สิทธิมนุษยชนศึกษา

สิทธิมนุษยชนศึกษา

ถึงเวลาแล้วที่สิทธิมนุษยชนจะเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะสำหรับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่จะร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม เมื่อไหร่ที่เมล็ดพันธุ์แห่งสิทธิมนุษยชนได้แผ่ขยายไปยังพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะในบ้าน ห้องเรียน สนามเด็กเล่น องค์กรหรือที่ใดก็ตามที่ทุกคนมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ ส่งเสริมและมีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสิทธิมนุษยชน เมื่อนั้น สังคมจึงจะเกิดจิตสำนึกร่วมกัน โดยคุณค่าและหลักการแห่งสิทธิมนุษยชนจะเป็นตัวกำหนดความคิดและการกระทำของชุมชนต่างๆ ในสังคม และพฤติกรรมของคนในสังคมก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงตาม

การนำสิทธิมนุษยชนมาใช้ในการขยายพื้นที่ที่ทุกคนมีส่วนร่วม สร้างพื้นที่แห่งการยอมรับและเคารพทุกความหลากหลายของชีวิตในสังคม และในขณะเดียวกันก็ลดพื้นที่ของความไม่เป็นธรรม การกลั่นแกล้ง การแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติ จะเป็นวิธีที่เราสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างลึกซึ้งและแน่นแฟ้นมากขึ้นกับผู้คนที่มีความหลากหลาย พวกเราจะผูกพันกันไม่ใช่ด้วยฐานะ สีผิวหรือความสำเร็จ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันโดยสิทธิที่พึงได้รับ เพราะการมองโลกเช่นนี้ เราจึงลงมือทำ ออกมาพูดและแสดงจุดยืนในสิทธิของเรา รวมถึงเคารพสิทธิของผู้อื่น

เพื่อสร้างพื้นที่ในการให้สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของทุกคน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงใช้สิทธิมนุษยชนศึกษาเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เสริมสร้างศักยภาพซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้คนได้เข้าใจว่าสิทธิมนุษยชนคืออะไร แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในส่วนที่จะกระทบกับชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขา รวมถึงการกระทำการใดๆ เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนในแง่ปัจเจกชนและกลุ่มบุคคลอีกด้วย

คุณค่าความเป็นมนุษย์คือสิ่งที่ทำให้คนมีค่าเท่ากัน ไม่ว่าเราจะเกิดที่ไหน มีสีผิวอย่างไร นับถือศาสนาอะไร ไม่ว่าเราจะรวยหรือจน สิทธิมนุษยชนคือสิ่งที่ทำให้เราไม่ต่างกัน

Human Rights Education = I + You + Recognise + Respect + Rights and Responsibilities
สิทธมนุษยชนศึกษา = ตัวฉัน + ตัวคุณ + ความตระหนักรู้ + การเคารพ + สิทธิและความรับผิดชอบต่อสิทธิ

สิทธิมนุษยชนศึกษาคืออะไร?

สิทธิมนุษยชนศึกษา (Human Rights Education: HRE) เป็นขั้นตอนและกระบวนการเรียนรู้ที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะอายุเท่าไหร่ก็ตาม หรือไม่ว่าจะอยู่ที่ใด สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของตนเอง สิทธิของผู้อื่น คุณค่าความเป็นมนุษย์ รวมไปถึงวิธีการเรียกร้องสิทธิเหล่านั้นด้วยภายใต้กรอบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรม เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่อง

สิทธิมนุษยชนศึกษาสามารถทำให้ผู้คนพัฒนาทักษะและทัศนคติเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นสนุษย์และการเคารพกันภายในชุมชน สังคมของตนเองหรือแม้กระทั่งสังคมโลก ผ่านการศึกษาทั้งในและนอกห้องเรียน หรือผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้สร้างความเข้าใจต่อประเด็นทางสังคมจากมุมมองด้านสิทธิมนุษยชน และเพิ่มพูนทักษะเพื่อสร้างความชัดเจนในเรื่องสิทธิของตนเอง รวมถึงการสื่อสารและเผยแพร่กระบวนการคิดนี้ไปยังผู้อื่น

ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยการศึกษาและฝึกอบรมด้านสิทธิมนุษยชน (United Nations Declaration on Human Rights Education and Training – UNDHRET) ได้ให้คำจำกัดความการศึกษาและการฝึกอบรมด้านสิทธิมนุษยชนไว้ว่าเป็น “ความพยายามในการเรียนรู้ การศึกษา การฝึกอบรมหรือข้อมูลใดๆ ที่มุ่งสร้างวัฒนธรรมสากลด้านสิทธิมนุษยชน”

