งหมดสำหรับทุกคน และในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างครอบคลุม

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเพิ่งเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับนักปกป้องสิทธิสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ โดยมุ่งเน้นไปที่คนทำงานด้านสิทธิในการทำแท้ง รายงานชี้ให้เห็นว่าผู้ที่ปกป้องสิทธิในการทำแท้งทั่วโลกกำลังเผชิญกับการถูกโจมตี ซึ่งรวมถึงนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว นักรณรงค์ นักการศึกษา ผู้ดูแลการเข้ารับบริการในคลินิก ผู้ติดตาม คนที่ให้ความช่วยเหลือระหว่างกระบวนการคลอด (doulas) พวกเขาต้องเผชิญกับการตีตรา การคุกคามทั้งทางร่างกายและวาจา การข่มขู่และการคุกคาม การถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรโดยการดำเนินคดี การสอบสวนและการจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม  ที่พวกเขาตกเป็นเป้าโจมตีไม่ใช่เพียงเพราะทำหน้าที่ปกป้องสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์และสิทธิในการทำแท้ง ซึ่งยังคงถูกทำให้กลายเป็นอาชญากรรมและถูกตั้งข้อถกเถียงในหลายประเทศทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังถูกโจมตีเพราะเป็นผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ พวกเขาต้องตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มที่ต่อต้านความเท่าเทียมทางเพศและต้องการที่จะยังคงใช้แนวคิดหรือวิสัยทัศน์แบบชายเป็นใหญ่และสังคมที่มีบรรทัดฐานรักต่างเพศ (heteronormative)

กลุ่มนักปกป้องสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ ยังรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ปกป้องการเข้าถึงบริการ SRR และสิทธิในการทำแท้งในฐานะความรับผิดชอบทางวิชาชีพของตนเอง อย่างไรก็ตาม ระดับของการตีตรา การทำให้เป็นอาชญากรรม และบรรยากาศแห่งความเกลียดชังที่มีต่อการทำแท้ง ทำให้บุคลากรเหล่านี้ต้อง “ทำมากกว่าแค่หน้าที่ของตนเอง” พวกเขาจงใจเปิดโอกาสให้เข้าถึงสิทธิมนุษยชนหลายประการที่กำลังถูกละเมิดและถูกคุกคามจากการปฏิเสธสิทธิในการทำแท้ง และด้วยเหตุนี้ พวกเขาคือนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยแท้จริง บุคลากรทางการแพทย์บางคนที่ให้สัมภาษณ์ในรายงานฉบับนี้ มองว่าการให้บริการทำแท้งไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ในวิชาชีพและหลักจริยธรรมในการที่จะ “ไม่ก่อให้เกิดอันตราย” (do no harm) เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการด้านสุขภาพที่จำเป็นในลักษณะที่สนับสนุนไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติและยึดหลักสิทธิมนุษยชนสำหรับทุกคน เช่นเดียวกับนักปกป้องสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์คนอื่นๆ บุคลากรทางการแพทย์เหล่านี้มักตกอยู่ในสภาพที่ถูกแยกตัวออกจากสังคม ไม่ได้รับการสนับสนุนและไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชน พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดี ถูกคุกคาม ถูกตีตรา คำขู่ทำร้ายการใช้ความรุนแรงจริง ไปจนถึงการถูกกันออกจากแวดวงวิชาชีพและภาวะหมดไฟในการทำงาน

รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรื่อง ขบวนการเคลื่อนไหวที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ (An unstoppable movement) ได้รวบรวมกรณีของนักปกป้องสิทธิหลากหลายคน รวมถึงเรื่องราวของยุสติน่า วิดซวินสกา (Justyna Wydrzyńska) วาเนสซ่า เมนโดซ่า (Vanessa Mendoza) วาเนสซา โรซาเลส (Vannesa Rosales) และ มิรานดา รูยซ์ (Miranda Ruiz) ซึ่งล้วนต้องเผชิญกับการถูกดำเนินคดีทางอาญาจากการทำงานเกี่ยวกับสิทธิในการทำแท้ง บุคคลจำนวนมากที่ให้สัมภาษณ์ในรายงานฉบับนี้ไม่ได้เปิดเผยชื่อของตนเองเนื่องจากความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่พวกเขาต้องเผชิญในชุมชนและสถานที่ทำงานของตน

