สิทธิในการทำแท้ง


ภาพรวม

คุณไม่มีอิสระ หากคุณยังไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะกระทำกับร่างกายของตัวเองได้

คุณไม่มีอิสระ หากคุณยังไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจะกระทำกับอนาคตของตัวเองได้

ทุกคนมีสิทธิในการควบคุมภาวะเจริญพันธุ์และใช้สิทธิในเสรีภาพการตัดสินใจเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเองได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง เด็กหญิงและทุกคนที่สามารถตั้งครรภ์ได้

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีอุปสรรคมากมายที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนสามารถเข้าถึงการทำแท้งได้ รวมถึงการทำให้การทำแท้งเป็นความผิดทางอาญา การตีตราทางสังคมและการเลือกปฏิบัติที่ทับซ้อนและการกีดกันหรือทำให้เป็นคนชายขอบ

พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากคุณเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและมีประสิทธิภาพ อนาคตที่สิทธิในการทำแท้งได้รับการเคารพจะเกิดขึ้นได้จากการสนับสนุนมากมาย ทั้งเล็กและใหญ่ ผ่านแคมเปญ 1,000 วิธีในการสนับสนุนสิทธิในการทำแท้ง เรากำลังคิดค้นวิธีที่สร้างสรรค์ในการบอกให้โลกได้รู้ว่า สิทธิในการทำแท้งคือสิทธิมนุษยชน

การทำแท้งคืออะไร และทำไมมันถึงจำเป็น?

การทำแท้งคือหัตถการทางการแพทย์ (เป็นการรักษาผู้ป่วยโดยแพทย์หรือพยาบาล) เพื่อยุติการตั้งครรภ์ ซึ่งถือเป็นการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานที่ผู้หญิง เด็กหญิงและคนที่สามารถตั้งครรภ์ได้หลายล้านคนต้องการ มีการประมาณการว่า หนึ่งในสี่ของการตั้งครรภ์ในแต่ละปีสิ้นสุดลงด้วยการทำแท้ง

ในสถานที่ที่การทำแท้งเป็นเรื่องถูกกฎหมาย สามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีการตีตราทางสังคมน้อย ผู้คนสามารถทำแท้งได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีความเสี่ยง

อย่างไรก็ตาม ในสถานที่ที่การทำแท้งถูกตีตรา ถูกทำให้เป็นอาชญากรรมหรือถูกจำกัด ผู้คนมักถูกบีบบังคับให้ต้องแสวงหาการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย มีการประมาณการว่ามีการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยถึง 25 ล้านครั้งในทุกๆ ปี โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา และอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง เช่น การเสียชีวิตของมารดาและความพิการ

ทุกคนมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง ซึ่งเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมทุกคนที่สามารถตั้งครรภ์ได้จึงควรมีสิทธิในการเข้าถึงการทำแท้ง อย่างไรก็ตาม หลายคน โดยเฉพาะคนที่มาจากชุมชนที่ถูกกีดกันและถูกทำให้เป็นคนชายขอบมาโดยตลอดตั้งแต่อดีต ต้องเผชิญกับสภาวะทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่ขัดขวางความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเอง

ทุกคนมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ที่สามารถตั้งครรภ์ได้ควรมีสิทธิในการทำแท้ง ภาพจาก ©Getty Images

ความยุติธรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์คืออะไร?

นักเฟมินิสต์ผิวดำและมีอัตลักษณ์ที่ทับซ้อนในสหรัฐอเมริกาได้บัญญัติคำว่า “ความยุติธรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์” (reproductive justice) ไว้เพื่อเน้นให้เห็นว่าความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ และความยุติธรรมทางสังคมนั้นมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น

ความยุติธรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์ ครอบคลุมประเด็นปัญหาต่างๆ เช่น การควบคุมประชากร การกำหนดสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของตนเอง สิทธิของผู้อพยพ ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและ
สิ่งแวดล้อม อธิปไตย การทหาร และความไม่เป็นธรรมทางอาญา
ที่จำกัดสิทธิมนุษยชนของแต่ละบุคคลเนื่องจากการกดขี่ในกลุ่ม
หรือชุมชน

โลเร็ตต้า เจ. รอสส์ (Loretta J. Ross) นักวิชาการ นักเฟมินิสต์และนักเคลื่อนไหวจากสหรัฐอเมริกา