องค์การสหประชาชาติกับสิทธิมนุษยชนศึกษา

สิทธิมนุษยชนศึกษาได้ถูกประกาศในทศวรรษการศึกษาเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Decade for Human Rights Education – UNDHRE, 1995-2004) เพราะองค์การสหประชาชาติเล็งเห็นถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนศึกษาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างศักยภาพ หนุนเสริมและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ในระยะยาว โดยประกาศฯ ฉบับนี้เป็นช่องทางการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนศึกษาในหลายระดับตั้งแต่ในระดับท้องถิ่น ประเทศและภูมิภาค โดยในวันที่ 10 ธันวาคม 2547 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ประกาศแผนปฏิบัติการระดับโลกด้านสิทธิมนุษยชนศึกษา หรือ World Programme for Human Rights Education (2005 – ongoing) เพื่อส่งเสริมการดำเนินการตามโครงการด้านสิทธิมนุษยชนโดยมุ่งส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันในหลักการพื้นฐานและสิทธิมนุษยชนศึกษา เพื่อจัดทำกรอบการทำงานที่เป็นรูปธรรมสำหรับการดำเนินการ และเพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือจากระดับนานาชาติลงไปจนถึงระดับรากหญ้า โดยจะเป็นแผนปฏิบัติการที่ต่อเนื่องและมีการวางกรอบระยะเวลาทุกๆ 4 ปีดังนี้

  • แผนระยะที่ 1 (พ.ศ. 2548 – พ.ศ. 2552) สิทธิมนุษยชนศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 
  • แผนระยะที่ 2 (พ.ศ. 2553 – พ.ศ. 2557) สิทธิมนุษยชนศึกษาในระดับอุดมศึกษาและการฝึกอบรมสิทธิมนุษยชนสำหรับครูและนักการศึกษา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและบุคลากรทางทหาร
  • แผนระยะที่ 3 (พ.ศ. 2558 – พ.ศ. 2562) เน้นการหนุนเสริมในการนำแผนระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ไปปฏิบัติ และส่งเสริมการฝึกอบรมกับกลุ่มสื่อมวลชนและนักข่าว 
  • แผนระยะที่ 4 (พ.ศ. 2563 – พ.ศ. 2567) กลุ่มเป้าหมายคือเยาวชน โดยมุ่งเน้นการศึกษาและการฝึกอบรมในเรื่องความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชนและการไม่เลือกปฏิบัติ การเปิดกว้างและการเคารพในความแตกต่าง เพื่อสร้างสังคมที่เปิดกว้างและสงบสุข และเพื่อเชื่อมโยงแผนระยะที่ 4 กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs)  
  • แผนระยะที่ 5 (พ.ศ. 2568 – พ.ศ. 2572) ยังคงมุ่งเน้นที่เยาวชนต่อไป ขณะเดียวกันก็ขยายขอบเขตให้รวมถึงเด็กๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญ โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนและเทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเท่าเทียมทางเพศ อีกทั้งยังจัดให้แผนระยะที่ 5 นี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2573 โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 4.7 ซึ่งคำนึงถึงการทำงานร่วมกันระหว่างแนวคิดและวิธีการศึกษาที่แตกต่างกัน

ในปีพ.ศ. 2554 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนศึกษาและการฝึกอบรม (United Nations Declaration on Human Rights Education and Training – UNDHRET) เพื่อกำหนดนิยาม องค์ประกอบ แนวปฏิบัติของสิทธิมนุษยชนศึกษาและการฝึกอบรม รวมถึงหน้าที่ของรัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรระหว่างประเทศทั้งในระดับสากลและระดับภูมิภาค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนต่อสิทธิมนุษยชนศึกษา