นักปกป้องสิทธิที่ทำงานต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (เป้าหมายที่ 16)

แม้ว่าการทุจริตคอร์รัปชันจะถูกกล่าวถึงโดยตรงแค่ในเป้าหมายที่ 16 ของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) แต่ในความเป็นจริง การทุจริตคอร์รัปชันส่งผลร้ายอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน และยังสามารถขัดขวางการดำเนินงานของ SDGs ทุกเป้าหมายได้อย่างมีนัยสำคัญ การทุจริตคอร์รัปชันขัดขวางการเข้าถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนยากจนและคนชายขอบ โดยการจำกัดการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก สินค้าและบริการที่จำเป็น (เช่น การศึกษา อาหาร สุขภาพ น้ำดื่ม ไฟฟ้า และที่อยู่อาศัย) การทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับภัยสุขภาพ ความไม่มั่นคงทางอาหาร การบังคับไล่ที่ และการสูญเสียที่ดินทำกิน ในขณะเดียวกันก็เอื้อประโยชน์และอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่สามารถจ่ายสินบนหรือมีอำนาจแทรกแซงในการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างไม่เป็นธรรมแทนที่ทรัพยากรสาธารณะจะถูกใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน การทุจริตคอร์รัปชันทำให้งบประมาณถูกยักยอกหรือยักย้ายออกจากงบประมาณทางสังคม นอกจากนี้ เมื่อมีการทุจริตคอร์รัปชันในระดับสูง อาจเป็นอุปสรรคต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในการลงทุนทางธุรกิจ ซึ่งส่งผลให้รัฐขาดแคลนเงินทุนสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ

นักปกป้องสิทธิที่ทำงานต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันจึงเป็นบุคคลสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน

ตามที่ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติได้เน้นย้ำไว้ นักปกป้องสิทธิที่ทำงานต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันต้องเผชิญกับความเสี่ยงและการโจมตีในหลายพื้นที่ทั่วโลก ในรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ปี 2566 เรื่อง “การต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชันกำลังตกอยู่ในอันตราย” (Anti-corruption fight in peril) ได้มีการศึกษาสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิที่ทำงานต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง สถานการณ์ของพวกเขามีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษ เนื่องจากพวกเขาทำงานในบริบทที่มีข้อจำกัดอย่างรุนแรงต่อสิทธิมนุษยชนและพื้นที่พลเมือง รวมถึง สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วงและสิทธิในเสรีภาพการสมาคมและการแสดงออก รายงานฉบับนี้มีตัวอย่างงานมากมายที่พวกเขาทำ รวมถึงความเสี่ยงและการโจมตีที่พวกเขาต้องเผชิญ

นักปกป้องสิ่งแวดล้อม (เป้าหมายที่ 6 7 11 12 13 14 และ 15)

