นักกิจกรรมและเยาวชน

นักกิจกรรม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล คือ ผู้ที่ลงมือปฏิบัติการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งด้วยตัวเองหรือร่วมมือกับผู้อื่นผ่านการลงมือปฏิบัติหรือการเคลื่อนไหวโดยไม่ใช้ความรุนแรงทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ ภายใต้การมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากแอมเนสตี้ เช่น

  • การเข้าร่วมงานรณรงค์และปฏิบัติการของแอมเนสตี้ 
  • การริเริ่มกิจกรรมและงานรณรงค์ในพื้นที่ของตัวเอง 
  • การเผยแพร่ความเข้าใจและความตระหนักรู้ในประเด็นสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้อื่น เช่น การทำห้องเรียนสิทธิมนุษยชน การแบ่งปันเรื่องราวการเคลื่อนไหวและข้อเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ บนโลกออนไลน์ 
  • การยืนหยัดเคียงข้างผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การเขียนจดหมายให้กำลังใจแก่ครอบครัวและผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • การกดดันรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจให้ปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน เช่น การลงชื่อในปฏิบัติการด่วน การชุมนุมประท้วงโดยสงบ การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เป็นต้น 

การเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชนต้องอาศัยพลังของผู้คน แอมเนสตี้เชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นนักกิจกรรมได้ เพียงแค่ส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน ก็สามารถร่วมสร้างพลังที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง

เราเชื่อว่า “เยาวชน” คือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (หรือ แอมเนสตี้ ประเทศไทย) ทำงานร่วมกับเยาวชนทั่วประเทศ โดยเราเชื่อว่าเยาวชนเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชน เยาวชนสามารถเป็นทั้งผู้นำและผู้ริเริ่มในการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ตั้งแต่ระดับพื้นที่ของพวกเขาเองไปจนถึงระดับสากล เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาแผนงานและนโยบายต่างๆ ของแอมเนสตี้ คอยหนุนเสริมศักยภาพให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทอย่างแท้จริงในกระบวนการตัดสินใจ กระบวนการกำกับดูแลองค์กรและการทำงานรณรงค์ของแอมเนสตี้

พื้นที่และกลไกลที่เยาวชนร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงกับเรา

  • Amnesty Club: เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่เชื่อในการเปลี่ยนแปลง และก่อตั้งเป็นทีมทำงานที่มุ่งมั่นในการเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน พัฒนาทักษะการเป็นนักกิจกรรมและผู้จัดกิจกรรม และริเริ่มปฏิบัติการ จัดกิจกรรม จัดงานรณรงค์และเผยแพร่สิทธิมนุษยชนในชุมชน โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
  • Youth Network: คือเครือข่ายเยาวชนแอมเนสตี้ ประเทศไทย
  • Youth Delegate: คือตัวแทนเยาวชนในกลไกการกำกับดูแลองค์กร (Governance) ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับสากล

Youth Network

Youth Network คือ ตัวแทนเครือข่ายเยาวชนแอมเนสตี้ ประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนเยาวชนจากหลายภูมิภาคของประเทศไทย ที่มีความหลากหลายทั้งทางภูมิหลัง อัตลักษณ์และประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สนใจ ตัวแทนเครือข่ายเยาวชนจะขับเคลื่อนโดยการแลกเปลี่ยน เรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายเยาวชนทั้งในระดับภูมิภาค ระดับประเทศและระดับสากล โดยมีแอมเนสตี้ ประเทศไทยเป็นผู้สนับสนุนเพื่อสร้างพลังเยาวชนที่เชื่อมโยงในทุกระดับ

Youth Delegate

Youth Delegate คือเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปี ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนเยาวชนของแอมเนสตี้ ประเทศไทย โดยมีวาระการทำงาน 2 ปี ทำหน้าที่เป็นตัวแทนและสะพานเชื่อมเสียงของเยาวชนสู่กระบวนการกำหนดทิศทางและนโยบายการกำกับดูแลของแอมเนสตี้ รวมถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนเชิงยุทธศาสตร์ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคและระดับสากล เพื่อให้การตัดสินใจสะท้อนอนาคตที่เยาวชนต้องการอย่างแท้จริง

การคัดเลือก Youth Delegate ไม่ได้พิจารณาเพียงอายุเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงภูมิหลัง ประสบการณ์และมุมมอง เพื่อให้การตัดสินใจมีความครอบคลุมและหลากหลาย โดย Youth Delegate ของแอมเนสตี้ ประเทศไทย จะมีบทบาทในกระบวนการกำกับดูแลของแอมเนสตี้ พร้อมทั้งเป็นผู้แทนเข้าร่วมกลไกในการกำกับดูแลองค์กร ได้แก่ เวทีประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Regional Forums) และการประชุมสมัชชาสากล (Global Assembly – GA) ซึ่งเป็นกลไกการตัดสินใจสูงสุดของขบวนการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ทั่วโลกและจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีผู้แทนเยาวชนจากแต่ละประเทศเข้าร่วมด้วย