หลักการสำคัญของปฏิญญาฯ ฉบับนี้ ได้แก่

  • ข้อ 1 ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความรู้ ข่าวสาร ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสามารถเข้าถึงสิทธิมนุษยชนศึกษาและการฝึกอบรมด้านสิทธิมนุษยชน
  • ข้อ 3 สิทธิมนุษยชนศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนทุกวัย
  • ข้อ 4 สิทธิมนุษยชนศึกษาควรอยู่บนพื้นฐานตามหลักการของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและตราสารระหว่างประเทศ
  • ข้อ 5 สิทธิมนุษยชนศึกษา ไม่ว่าจะดำเนินการโดยภาครัฐหรือภาคเอกชน จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค โดยเฉพาะความเสมอภาคระหว่างเด็กหญิงและเด็กชาย และควรคำนึงถึงบุคคลในกลุ่มที่มีความยากลำบากเป็นพิเศษ เช่น คนพิการ เป็นต้น

แอมเนสตี้กับสิทธิมนุษยชนศึกษา

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเองก็มีการทำงานที่มุ่งเน้นสิทธิมนุษยชนศึกษาในหลายระดับและหลายพื้นที่ สิทธิมนุษยชนศึกษาเป็นทั้งเครื่องมือในการทำความเข้าใจประเด็นสิทธิมนุษยชนและการขับเคลื่อนงานรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน

สิทธิมนุษยชนศึกษา (Human Rights Education: HRE) เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญและเป็นหนึ่งในงานหลักในการทำงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชนที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลทั่วโลกนำมาใช้ เพราะเป็นส่วนสำคัญในงานรณรงค์ขององค์กร สิทธิมนุษยชนศึกษามีความสำคัญในการสร้างเสริมความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชน (human rights awareness) สร้างเสริมศักยภาพ (Empower) ให้ผู้คนในสังคม รวมทั้งสร้างเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนองค์รวม พร้อมทั้งปลูกฝังความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมและทักษะที่สำคัญในการเคารพและปกป้องสิทธิเหล่านั้น

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในกว่า 50 ประเทศมีการนำเอากระบวนการต่างๆ มาใช้ในงานสิทธิมนุษยชนศึกษา ผู้ที่สนับสนุนแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจากทั่วโลกต่างช่วยกันผลักดันและลงมือปฏิบัติงานกับภาคการศึกษาของรัฐโดยการล็อบบี้รัฐบาลของตนเพื่อเน้นย้ำถึงหลักประกันว่าจะมีการนำเรื่องสิทธิมนุษยชนไปไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียน มหาวิทยาลัย การศึกษาของทหาร ตำรวจและข้าราชการพลเรือน ส่วนการทำงานกับภาคเอกชนนั้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังทำงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชนศึกษากับเครือข่ายและสถาบันที่หลากหลาย รวมทั้ง นักรณรงค์ นักข่าว สหภาพแรงงาน กลุ่มผู้หญิงและชุมชนในระดับรากหญ้า เพื่อให้สร้างความสนใจและเกิดการพัฒนา รวมถึงเพิ่มพูนแหล่งข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาให้มากขึ้น

ในหลายประเทศทั่วโลก สิทธิมนุษยชนศึกษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นรากฐานของสังคมที่ยุติธรรมและเท่าเทียม สิทธิมนุษยชนศึกษายังรวมถึงการถ่ายทอดและฝึกฝนทักษะใหม่ๆ ให้กับผู้ที่สนใจเพื่อให้สามารถนำไปเผยแพร่และต่อยอดสำหรับการณรงค์เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อีกด้วย

ดังนั้นสิทธิมนุษยชนศึกษาในแอมเนสตี้ จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการสิทธิมนุษยชน เป็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในทุกๆ ด้านตามที่ระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) กติการะหว่างประเทศและข้อตกลงระหว่างประเทศอื่นๆ รวมทั้งกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศซึ่งมุ่งเน้นความเป็นสากล ความไม่แบ่งแยกและมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันของสิทธิมนุษยชนทุกข้อ เพื่อทำความเข้าใจบริบทและปัญหาในสังคมให้มากขึ้นผ่านมุมมองด้านสิทธิมนุษยชน

ทำไมแอมเนสตี้ถึงต้องสอนสิทธิมนุษยชน

เด็กและเยาวชนต้องเจอกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในทุกๆ วัน พวกเขาเห็นผู้ลี้ภัยถูกพัดมาถึงชายฝั่งทะเลตามโทรทัศน์ ติดตามข่าวสารการก่อการร้ายจากโซเชียลมีเดีย รวมถึงการที่พวกเขาเองกลายเป็นคนที่อาจจะต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้ง การเหยียดและความไม่เป็นธรรมในรูปแบบอื่น เมื่อมีโอกาส พวกเขาหลายคนมีความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้กับประเด็นทางศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การทรมาน ความยากจน การลี้ภัย สิทธิผู้หญิงและเสรีภาพในการแสดงออก