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมมีบทบาทโดยตรงในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) หลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดำรงชีวิตและวิธีการผลิตที่ยั่งยืน รวมถึงเมืองที่ยั่งยืน ซึ่งได้กล่าวถึงไว้ในเป้าหมายที่ 6 7 11 12 13 14 และ 15 นอกจากนี้ นักปกป้องสิทธิเหล่านี้ยังได้พัฒนาหลักการของความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมุ่งเน้นที่สาเหตุเชิงโครงสร้างของวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ และวิธีการที่สถานการณ์เหล่านี้เป็นทั้งผลลัพธ์และตัวขับเคลื่อนของความไม่เท่าเทียมกันทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศ ซึ่งหมายความว่างานของพวกเขายังมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและความอยุติธรรมอีกด้วย ข้อเรียกร้องของพวกเขาเกี่ยวกับความยุติธรรมทางเพศ เชื้อชาติ ชนชั้น ชาติพันธุ์ ความพิการ และความยุติธรรมระหว่างรุ่น เป็นสิ่งสำคัญต่อการบรรลุหลักการของความครอบคลุมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ความท้าทายที่นักปกป้องสิทธิเหล่านี้ต้องเผชิญ (โดยเฉพาะกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองและคนที่ถูกเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท และนักปกป้องสิทธิที่ถูกเลือกปฏิบัติในรูปแบบอื่น ๆ) ได้รับการยอมรับและมีการบันทึกไว้เป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ผลงานและความสำเร็จของพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่ามีทางเลือกอื่นในการพัฒนาที่มีความยั่งยืนและครอบคลุมมากกว่า รายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ปี 2556 เรื่อง “ไม่มีอนาคตที่ปราศจากความกล้าหาญ” (No future without courage) ยังแสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ของพวกเขากำลังนำมาซึ่งความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น กรณีของสหพันธ์ชาวประมงพื้นบ้าน สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวแห่งจังหวัดซันตานแดร์ ประเทศโคลอมเบีย แสดงให้เห็นว่านักปกป้องสิทธิในองค์กรนี้กำลังเผชิญหน้ากับบรรษัทน้ำมันที่ก่อมลพิษต่อแหล่งน้ำ ปกป้องและติดตามทรัพยากรน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ และยังสามารถประกอบอาชีพจากการประมงและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้ การปราบปรามนักปกป้องสิทธิเหล่านี้ หรือการเพิกเฉยและกีดกันพวกเขาออกจากกระบวนการวางแผน ออกแบบและดำเนินนโยบายระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการบ่อนทำลายโครงการทั้งหมดโดยสิ้นเชิง

บทสรุป

เช่นเดียวกับโครงการด้านสิทธิมนุษยชน วาระการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่สามารถดำเนินการให้สำเร็จได้โดยรัฐเพียงลำพังและไม่สามารถถูกกำหนดจากเบื้องบนได้ หากปราศจากการตรวจสอบอย่างละเอียด การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและการมีสนับสนุนของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้มีการสนทนาพูดคุยกับชุมชนที่พวกเขาเป็นตัวแทน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อาจเสี่ยงที่จะกลายเป็นเพียงกระบวนการที่ไม่มีประสิทธิภาพหรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบหรือเป็นอันตราด้วยซ้ำ

พวกเราเรียกร้องต่อผู้รายงานพิเศษว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนให้เตือนรัฐบาลทั้งหลายถึงพันธกรณีของตนในการยอมรับบทบาทอันชอบธรรมของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งจัดให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการทำงานของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังไม่เพียงพอ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนยังคงถูกกีดกันออกจากกระบวนการวางแผนและดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาที่ยั่งยืน และสิทธิมนุษยชนอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ในเอกสารข้อสเนอร่วมระหว่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกับศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ (Center for International Environmental Law: CIEL) เราได้ชี้ให้เห็นว่านักกิจกรรมด้านสภาพภูมิอากาศมักถูกกีดกันและถูกทำให้เงียบในที่ประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP) อย่างต่อเนื่อง

ด้วยเหตุนี้ พวกเราขอเรียกร้องให้รัฐและองค์กรพหุภาคีต่างๆ ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รับรองสิทธิในข้อมูลข่าวสารและการมีส่วนร่วมของทุกชุมชนที่ได้รับผลกระทบและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ และสร้างกระบวนการปรึกษาหารือที่มีความหมายและครอบคลุมอย่างแท้จริง เพื่อให้แผนปฏิบัติการใดๆ สะท้อนถึงผลประโยชน์และสิทธิของประชาชนที่เกี่ยวข้องทุกกลุ่มอย่างแท้จริงในความหลากหลายของพวกเขา

แอมเนสตี้เรียกร้องอะไร?

