จดหมายถึงเพื่อนจากราวป่าแก่งกระจาน

ถึง หนูตุ่นเพื่อนรัก​

ตอนเขียนจดหมายฉบับนี้ เรานั่งอยู่ในหมู่บ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เราพาพี่น้องสื่อมวลชนลงไปในพื้นที่จริง ได้สัมภาษณ์แหล่งข่าวจริง สัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน เพื่อจะได้นำเรื่องราวของพวกเขามาเล่าต่อให้คนอื่นๆ ได้รับรู้มากยิ่งขึ้น

การเดินทางไปหมู่บ้านนี้ช่างยากลำบากนัก เราเดินทางด้วยรถตู้จากกรุงเทพ และไปต่อรถกระบะของชาวบ้านใช้เวลาเดินทางจากตัวอำเภอแก่งกระจานไปอีกเกือบสองชั่วโมงถึงจะถึงที่หมาย สองข้างทางเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ แต่ถนนค่อนข้างแคบ บางจุดลาดชัน บางจุดขรุขระ แอบเห็นรถมอเตอร์ไซด์หยุดพักระหว่างทางบ้าง คนขับบอกว่าเป็นเด็กๆ ในหมู่บ้านที่ได้มาเรียนหนังสือในตัวเมือง หมู่บ้านนี้ “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ ผู้นำชาวกะเหรี่ยงและคุณพ่อลูกห้าเคยอาศัยอยู่ ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่อุทยานควบคุมตัวในเขตอุทยานแห่งชาติกระจานฐานครอบครองน้ำผึ้งป่า 6 ขวด และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีใครทราบชะตากรรม ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2557 จนถึงปัจจุบันก็เกือบจะ 3 ปีแล้ว หนูตุ่นคงเคยได้ยินเรื่องราวของเขาผ่านหน้าสื่อต่างๆ บ้าง ตอนนี้ “มึนอ” เมียของเขาต้องทำหน้าที่ดูแลลูกทั้งห้าคนเพียงลำพัง

ใช่ หนูตุ่นอ่านไม่ผิดแน่… “มึนอ” พิณณภา พฤกษาพรรณ หญิงสาวตัวเล็กวัยไม่ถึงสามสิบดี ต้องรับภาระดูแลลูกทั้งห้าคนตามลำพัง ขณะเดียวกันก็ยังคงตามหาสามีและเรียกร้องให้มีการขับเคลื่อนกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับบุคคลให้สูญหาย ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังคงสานต่อเจตนารมณ์ในการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กับชาวปกากะญอต่ออีกด้วย เข้าไปในหมู่บ้านครั้งนี้เราตั้งใจจะไปคุยกับเธอให้มากขึ้นสักหน่อย สุดท้ายก็ยังไม่ได้คุยกันอย่างจริงจังสักที จริงๆ อยากจะเข้าไปกอดเธอสักครั้ง อยากส่งผ่านความรู้สึกของคนเป็นแม่เหมือนกันไปให้เธอ อยากจะบอกเธอว่า “เธอช่างเข้มแข็งเหลือเกิน” แต่ก็ยังไม่มีโอกาสนั้นเสียที

โชคดีที่ครั้งนี้ “เบญ” ลูกสาววัย 6 ขวบของเธอแอบติดเราแจ ด้วยเธออายุเท่ากับลูกชายคนเดียวของเรา ทำให้เราเข้ากันได้ง่าย เพราะแม่คนนี้รู้จักเด็กวัยนี้ดีพอสมควร เบญยังร่าเริงเหมือนทุกครั้งที่ได้เจอ ด้วยวัยเพียง 6 ขวบ แม้จะดูไร้เดียงสา แต่ก็มีหลายเรื่องที่เธอรับรู้ได้แต่เข้าใจมากแค่ไหนนั้น เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

เบญเล่าว่า ตอนพ่อหายไปตอนเธออายุ 3 ขวบ เธอบอกว่าพ่อรักเธอมาก เพราะตอนนั้นเธอไม่ดื้อ เราก็เลยแซวว่า พูดแบบนี้แปลว่าตอนนี้ดื้อแล้วหรือ เธออมยิ้มแทนคำตอบ ซึ่งพอจะเดาได้ไม่ยากว่าคงได้เรื่องอยู่เหมือนกัน (ความดื้อตามวัย) เราคุยกันสัพเพเหระ จนมาถึงคำถามที่ผู้ใหญ่มักจะถามเด็กอยู่เสมอๆ ว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เราเองก็เฝ้าถามลูกชายตัวเองอยู่เหมือนกัน คำตอบของลูกชายเราคือ อยากเป็นคนขับรถบรรทุกบ้าง เป็นคนขับรถขยะบ้าง ในขณะนี้สาวน้อยตรงหน้ากลับตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แววตามุ่งมั่น ดูไม่ขี้เล่นเหมือนคำตอบเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา “หนูอยากเป็นทนายความ” ตอนแรกแอบงงว่ารู้จักอาชีพนี้ได้ไง แต่เดาว่า หลังจากพ่อหายตัวไป พี่ทนายความคงเป็นกลุ่มคนที่แวะเวียนไปหาครอบครัวเธอบ่อยที่สุด เมื่อถามว่าทำไมถึงอยากเป็น เธอตอบว่า “จะได้จับคนที่ทำให้พ่อหนูหายไปเข้าคุก”…ฟังแล้วแอบจุกเล็กหน่อย เพราะตอนนี้คดีของพ่อเธอไม่มีใครต้องเข้าคุกหรือว่าต้องได้รับผิดชอบใดๆ เลย