การทำความเข้าใจกับสิทธิมนุษยชนไม่ใช่แนวคิดที่เป็นนามธรรม แต่มันจะช่วยให้เยาวชนเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริง ดังนั้น สิทธิมนุษยชนศึกษาจึงเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้ความเข้าใจนั้นเกิดขึ้น

เป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่แอมเนสตี้ สหราชอาณาจักรมีนักเรียนหลายหมื่นคนทั่วประเทศผ่านสิทธิมนุษยชนศึกษา แอมเนสตี้ได้สร้างพื้นที่ให้เกิดการอภิปรายผ่านอนิเมชั่นภายในห้องเรียน โดยการตั้งคำถามว่า “ทำไมสิทธิมนุษยชนถึงมีความสำคัญกับพวกเราทั้งหมดและการปกป้องสิทธิเหล่านั้นมีความหมายอย่างไรกับเรา?”

งานวิจัยของแอมเนสตี้ได้มีการนำเสนอว่าสิทธิมนุษยชนศึกษาสามารถทำให้โรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยขึ้น พร้อมทั้งยังลดจำนวนเหตุการณ์การกลั่นแกล้งได้ด้วย และทำให้เหล่านักเรียนตระหนักมากขึ้นถึงสังคมของพวกเขา คุณครูได้แจ้งว่าทัศนคติและความประพฤติของนักเรียนมีการพัฒนาขึ้นหลักจากคาบเรียนสิทธิมนุษยชนที่สร้างมาจากการอ้างอิงแหล่งข้อมูลของแอมเนสตี้

ในระยะยาว สิ่งที่จะการันตีถึงสังคมที่เคารพและปกป้องสิทธิมนุษยชนก็คือ “การเป็นพลเมืองที่กระตือรือร้น เป็นกลุ่มคนที่รู้ถึงสิทธิของตัวเองและสามารถปกป้องสิทธิเหล่านั้นได้”

หลักการของสิทธิมนุษยชนศึกษาในแอมเนสตี้

  • เป็นพื้นฐานในการส่งเสริมและประคับประคองวัฒนธรรมและค่านิยมของสิทธิมนุษยชนและมีส่วนร่วมในการสร้างความก้าวหน้าของการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก
  • เป็นพื้นฐานของโครงร่างทางกฎหมายและกลไกที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน
  • เป็นไปตามค่านิยมของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียม ความหลากหลาย ความเป็นธรรม เสรีภาพและความเคารพ
  • เป็นการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัย ครอบคลุมและสามารถเข้าถึงได้​
  • เป็นกระบวนการที่เน้นการปฏิบัติจริง ให้ความรู้ ทักษะและทัศนคติกับผู้คนในการอ้างสิทธิในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของตนเอง
  • เป็นการเผชิญหน้าและต่อสู้กับทัศนคติและวาทกรรมที่กดขี่ในทุกรูปแบบ​
  • เป็นการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและพัฒนาด้วยบริบทของผู้เรียน ครอบคลุมทั้งบริบทด้านภาษา วัฒนธรรม สังคม ประวัติศาสตร์และภูมิประเทศ​
  • เป็นการใช้ปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนมีความรับผิดชอบ กระตือรือร้นและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยัง​นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับโลก​
  • เป็นการสร้างและส่งเสริมความต่อเนื่องในการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมเพื่อทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างยั่งยืน

การศึกษาสิทธิมนุษยชนของแอมเนสตี้ครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง

  • ความรู้และทักษะ: เรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและกลไกของสิทธิมนุษยชน ค่านิยม ทัศนคติและพฤติกรรมในการนำเอาไปใช้ในชีวิตจริง​
  • ค่านิยม ทัศนคติและพฤติกรรม: พัฒนาค่านิยม เสริมสร้างทัศนคติและพฤติกรรมที่สนับสนุนสิทธิมนุษยชน​
  • การปฏิบัติจริง: ได้มาซึ่งทักษะการใช้สิทธิมนุษยชนในชีวิตประจำวัน และการลงมือทำเพื่อปกป้องและสนับสนุนสิทธิมนุษยชนในทางปฏิบัติ

กระบวนการการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนของแอมเนสตี้มุ่งตอบสนองต่อจุดมุ่งหมายพื้นฐาน 5 ประการคือ