แม้ว่าการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นทุกวัน แต่มาตราการปกป้องคุ้มครองพวกเขายังมีความบกพร่องอยู่ แอมเนสตี้จึงรณรงค์เพื่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้

  • นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสามารถทำงานได้อย่างอิสระ ไม่ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพหรือถูกคุกคามในทุกรูปแบบ
  • สังคมรู้จักและเข้าใจงานของนักปกป้องมนุษยชนมากขึ้น
  • เปลี่ยนแปลง ยกเลิก หรือแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อกลั่นแกล้งนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
  • นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกจับหรือถูกกักขังจากการทำงานของพวกเขาต้องได้รับการปล่อยตัวโดยทันทีและอย่างไม่มีเงื่อนไข
  • การทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทุกภาคส่วนในสังคม
  • นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นผู้หญิงและเยาวชนต้องมีพื้นที่ในการทำงานมากขึ้น

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยในประเด็นนักปกป้องสิทธิให้

  • ประกาศคำมั่นในการยุติการใช้ความรุนแรงในโลกดิจิทัล รวมถึงการพุ่งเป้าสอดแนมและการใช้ปฏิบัติการใส่ร้ายป้ายสีต่อนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
  • ดำเนินการให้มีการสอบสวนโดยพลัน เป็นอิสระ ไม่ลำเอียง มีประสิทธิภาพและโปร่งใสต่อกรณีการพุ่งเป้าสอดแนมทางดิจิทัล การคุกคามทางออนไลน์ต่อนักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยคำนึงถึงผลกระทบพิเศษต่อผู้หญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้กระทำความผิด 
  • จัดให้มีแนวทางการสื่อสารสาธารระสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ทางการหลีกเลี่ยงการคุกคามในโลกออนไลน์ต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงการใช้ข่าวปลอมโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้วย
  • ทำงานเชิงรุกในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงหน่วยงานความมั่นคงได้เคยจัดทำไว้กับบริษัทเอกชนที่ขายสินค้าและบริการด้านการสอดแนมข้อมูล
  • บังคับห้ามไม่ให้มีการใช้สปายแวร์ที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวสูง เช่น สปายแวร์เพกาซัส เนื่องจากสปายแวร์ลักษณะนี้ไม่สามารถจำกัดการทำงานไว้เฉพาะส่วนที่จำเป็นได้ และไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบการทำงานได้อย่างอิสระ
  • กำกับดูแลการใช้สปายแวร์ให้สอดคล้องกัลหลักการสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หากยังไม่มีกฎหมายหรือระเบียบดังกล่าว ทางการต้องประกาศพักการซื้อ ขาย โอนและการใช้งานสปายแวร์ทั้งหมดก่อน 
  • ดำเนินการด้านกฎหมาย นโยบายทางสังคมและแผนงานด้านการศึกษาเพื่อรับรอง อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเปิดเผย เพื่อให้ตระหนักรู้ถึงบทบาทของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงทบทวนแนวทางการกำหนดนโยบายของรัฐในแผนปฏิบัติการต่างๆ เช่น แผนสิทธิมนุายชนแห่งชาติและแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
  • พิจารณาออกกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน รวมถึงกฎหมายต่อต้านการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางสาธารณะ (SLAPPs) ที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
  • สร้างพื้นที่ให้มีการปรึกษาหรือรืออย่างจริงจังกับองค์กรภาคประชาสังคม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมที่ทำงานประเด็นสิทธิผู้หญิง สิทธิของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิในที่ดินและสิ่งแวดล้อม สิทธิชนเผ่าพื้นเมืองและสิทธิเด็ก ในกระบวนการจัดทำนโยบาย การดำเนินงานและการติดตามผลให้สามารถใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามอนุสัญญาระหว่างประเทศได้

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • รายงาน “พวกเขาไม่สามารถทำให้เราเงียบได้”: เมื่อนักกิจกรรม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และบุคคลอื่นในประเทศไทยโดนเอาผิดทางอาญา