ขบวนการเคลื่อนไหวประเด็นเรื่องความยุติธรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนจากชุมชนชายขอบสามารถเข้าถึงสิทธิทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเองได้

อุปสรรคในการเข้าถึงการทำแท้ง

เมื่อผู้คนถูกปฏิเสธการเข้าถึงการทำแท้งเนื่องจากเป็นการกระทำที่ถูกทำให้เป็นอาชญากรรม กฎหมายที่จำกัดและอุปสรรคอื่นๆ ทำให้ความสามารถในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเองและการใช้สิทธิมนุษยชนของพวกเขาจะถูกทำลายลง

แต่กฎหมายไม่ใช่สิ่งเดียวที่ขัดขวางไม่ให้ผู้คนสามารถเข้าถึงการทำแท้งได้

บางคนไม่สามารถทำแท้งได้เพราะพวกเขาไม่สามารถหยุดงานเพื่อไปตามที่นัดหมายการทำแท้งได้ หรือเพราะไม่สามารถจ่ายค่าเดินทางไปยังประเทศหรือรัฐอื่นเพื่อรับการรักษาได้ คนที่ต้องการทำแท้งยังต้องเผชิญกับการตีตราทางสังคมที่ทำให้การใช้สิทธิของพวกเขากลายเป็นเรื่องยาก

การสร้างอนาคตที่ดีกว่าโดยการรับประกันและรับรองว่าทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงการทำแท้งนั้นไม่ได้สิ้นสุดลงแค่เพียงทำให้การทำแท้งไม่เป็นอาชญากรรมหรือสิ่งผิดกฎหมายเท่านั้น แต่เรายังต้องจัดการกับอุปสรรคทางสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่ฝังรากลึกซึ่งทำให้การใช้สิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้คนกลายเป็นเรื่องยากขึ้นด้วย

การชุมนุมประท้วงเพื่อสนับสนุนสิทธิในการทำแท้งที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ภาพโดย ©Bruno Fert

การทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรม

ผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญกับอุปสรรคหลากหลายรูปแบบในการเข้าถึงการทำแท้ง ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เซียร์ราลีโอน โปแลนด์และโมร็อกโก การทำแท้งหรือการช่วยเหลือคนอื่นให้เข้าถึงการทำแท้งถือเป็นความผิดทางอาญา กฎหมายที่จำกัดสิทธิในการทำแท้งนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยบางแห่ง เช่น อิเควทอเรียลกินีและแซมเบียถึงขั้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิตแก่คนที่พยายามทำแท้ง นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่ใช้ลงโทษคนที่ช่วยเหลือคนอื่นในการเข้าถึงการทำแท้งอีกด้วย

ในบางประเทศ มีกฎหมายที่อนุญาตให้ทำแท้งได้เฉพาะในบางกรณีเท่านั้น ข้อยกเว้นเหล่านี้รวมถึงกรณีที่การตั้งครรภ์ดังกล่าวเกิดจากการถูกข่มขืนหรือการร่วมประเวณีระหว่างเครือญาติ หากทารกในครรภ์มีอาการบาดเจ็บรุนแรงหรือไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ หรือหากการตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของผู้ตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การทำแท้งด้วยเหตุผลเหล่านี้มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าข้อยกเว้นที่จำกัดเหล่านี้ยังคงเป็นอุปสรรคต่อคนส่วนใหญ่ในการใช้สิทธิด้านอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเองได้อย่างเต็มที่

การทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรมส่งผลกระทบซ้ำๆ ต่อคนที่ถูกกีดกันและถูกทำให้เป็นชายของสังคมอยู่แล้ว โดยทั่วไป ผู้ที่มีรายได้น้อย ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ รวมถึงผู้คนที่ถูกเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและชนเผ่าพื้นเมืองมักจะเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพได้น้อยกว่า ซึ่งหมายความว่าผู้คนกลุ่มนี้จะต้องเผชิญกับความยากลำบากที่มากขึ้นในการเข้าถึงบริการการทำแท้งที่ปลอดภัยในต่างประเทศหรือการดูแลรักษาในภาคเอกชน

แม้จะมีการตีตราและข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับการทำแท้งมายาวนานหลายทศวรรษ แต่คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการทำแท้งควรถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หลายคนรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้จะพูดหรือแสดงการสนับสนุนอย่างไร ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเสียงส่วนน้อยที่ต่อต้านการทำแท้งจึงมีอิทธิพลจนกลายเป็นเสียงหลักในสังคม