  • เพื่อสร้างเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการการตัดสินใจอย่างเป็นประชาธิปไตย
  • เพื่อตั้งคำถามและระบุต้นเหตุของการละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • เพื่อหลีกเลี่ยงและยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติ
  • เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม

กิจกรรมในกระบวนการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาของแอมเนสตี้มักมุ่งเน้น

  • ให้เกิดการตั้งคำถาม สร้างความท้าทายและเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด คุณค่าและพฤติกรรม
  • การเพิ่มพูนศักยภาพเพื่อการคิดวิเคราะห์
  • การสร้างเสริมความตระหนักรู้
  • การส่งเสริมการยึดมั่นในคุณค่าและการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน
  • ให้เกิดการลงมือทำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยเคารพ ปกป้องและส่งเสริมความเข้าใจประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน

สิทธิมนุษยชนศึกษาของแอมเนสตี้มีแนวทางอย่างไรบ้าง

สิทธิมนุษยชนศึกษาจะทำให้ทุกคนในสังคม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มั่นใจได้ว่าสิทธิมนุษยชนของพวกเขาได้รับการยอมรับตามหลักสากล รวมทั้งกลายเป็นส่วนหนึ่งและความคุ้นชินของผู้ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้

สิทธิมนุษยชนสามารถศึกษาผ่านการ

สิทธิมนุษยชนศึกษาสนับสนุนการทำงานของแอมเนสตี้อย่างไรบ้าง

ในปีพ.ศ. 2564 เครือข่ายการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีโครงการสิทธิมนุษยชนศึกษาทั่วโลกกว่า 167 โครงการ ผู้คนในกว่า 212 ประเทศและเขตการปกครอง นับเป็นจำนวนกว่า 2.07 ล้านคนได้รับความรู้และสามารถลงมือปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดย 90% เป็นเยาวชน

วิธีการที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลใช้สำหรับสิทธิมนุษยศึกษานั้นเป็นรูปแบบของการมีส่วนร่วม ซึ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและเชื่อมโยงการเสริมอำนาจในการแสดงความคิดเห็นและดำเนินการเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน เราดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการ ไม่เป็นทางการ ทั้งทางออนไลน์ ออฟไลน์และการเรียนรู้แบบผสมผสานโดยใช้เทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)

ดังนั้น สิทธิมนุษยชนศึกษาจึงสนับสนุนการทำงานของแอมเนสตี้ในรูปแบบของการ

  • ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนสามารถเข้าใจได้​ง่ายขึ้นและเกี่ยวข้องกับ​ทุกคนมากขึ้น
  • เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการรณรงค์และทำให้เกิดการสื่อสารสาธารณะมากขึ้น
  • ขับเคลื่อนผู้คนให้มีการปฏิบัติ มีส่วนร่วม​และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพเกี่ยวกับงานด้านสิทธิมนุษยชน
  • สร้างเป้าหมายในการทำให้ทุกคน​ในโลกตระหนักรู้และสามารถปกป้อง​สิทธิมนุษยชนของตนเองได้

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีฝ่ายที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาโดยเฉพาะ เพื่อศึกษาข้อมูล ผลิตเนื้อหาและเครื่องมือต่างๆ รวมถึงออกแบบกิจกรรม กระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนศึกษาในระดับต่างๆ มีการสร้างสื่อการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์ การทำกิจกรรมกับครูและอาจารย์ ผู้เป็นพลังสำคัญของการส่งเสริมการศึกษา การสร้างชมรมหรือกลุ่มกิจกรรมนอกห้องเรียน ในสถานศึกษา เช่น โครงการ Human Rights Friendly School เพื่อส่งเสริมให้เกิดความสนใจและเกิดการพัฒนาต่อไป รวมถึงเพิ่มพูนแหล่งข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาให้มากขึ้น รวมทั้งการทำงานเชิงนโยบายเพื่อผลักดันให้รัฐบาลต่างๆ นำสิทธิมนุษยชนศึกษาบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนในระดับประเทศอีกด้วย

สำหรับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย นับตั้งแต่เริ่มงานด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาในปีพ.ศ. 2539 เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งสิทธิมนุษยชนเพื่อให้เกิดการปลูกฝังและเจริญเติบโตผ่านการสนับสนุนและจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ เช่น การอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) การบรรยายในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน การทำห้องเรียนสิทธิมนุษยชนทั้งในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย การฉายภาพยนตร์และสารคดี การจัดสัมมนา วงคุย นิทรรศการภาพถ่าย รวมถึงผลิตสื่อและอุปกรณ์สำหรับสิทธิมนุษยชนศึกษาโดยเน้นไปที่นักเรียนนักศึกษาตั้งแต่มัธยมต้นไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย

ปัจจุบัน มีสถานศึกษาต่างๆ ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัยและหน่วยงานอื่นๆ ให้ความร่วมมือแล้วมากกว่า 40 แห่ง โดยหลายสถาบันมีการรวมกลุ่ม “คลับแอมเนสตี้” ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวมคนรุ่นใหม่ที่สนใจสิทธิมนุษยชนมารวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ร่วมกัน

สิทธิมนุษยชนศึกษาสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรบ้าง

จากการทำงานสิทธิมนุษยชนศึกษาทั้งในสถานศึกษาและในชุมชนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 เราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นลำดับขั้นในหลายระดับ โดยสามารถรับฟังเรื่องเล่าของการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายได้จากเรื่องเล่าเหล่านี้

ทีมแอมเนสตี้ ประเทศไทย

“สิทธิมนุษชนศึกษา คือ เครื่องมือในการเชื่อม และส่งต่อคุณค่าด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะในสถานศึกษา ที่ทำงาน หรือในครอบครัว หากเราทุกคนควรมีความเข้าใจและตระหนักรู้ในคุณค่าด้านสิทธิมนุษยชน เราจะสามารถยืนยันและปกป้องสิทธิไม่ใช่เพียงแต่สิทธิมนุษยชนของตัวเราเอง แต่ยังรวมถึงสิทธิมนุษยชนของคนอื่นๆ ในสังคม และยังร่วมกันผลักดันให้โลกของเราเป็นสังคมที่เคารพสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นรากฐานแห่งความเท่าเทียม”

อสมา มังกรชัย

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

“สิทธิมนุษยชนศึกษาสำคัญมากสำหรับนักศึกษาในบริบทพื้นที่ชายแดนใต้ที่มีความท้าทายในหลายมิติ อาทิ มิติความรุนแรง ความมั่นคงหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น อิสลามที่เผชิญความท้าทายของโลกสมัยใหม่ ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนในพื้นที่นี้จะช่วยทำให้เขาเข้าใจในสิทธิของตนเองและรับมือกับความท้าทายต่างๆในชีวิตได้ดีขึ้น”

ธีระพล อันมัย

“เสรีภาพในการแสดงออก ทั้งการตั้งคำถาม การแสดงความคิดเห็นหรือการวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติที่ต้องส่งเสริม สนับสนุน เพราะมันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ใช่อาชญากรรม”

ยุทธ ขวัญเมืองแก้ว

“สิทธิมนุษยชนศึกษาช่วยให้คนเคารพกันและกัน คนจะตระหนักเรื่องของสิทธิมากขึ้น สังคมจะสงบสุขและเจริญขึ้น เพราะไม่เสียพลังงานไปกับความขัดแย้ง”

ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล

ประธานคณะกรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และ

อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“การเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนทำให้เรากล้าตั้งคำถามต่อความไม่เป็นธรรมที่เป็นอยู่ ทำให้เรามีจินตนาการต่อโลกที่สวยงามขึ้น ทำให้เราฝึกฝนใช้ความสร้างสรรค์ในการสื่อสารและปฏิบัติต่อกัน”

17

ห้องเรียนสิทธิมนุษยชนที่แอมเนสตี้

ประเทศไทย จัดขึ้นในปี 2568

1,897

คน ที่ได้รับความรู้ด้านสิทธิมนุษยชน

ในปี 2568

4,586

ปฏิบัติการเพื่อร่วมปกป้องสิทธิมนุษยชน

จากกิจกรรมสิทธิมนุษยชนศึกษา

ร่วมเป็นอีกพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคม

ด้วยสิทธิมนุษยชนศึกษา

การสนับสนุนของคุณช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง

ด้วยพลังของคนธรรมดาๆ เช่นคุณที่ร่วมมือกับเรา การซ้อมผู้ต้องหาของตำรวจกลายเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ที่ถูกจับเพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐได้รับการปล่อยตัว ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนยากจนที่ถูกรังแกได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย คนหลากเชื้อชาติ เพศ ศาสนา และพื้นเพต่างเข้าถึงสิทธิทางสังคมอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น