ส่วน “โอ๊ะ” ลูกสาวคนโตของมึนอ ปีนี้กำลังจะขึ้น ม.1 โชคดีที่มีผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งบอกว่าจะส่งเธอเรียนสูงที่สุดเท่าที่เธออยากจะเรียน โดยมอบเงินให้เดือนละ 5,000 บาท เงินจำนวนนี้สำหรับบางครอบครัวอาจจะไม่มากมาย แต่สำหรับครอบครัวนี้อาจจะช่วยต่อชีวิตให้กับหลายชีวิต และสร้างอนาคตทางการศึกษาให้เด็กได้อีกคน ต้องขอบคุณแทนผู้ใหญ่ใจดีท่านนั้นจริงๆ

โอ๊ะเล่าต่อว่า เธออยากเป็นครู เพราะพ่อเคยบอกไว้ว่าอยากให้เธอเป็น ถึงแม้ตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว เธอก็ยังคงจะสานต่อความฝันของพ่อให้เป็นจริง เธอเล่าว่ามีหน้าที่แบ่งเบาภาระของแม่อย่างไรบ้าง เช่น ถูบ้าน ทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ ซึ่งจะช่วยกันกับน้องสาวคนที่สอง ลูกแต่ละคนมีหน้าที่และรับผิดชอบกันอย่างดี แม้บางทีจะอิดออดกันบ้างตามประสาเด็กๆ แต่ต่างก็รู้ว่าจะต้องทำอะไร

มึนอเคยพูดความในใจในหลายเวทีว่า “สิ่งที่ยากคือ ไม่รู้บิลลี่อยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว บางทีที่เราเดินเรื่องต่างๆ เราก็สงสัยว่าเราไม่มีเงินให้เขา เราคนจน เขาเลยไม่อยู่เคียงข้างเราหรือเปล่า แต่ยังไงก็ตาม เราจะพยายามหาความจริง หาความยุติธรรมให้ถึงที่สุด มาติดตามคดีบิลลี่แต่ละครั้ง ลูกสาวคนที่สี่ที่มาด้วย เขาจะถามว่าแม่กลับมาแล้วพ่อจะมาด้วยไหม ถ้าแม่ไปหนูจะไปด้วย รู้สึกบางครั้งไม่รู้จะทำยังไง คิดแค่ว่าบิลลี่กับหนูชาติที่แล้วทำบุญด้วยกันแค่ตรงนี้ ชาตินี้เลยก็จากกันไป หนูก็ไม่อยากให้ใครต้องหายตัวไปแบบบิลลี่อีก อยากให้บิลลี่เป็นคนหายคนสุดท้าย” อยากให้เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราเป็นรายสุดท้าย ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก คำพูดนี่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ แต่ในความเป็นจริงคงไม่สามารถเป็นแบบนั้นได้เลย

สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คงแค่ให้กำลังใจเธอและครอบครัว อยากให้เธอเข้มแข็งแบบนี้ต่อไป ถึงแม้วันนี้เธอจะมีรอยยิ้มบนใบหน้ามากขึ้นกว่าครั้งแรกๆ ที่ได้เจอกัน แต่แววตาคู่นั้นยังแฝงไปด้วยความเศร้าแต่ดูมุ่งมั่นไม่เสื่อมคลาย

หลังรู้จักกับหนูตุ่นและกระโจนเข้ามาทำงานที่อยู่เคียงข้างผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน งานที่เราสัมผัสมีหลายประเด็นที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น ครอบครัวของบิลลี่เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายเรื่องราวที่เราประสบพบเจอ และอยากจะเป็นเสี้ยวหนึ่งในการค้นหาความจริงและคืนความยุติธรรมให้แก่ครอบครัวเหล่านี้ และหามาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้กับครอบครัวอื่นๆ อีก ไม่รู้ว่าเราจะทำได้แค่ไหน แต่ก็จะพยายามให้ถึงที่สุด

 รักและคิดถึงหนูตุ่นเสมอ