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐอเมริกา ได้ทำการชุมนุมประท้วงเพื่อสิทธิในการทำแท้งบริเวณศาลฎีกาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 ภาพโดย ©Lauren Murphy/Amnesty International USA

กรณีศึกษา: ประเทศโมร็อกโก

ภาพโดย ©Zainab Fasiki / Amnesty International

อุยยัม (Ouiam*) มาจากครอบครัวยากจนในพื้นที่ชนบท เธอแต่งงานเมื่ออายุ 16 ปีและมีลูกหนึ่งคน ไม่นานหลังจากนั้นสามีของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอีกสองคนในภายหลังเพื่อ “ขอการปกป้อง” ให้กับตัวเองและลูก และเธอตั้งครรภ์จากทั้งสองความสัมพันธ์ ทั้งสองครั้งเธอพยายามขอรับบริการทำแท้งแต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ในประเทศโมร็อกโก การทำแท้งถือเป็นอาชญากรรมแทบทุกกรณีและการทำแท้งเถื่อนก็มีค่าใช้จ่ายสูงเกินเอื้อมสำหรับผู้หญิงที่มีฐานะยากจน

เมื่อความพยายามครั้งสุดท้ายในการทำแท้งของอุยยัมล้มเหลว เธอได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าหน้าที่ทหารรักษาความสงบ (gendarmerie) ว่าพ่อของเด็กไม่ยอมรับเป็นบิดาโดยชอบธรรม

ผลคือทั้งเธอและชายคนนั้นถูกจับกุม อุยยัมถูกตั้งข้อหามีเพศสัมพันธ์นอกสมรสและถูกตัดสินจำคุกสี่เดือนพร้อมทั้งปรับเงิน ส่วนชายคนนั้นไม่ถูกดำเนินคดี เพราะภรรยาของเขาตัดสินใจไม่ยื่นฟ้องในข้อหาคบชู้ ทำให้เขาได้รับอิสรภาพและไม่มีความผิดติดตัว

ยี่สิบวันหลังจากได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ อุยยัมเจ็บท้องคลอดและต้องคลอดลูกที่บ้าน การคลอดเป็นไปอย่างยากลำบากและเธอต้องเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง เธอถูกสังคมรังเกียจและไม่มีใครจ้างงานเธอ สุดท้ายเธอตัดสินใจส่งลูกๆ ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อปกป้องพวกเขาจากการถูกรังเกียจและถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากชุมชน

“ฉันต้องทนทุกข์กับการตั้งครรภ์เพียงลำพัง ไม่มีใครช่วยเหลือ อีกทั้งยังต้องเผชิญกับการถูกคุกคามและสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ในเรือนจำ ตอนนี้ลูกๆ ของฉันต้องอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก

แม่ของฉันโทษฉันทุกอย่าง ถ้าฉันสามารถทำแท้งได้ ชีวิตก็คงไม่ตกนรกแบบนี้ ตอนนี้ฉันไม่มีแม้แต่สุขภาพที่ดี งานก็ไม่มีให้ทำ ไม่มีแม้แต่ความเคารพจากคนอื่น แม้แต่ลูกๆ ของฉันก็ไม่เหลือให้ฉันเลย ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ”

*เปลี่ยนชื่อเพื่อปกป้องตัวตน (เหตุผลด้านความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูล)

การตีตราทางสังคมต่อการทำแท้ง

แม้ในประเทศที่การทำแท้งเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แต่การเข้าถึงบริการดังกล่าวก็อาจยังคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าใช้จ่าย ระยะทางจากที่พักถึงสถานบริการ การตีตราทางสังคมหรือทัศนคติแบบอนุรักษนิยมจากศาสนา ตัวอย่างเช่น บุคลากรทางการแพทย์อาจจะให้บริการหรือปฏิเสธที่จะให้บริการทำแท้งโดยอ้างเหตุผลด้านศีลธรรมหรือศาสนา

ภาพจาก ©Getty Images

กรณีศึกษา: ไอร์แลนด์เหนือ

ลูอีซ (Louise*) เคยมีความสัมพันธ์กับชายคนหนึ่งมานานถึงสามปีก่อนที่เธอจะตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก

ลูอีซเล่าให้แอมเนสตี้ฟังว่า แม้เธอจะรู้มาตลอดว่าเธออยากมีลูก แต่ความสัมพันธ์ที่เธอกำลังดำเนินอยู่ในตอนนั้นกลับไม่ปลอดภัยสำหรับเธอเลย

“ตลอดช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ฉันต้องเผชิญกับการถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ และเมื่อคู่ของฉันในขณะนั้นทำร้ายร่างกายฉันจนได้รับบาดเจ็บ ฉันก็รู้ทันทีว่าฉันไม่สามารถดำเนินการตั้งครรภ์ต่อไปได้อีก มันไม่ปลอดภัยทั้งสำหรับฉันและลูกในอนาคตที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้” ลูอีซ*

แม้การทำแท้งจะถูกยกเลิกสถานะความผิดทางอาญาและเป็นเรื่องถูกกฎหมายในไอร์แลนด์เหนือแล้ว แต่ลูอีซก็ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทำแท้งได้ เนื่องจากเธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล การเดินทางไปยังอังกฤษซึ่งสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกกว่านั้น ก็ไม่ใช่ทางเลือกสำหรับเธอเพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินไป สุดท้ายลูอีซตัดสินใจสั่งยาทำแท้งทางออนไลน์และทำแท้งด้วยตนเอง ซึ่งยังถือว่าผิดกฎหมายในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในไอร์แลนด์เหนือด้วย

“ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีทางเลือกเลย มันต้องใช้เงินมากกว่าสองร้อยปอนด์ในการเดินทางไปอังกฤษ แล้วฉันยังต้องอธิบายอีกว่าฉันเดินทางไปที่นั่นทำไม ฉันไม่สามารถเข้ารับบริการทำแท้งจากคลินิกสุขภาพในหมู่บ้านของฉันได้ เพราะเป็นหมู่บ้านที่เล็กมาก ฉันกลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องเข้า สุดท้ายฉันจึงซื้อยาทำแท้งทางออนไลน์และทำแท้งด้วยตัวเองที่บ้าน มันเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัว โดดเดี่ยวและเจ็บปวดมาก”

สำหรับผู้คนในไอร์แลนด์เหนืออย่างลูอีซ การทำแท้งคือการรักษาชีวิตที่สามารถช่วยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีอิสระในการกำหนดชีวิตและอนาคตของตนเอง

“ฉันยังหวังว่าตัวเองจะมีลูกได้ในสักวันหนึ่ง ในเวลาที่เหมาะสมและในสถานที่ที่ฉันรู้สึกปลอดภัยพอที่จะทำเช่นนั้น หากตอนนั้นฉันถูกบังคับให้ต้องตั้งครรภ์ต่อ ฉันกลัวว่าตัวฉันเองหรือไม่ก็ลูกของฉันอาจต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่านี้มาก”

*เปลี่ยนชื่อเพื่อปกป้องตัวตน (เหตุผลด้านความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูล)

แม้ว่าการทำแท้งได้ถูกยกเลิกว่าเป็นอาชญากรรมในไอร์แลนด์เหนือเมื่อไม่นานนี้ แต่การเข้าถึงบริการที่ไม่สม่ำเสมอและการถูกขัดขวางไม่ให้เข้ารับการบริการ รวมไปถึงการตีตรา ทำให้การทำแท้งยังคงเป็นอุปสรรคต่อผู้คนเพื่อไม่ให้พวกเขาได้เข้ารับการดูแลการทำแท้งที่พวกเขาต้องการได้ ภาพจาก ©Getty Images

ทำไมการทำแท้งจึงเป็นประเด็นสิทธิมนุษยชน?

ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิต สิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดีและสิทธิที่จะไม่ถูกใช้ความรุนแรง ถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกทรมานและปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี

การเข้าถึงการทำแท้งเป็นสิ่งสำคัญต่อการคุ้มครองสิทธิเหล่านี้ รวมถึงสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ทั้งหลาย ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

สิทธิในการเข้าถึงการทำแท้งเชื่อมโยงกับสิทธิมนุษยชนหลายประการที่ได้รับการรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติและสิทธิที่จะไม่ถูกทรมานหรือปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ภาพจาก ©Getty Images

ทุกคนมีสิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดี

เกือบทุกกรณีของการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยสามารถป้องกันได้