เรื่องราวของ Youth Delegate

Youth Delegate คนล่าสุดของแอมเนสตี้ ประเทศไทย คือ อันนา อันนานนท์ นักกิจกรรมเยาวชนด้านสิทธิมนุษยชนวัย 18 ปี เกิดและเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางในเมือง เธอต้องเผชิญกับระบบการศึกษาที่เข้มงวดของประเทศไทย ที่บังคับให้นักเรียนต้องไว้ผมยาวตามที่กำหนด ห้ามทำสีผม ส่วนถุงเท้าก็ต้องยาวตามที่กำหนด อีกทั้งเธอยังถูกครอบครัวคาดหวังไว้สูงมาก เธอต้องเรียน 7 วันต่อสัปดาห์เพื่อจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ และสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

อันนา อันนานนท์ ได้เข้าร่วมกลุ่มเยาวชน นักเรียนเลว  ซึ่งกิจกรรมของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นการรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการศึกษาและตั้งคำถามกับการที่ครูใช้อำนาจนิยมในโรงเรียน มีการจัดทำหนังสือ “คู่มือเอาตัวรอดในโรงเรียน” ที่ยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานของนักเรียน และเรียกร้องให้รวมการศึกษาด้านสิทธิมนุษยชนไว้ในหลักสูตรของโรงเรียน ทางกลุ่มยังมีพื้นที่ปลอดภัยในการแบ่งปันความรู้สึกทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ หลังจากนั้นก็จะแนะนำว่าสามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ไหนบ้าง

นับตั้งแต่ปี 2563 มีเยาวชนไทยออกมาชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ ซึ่งมีเยาชนนักกิจกรรมเข้าร่วมการชุมนุมเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน จากสถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นเรื่อยมา แอมเนสตี้ได้เก็บข้อมูล พร้อมทั้งบันทึกการชุมนุมโดยสงบที่เกิดขึ้น และหนึ่งในนั้นรวมถึงกรณีของนักเรียนอายุต่ำกว่า 18 ปี (ในขณะนั้น) อย่าง “อันนา อันนานนท์” ที่ถูกเจ้าหน้าที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ทั้งที่ยังไม่ได้กระทำความผิดใดๆ

กลางปี 2566 อันนาได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนเยาวชนไทยเข้าร่วมในการสนทนาระดับนานาชาติ ในโอกาสครบรอบ 75 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและครบรอบ 30 ปีปฏิญญาเวียนนาและแผนปฏิบัติการ (Vienna Declaration and Programme of Action) ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ในกรุงเวียนนา เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์เด็กและเยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลกและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งจัดโดยผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสถานการณ์ของนักปกป้องสิทธิมนุษยชน แมรี ลอว์เลอร์ (Mary Lawlor) เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับจัดทำรายงานเสนอต่อการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติสมัยประชุมที่ 55 รายงานนี้ถูกเผยแพร่ในเดือนมกราคม 2567 และถูกรายงานต่อหน้าคณะมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 ในรายงานที่ชื่อว่า “พวกเราไม่ได้เป็นแค่อนาคต: ปัญหาท้าทายที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชน” ซึ่งมีการพูดถึงสถานการณ์ในประเทศไทยและยกตัวอย่างของอันนาและเยาวชนอีกหลายๆ คน

และในกรุงเจนีวา อันนาได้สื่อสารบนเวทีระดับโลกร่วมกับโวลเกอร์ เติร์ก (Volker Türk) ข้าหลวงใหญ่ ประจำสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เลขาธิการใหญ่แอมเนสตี้ ผู้รายงานพิเศษและผู้แทนรัฐในหัวข้อ 75 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในที่แห่งนั้น อันนาทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวของเยาวชนนักกิจกรรม โดยแถลงว่า

สำหรับประเทศไทยนั้น สิทธิมนุษยชนภายใต้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (UDHR) เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้มีการนำมาใช้ในทางปฏิบัติ แม้ว่าไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่วมร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ประชาชนในประเทศยังคงประสบกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งส่วนใหญ่เริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียน โรงเรียนยังคงลงโทษนักเรียนด้วยการตี และบังคับให้ตัดผมทรงเดียวกับทหาร

อันนา อันนานนท์ กล่าว ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

กรณีของอันนาและเพื่อนเด็กเยาวชนคนอื่นอีกหลายรายที่ถูกรัฐละเมิดสิทธิ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในรายงานเรื่อง Child and Young Human Rights Defenders Leading Human Rights Change ที่แอมเนสตี้ ส่งถึงผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (UN Special Rapporteur on Human Rights Defenders) เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (UN Human Rights Council) ในเดือนมีนาคม 2567 ทั้งนี้ข้อมูลส่วนใหญ่รวบรวมจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์แล้วของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

อันนาเป็นหนึ่งในตัวแทนเยาวชนที่แอมเนสตี้ ประเทศไทยทำงานด้วย เพื่อให้มีพื้นที่ในการส่งเสียงถึงภาครัฐและตัวแทนประชาคมโลก และเพื่อให้เด็กและเยาวชนอย่างพวกเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ

นอกจาก อันนา อันนานนท์ ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนเยาวชนไทยเข้าร่วมในการสนทนาระดับนานาชาติ ในโอกาสครบรอบ 75 ปีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและครบรอบ 30 ปีปฏิญญาเวียนนาและแผนปฏิบัติการ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้ว เรายังมี มีมี่–ณิชกานต์ รักวงษ์ฤทธิ์ เธอเกิดและเติบโตที่จังหวัดมหาสารคาม ภายหลังย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เธอเริ่มไปม็อบครั้งแรกในเดือนมิถุนายน 2563 ช่วงที่ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ถูกอุ้มหายไป 3-4 วัน มีมี่เล่าว่าวันนั้นรู้สึกว่ายังไงก็ต้องไปร่วมแสดงออก การหายไปของใครสักคนอย่างกรณีของวันเฉลิม ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะนิ่งเฉยได้

หลังจากนั้น ในการชุมนุมใหญ่ของเยาวชนปลดแอกในเดือนสิงหาคม 2563 มีมี่ได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมกับกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอกเรื่อยมา ทำให้มีมี่กลายเป็นนักกิจกรรมเฟมินิสต์ผู้ให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นธรรมทางเพศ เธอเป็นนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวทั้งในประเด็นการศึกษา ความหลากหลายและความเป็นธรรมทางเพศ ร่วมงานกับหลายภาคส่วน อีกทั้งยังเป็นตัวแทนเยาวชนของแอมเนสตี้ เดินทางไปร่วมประชุม General Assembly ที่บรัสเซลส์ นอกจากนี้ มีมี่ยังเคยเป็นทูตนฤมิตของงานบางกอกไพรด์ เรียกได้ว่าเธอคือนักกิจกรรมที่ทำงานอย่างจริงจังคนหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อถามว่าทำไมเธอจึงสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชน มีมี่กล่าวว่า

สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน เป็นกรอบที่ต้องยืนยัน เพราะเราไม่เอาสงคราม ไม่ต้องการการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่ต้องการการทำลายสิ่งแวดล้อม

มีมี่-ณิชกานต์ รักวงษ์ฤทธิ์

มีมี่เล่าว่าก่อนเดินทางไปร่วมประชุม General Assembly ที่บรัสเซลส์ เธอนึกภาพไม่ออกว่าโครงสร้างใหญ่ของแอมเนสตี้คืออะไร จนกระทั่งได้เห็นผู้คนจากหลากหลายประเทศทั่วโลกมารวมตัวกันพูดเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งในฐานะตัวแทนจากประเทศไทย เธอบอกว่าเราต้องทำงานกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มากขึ้น ถ้าต้องการให้โลกได้ยินเสียงของเรา เราต้องให้เขาเห็นว่าปัญหาคืออะไร เราถูกกดทับจากใคร ไม่ใช่แค่รัฐบาลไทย แต่เราถูกกดทับจากโลก จากมหาอำนาจ จากประวัติศาสตร์ จากการล่าอาณานิคม เราต้องไปด้วยกันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาและการทำงานกับตัวเองด้วย เราเชื่อว่าการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงข้างนอกเพียงอย่างเดียว แต่คือการเปลี่ยนแปลงข้างในด้วย เราต้องเท่าทันว่าทุกคนสามารถเป็นผู้ส่งต่อความรุนแรง เหมือนกับว่าเราพูดประเด็นประชาธิปไตยแต่ในองค์กรยังไม่ล้างจานกันเอง วัฒนธรรมมันต้องแก้ไขกันข้างใน อีกอย่างคือเราคิดว่าถ้าทุกคนใช้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่ ต่อให้ใครตัดสินอย่างไร ขอแค่ให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่และทำเพื่ออะไร เราก็จะสามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

เรื่องเล่าจากเยาวชน คนรุ่นใหม่

ยุทธศาสตร์เยาวชนในการทำงานทั้งในระดับสากลและไทย

นับตั้งแต่ก่อตั้งแอมเนสตี้เมื่อปีพ.ศ. 2504 เด็กและเยาวชนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงและมีบทบาทในทุกภาคส่วนของการทำงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

“Youth Power Action! ยุทธศาสตร์เด็กและเยาวชนโลก 2022 – 2025” จึงถูกจัดทำขึ้นเพื่อกำหนดทิศทางและสร้างความเข้มแข็งในการทำงาน เพื่อ (for) ของ (of) กับ (with) เด็กและเยาวชน โดยมีเป้าหมายให้มุมมองของเด็กและเยาวชนเป็นศูนย์กลางการทำงาน เสริมสร้างเยาวชนในทุกความหลากหลายให้มีส่วนร่วมและมีบทบาทสำคัญในการทำงานทุกระดับ มีทักษะ เป็นตัวของตัวเองและเชื่อมโยงกับการรณรงค์ระดับรากหญ้าเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์เด็กและเยาวชนโลก 2022 – 2025 ยังมีความสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์โลก 2022 – 2030 ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อรับประกันว่าเด็กและเยาวชนจะมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในวาระเร่งด่วน

เอกสารที่เกี่ยวข้อง