เราทราบดีว่าการทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรมไม่ได้หยุดยั้งไม่ให้มีการทำแท้ง แต่มันกลับทำให้การทำแท้งนั้นมีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยขึ้นมากกว่าเดิม เมื่อการเข้าถึงการทำแท้งถูกจำกัดหรือกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผู้ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะกลุ่มคนชายขอบที่ไม่สามารถเดินทางหรือเข้ารับการรักษาในภาคเอกชนได้ มักจำเป็นต้องพึ่งพาการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยและผิดกฎหมายอย่างลับๆ

การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยเป็นสาเหตุอันดับสามของโลกในการเสียชีวิตของมารดาที่สามารถป้องกันได้ นอกจากนี้ ยังเป็นสาเหตุของความพิการที่สามารถป้องกันได้ถึงห้าล้านราย ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO)

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเข้าถึงการทำแท้งที่ปลอดภัยจึงเป็นประเด็นด้านสาธารณสุขและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดีของเราทุกคน

นักกิจกรรมเฟมินิสต์ในการชุมนุมวันสตรีสากลที่เมืองปัสโต-นาริญโญ (Pasto-Nariño) ประเทศโคลอมเบีย ภาพโดย ©Elizabeth Palchucan/Long Visual Press

ทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

ผู้หญิงและเด็กหญิง

การปฏิเสธการทำแท้งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเลือกปฏิบัติทางเพศต่อผู้หญิงและเด็กหญิง รวมถึงผู้ที่สามารถตั้งครรภ์ได้ทุกคน

หลักการนี้ได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญอิสระขององค์การสหประชาชาติที่ติดตามการดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของรัฐภาคีหลายคณะฯ รวมถึงคณะกรรมการประจำอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงในทุกรูปแบบ (CEDAW)

ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ

ผู้หญิงและเด็กหญิงซิสเจนเดอร์ (Cisgender) หรือ ผู้หญิงและเด็กหญิงที่ถูกระบุว่าเป็นผู้หญิงตั้งแต่กำเนิด ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ต้องการเข้าถึงการทำแท้ง คนที่สามารถตั้งครรภ์ได้ทุกคน รวมถึงคนที่มีภาวะเพศกำกวม (intersex) ผู้ชายและเด็กชายข้ามเพศ (transgender men and boys) และผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหลากหลายที่มีความสามารถในการตั้งครรภ์ได้ อาจจำเป็นต้องได้รับการบริการทำแท้งเช่นกัน

ความพยายามในการปรับปรุงการเข้าถึงบริการทำแท้งต้องคำนึงถึงความต้องการเฉพาะของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ พวกเขามักจะต้องเผชิญกับการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่ทับซ้อนหากพวกเขาพยายามขอรับบริการทำแท้ง ตัวอย่างเช่น ทรานส์เจนเดอร์และบุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด (gender non-conforming) มักเล่าว่าพวกเขาต้องเผชิญกับการคุกคามในสถานพยาบาลและมักถูกปฏิเสธการรักษาเนื่องจากอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา

ผู้หญิงและเด็กหญิงซิสเจนเดอร์ (cisgender) ไม่ใช่กลุ่มเดียวที่ต้องการเข้าถึงการทำแท้ง ผู้ที่สามารถตั้งครรภ์ได้ทุกคน รวมถึงคนที่มีภาวะเพศกำกวมหรืออินเตอร์เซ็กซ์ ผู้ชายและเด็กชายข้ามเพศ ตลอดจนผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลาย ก็อาจต้องการบริการทำแท้งเช่นกัน ภาพจาก ©Getty Images

ทุกคนมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและอนามัยเจริญพันธุ์

กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของคุณเป็นสิทธิของคุณเพียงผู้เดียว ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่าสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย (bodily autonomy) สิทธิในการตัดสินใจอย่างอิสระเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเอง เรียกว่าสิทธิในอนามัยเจริญพันธุ์ (reproductive autonomy)

การบังคับให้ใครบางคนต้องตั้งครรภ์ต่อไปโดยที่ไม่ต้องการหรือบีบบังคับให้พวกเขาต้องไปทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยนั้น ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของพวกเขา รวมถึงสิทธิในความเป็นส่วนตัว และสิทธิในเนื้อตัวร่างกายและอนามัยเจริญพันธุ์

ในหลายกรณี คนที่ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัย ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษ รวมถึงการถูกจำคุก พวกเขายังอาจต้องเผชิญกับการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรี รวมทั้งการเลือกปฏิบัติหรือถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงการบริการดูแลสุขภาพที่จำเป็นหลังการทำแท้ง

องค์การอนามัยโลกระบุว่า หนึ่งในก้าวแรกที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรม รวมถึงการเสียชีวิตและการบาดเจ็บของมารดา คือการที่รัฐต้องรับประกันว่า ทุกคน รวมถึงเยาวชนจะต้องสามารถเข้าถึงการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา สามารถใช้วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงการทำแท้งที่ปลอดภัยและได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีหากเกิดภาวะแทรกซ้อน

ทารา เดอมองต์ (Tarah Demant) เป็นนักรณรงค์ของแอมเนสตี้ที่ทำงานเพื่อปกป้องสิทธิในการทำแท้งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเผชิญกับกระแสของกฎหมายใหม่ที่มีลักษณะจำกัดสิทธิอย่างรุนแรง และเป็นภัยต่อสิทธิของผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ภาพโดย ©Lauren Murphy/Amnesty International USA

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ทำงานเพื่อสิทธิในการทำแท้ง

ทั่วโลก คนที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิในการทำแท้งกำลังถูกโจมตี ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว นักรณรงค์ นักการศึกษา ผู้ดูแลการเข้ารับบริการในคลินิก ผู้ติดตาม คนที่ให้ความช่วยเหลือระหว่างกระบวนการคลอด (doulas) รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขคนอื่น ๆ

พวกเขาต้องเผชิญกับการตีตรา การคุกคามทั้งทางร่างกายและวาจา การข่มขู่และคุกคาม การถูกกล่าวหาเป็นอาชญากรโดยการดำเนินคดี การสอบสวนและการจับกุมอย่างไม่เป็นธรรม แม้จะต้องเผชิญกับความเป็นปรปักษ์และการไม่ยอมรับ พวกเขายังคงยืนหยัดทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้หญิง เด็กหญิงและทุกคนที่สามารถตั้งครรภ์ให้สามารถเข้าถึงสิทธิในการทำแท้งได้

พวกเขาคือขบวนการที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อย่างแท้จริง

The Abortion Dream Team คือกลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงจากประเทศโปแลนด์ ภาพโดย ©Karolina Jackowska

ความเสี่ยงและภัยคุกคามที่คนทำงานเพื่อสิทธิในการทำแท้งต้องเผชิญ

การทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรมและกฎหมายที่เข้มงวด ขัดขวางไม่ให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถให้การดูแลที่ดีที่สุดแก่คนไข้ของพวกเขาได้ตามแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ที่ดีและความรับผิดชอบทางจริยธรรมในวิชาชีพของพวกเขา

การทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรมก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การสร้างบรรยากาศที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว” (chilling effect) ซึ่งทำให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพมักตีความข้อจำกัดอย่างเคร่งครัดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากความหวาดกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีทางอาญา

นอกจากนี้ ยังทำให้ผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่กล้าขอรับการดูแลรักษาภายหลังการทำแท้ง ทั้งจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยหรือจากภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์

วาเนสซา เมนโดซา กอร์เตส (Vanessa Mendoza Cortés) ถูกดำเนินคดีในข้อหา “กระทำความผิดต่อเกียรติภูมิของสถาบัน” ในประเทศอันดอร์รา จากการทำงานของเธอในการส่งเสริมสิทธิในการทำแท้ง อันดอร์ราเป็นหนึ่งในสองประเทศสุดท้ายในยุโรปที่ยังคงห้ามการทำแท้งโดยสมบูรณ์ ภาพโดย ©Stop Violencies

กรณีศึกษา: คลื่นสีเขียว (The Green Wave)

แม้ว่าหลายประเทศทั่วโลกกำลังเดินหน้าเพื่อดำเนินการจำกัดการเข้าถึงการทำแท้งมากยิ่งขึ้นแต่ขบวนการของผู้หญิงที่เรียกว่า “Marea Verde” หรือ “คลื่นสีเขียว” กลับสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันไม่อาจจินตนาการได้เกี่ยวกับกฎหมายการทำแท้งในลาตินอเมริกา

“คลื่นสีเขียว” คือชื่อที่ถูกนำมาใช้เรียกขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเฟมินิสต์และสิทธิมนุษยชนที่ต่อสู้เพื่อผลักดันให้การทำแท้งเป็นเรื่องถูกกฎหมายทั่วภูมิภาคลาตินอเมริกามาเป็นเวลาหลายปี

ในปี 2561 ผู้หญิงและเด็กหญิงหลายแสนคนรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติยกเลิกการทำให้การทำแท้งเป็นอาชญากรรมและรับประกันการเข้าถึงการทำแท้งที่ปลอดภัย พวกเธอเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมจากขบวนการและองค์กรต่างๆ รวมถึง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศอาร์เจนตินา ซึ่งร่วมกันเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

ในอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นประเทศที่สำคัญในการขับเคลื่อนขบวนการเคลื่อนไหว ‘คลื่นสีเขียว’ มากกว่าสามปีหลังจากการผ่านกฎหมายการทำแท้งในเดือนธันวาคม 2563 พบว่าอัตราการเสียชีวิตของมารดาจากการคลอดบุตรลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า การทำให้กฎหมายการทำแท้งเป็นเรื่องเสรีช่วยปกป้องทั้งสุขภาพและชีวิตของผู้ตั้งครรภ์ได้

โซเฟีย โนบิโย ฟูเนส (Sofía Novillo Funes) ผู้ช่วยโครงการเยาวชนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อาร์เจนตินา เป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทในขบวนการ “คลื่นสีเขียว” (The Green Wave) ที่สร้างแรงบันดาลใจในการเรียกร้องให้มีการเข้าถึงการทำแท้งปลอดภัยและถูกกฎหมาย

แอมเนสตี้ทำอะไรบ้างเพื่อปกป้องสิทธิในการทำแท้ง?

เรามีความเชื่อว่าทุกคนควรมีอิสระในการตัดสินใจเกี่ยวกับเนื้อตัวร่างกายและอนามัยเจริญพันธุ์ของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีบุตรหรือไม่มี และจะมีเมื่อใด

เป็นสิ่งสำคัญที่กฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้งต้องเคารพ คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ตั้งครรภ์ และต้องไม่บีบบังคับให้พวกเขาต้องแสวงหาการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกปฏิบัติตามพันธกรณีของตนในการรับรองและรับประกันสิทธิในการทำแท้งสำหรับทุกคน เคารพและคุ้มครองสิทธิของผู้ที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิในการทำแท้ง

นโยบายการทำแท้งของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รับรองสิทธิของผู้หญิง เด็กหญิงหรือทุกคนที่สามารถตั้งครรภ์ได้ในการเข้าถึงการทำแท้งที่ให้บริการในลักษณะที่เคารพต่อสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ศักดิ์ศรีและความจำเป็นโดยสอดคล้องกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต สถานการณ์ ความมุ่งหวังและความคิดเห็นของบุคคลเหล่านั้น

นโยบายการทำแท้งของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้ยกเลิกความผิดอาญาโดยสิ้นเชิงต่อการทำแท้ง และให้ผู้ที่ตั้งครรภ์ทุกคนสามารถเข้าถึงการทำแท้ง การดูแลหลังการทำแท้งและการเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับการทำแท้งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปราศจากอคติ การใช้กำลัง การบีบบังคับ การใช้ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติ

แนวนโยบายเกี่ยวกับการทำแท้งของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยึดตามหลักการและถือกำเนิดจากมาตรฐานและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนที่มีมาอย่างยาวนาน และตั้งอยู่บนความตระหนักที่ว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการทำแท้งนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมถึงสิทธิในการมีชีวิต สิทธิที่จะมีสุขภาพที่ดี สิทธิในความเป็นส่วนตัว เสรีภาพและความมั่นคงของบุคคล ความเท่าเทียมและการไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และความเสมอภาคเบื้องหน้ากฎหมาย สิทธิที่จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในสังคมอย่างเต็มตัว สิทธิที่จะไม่ถูกทรมานหรือปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ สิทธิในการเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปราศจากอคติ และสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

นโยบายฉบับนี้มองการทำแท้งว่าเป็นองค์ประกอบหลักของการดูแลสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ (ซึ่งครอบคลุมถึงการดูแลหลังการทำแท้ง วิธีคุมกำเนิดสมัยใหม่ และข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการทำแท้งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปราศจากอคติ) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุถึงความเท่าเทียมที่แท้จริง

วิสัยทัศน์ของแอมเนสตี้ต่อนโยบายเกี่ยวกับการทำแท้ง

  • ทุกคนมีสิทธิในการทำแท้งที่ปราศจากการใช้กำลัง การบีบบังคับ การใช้ความรุนแรงหรือการเลือกปฏิบัติ โดยไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมจากผู้อื่นและไม่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี 
  • ไม่ควรมีใครต้องเสียชีวิตหรือทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นจากการทำแท้งหรือพยายามทำแท้ง 
  • ไม่ควรมีใครถูกละเมิด ทำให้อับอายหรือย่ำยีศักดิ์ศรี หรือเสี่ยงต่อความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นหรือการกีดกันทางสังคมจากการพยายามเข้าถึงหรือผ่านการทำแท้ง การแท้งลูกหรือผลเสียอื่นๆ จากการให้กำเนิดหรือระหว่างการทำแท้งหรือบริการหลังการทำแท้ง 
  • ควรจัดให้มีการทำแท้ง การดูแลหลังการทำแท้งและข้อมูลเกี่ยวกับการทำแท้งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปราศจากอคติ เข้าถึงได้ มีมาตรฐาน คุณภาพดีและให้บริการโดยเคารพต่อสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ศักดิ์ศรี ความเป็นส่วนตัวและรักษาความลับของผู้ตั้งครรภ์และความยินยอมของผู้ตั้งครรภ์  
  • รัฐมีพันธกรณีเชิงรุกในการขจัดอุปสรรคต่อการทำแท้ง แก้ไขข้อจำกัดของการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการทำแท้ง ซึ่งรวมถึงเพศสภาพ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ชนชั้น วรรณะ อายุและความพิการ เป็นต้น และขจัดการตีตราต่างๆ เกี่ยวกับลักษณะทางเพศ เพศกำเนิด ความพิการ การท้องไม่พร้อมและการทำแท้ง 

หน้าที่ของกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับการทำแท้งจะต้อง

  • รับประกันการให้บริการและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ที่ครบถ้วนรอบด้าน ซึ่งรวมถึงการทำแท้งและการดูแลหลังการทำแท้งที่ปลอดภัย และวิธีคุมกำเนิดสมัยใหม่ และรับประกันให้ผู้ตั้งครรภ์สามารถเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ปราศจากอคติได้อย่างเสมอภาค รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของตน 
  • มีผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ตั้งครรภ์เป็นศูนย์กลาง ให้ความเคารพและคุ้มครองสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ศักดิ์ศรี ความเป็นส่วนตัวและความจำเป็นในเรื่องเพศและอนามัยเจริญพันธุ์และรับประกันสิทธิมนุษยชนของบุคคลดังกล่าว 
  • ไม่กดดันหรือบังคับให้ผู้ตั้งครรภ์ต้องอุ้มครรภ์ต่อไปทั้งที่ไม่ต้องการหรือบังคับให้ทำแท้ง และต้องไม่ละเมิด ทำให้อับอายหรือย่ำยีศักดิ์ศรีผู้ที่พยายามเข้าถึงหรือผ่านการทำแท้งหรือระหว่างการทำแท้งหรือบริการหลังการทำแท้ง 
  • แก้ไขการเลือกปฏิบัติทางเพศสภาพและการเลือกปฏิบัติที่ทับซ้อนในรูปแบบอื่นๆ และการตีตราต่างๆ เพื่อเป็นข้ออ้างในการควบคุมการทำแท้ง นอกจากนี้ให้แก้ไขแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งที่ไม่ช่วยให้ผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ตั้งครรภ์มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับการทำแท้งของตนเองได้อย่างอิสระและมีข้อมูล 
  • ไม่กดดันหรือบังคับให้ตั้งครรภ์ต่อไปทั้งที่ไม่ต้องการ หรือบังคับให้ยุติการตั้งครรภ์อย่างไม่ปลอดภัยหรือไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ  
  • ไม่ลงโทษทางอาญาต่อการทำแท้งหรือลงโทษด้วยวิธีอื่นๆ ต่อผู้หญิง เด็กหญิงและผู้ที่ตั้งครรภ์เนื่องจากพยายามเข้าถึงหรือผ่านการทำแท้ง รวมไปถึงผู้ให้การช่วยเหลือและผู้ให้บริการในการทำแท้ง
  • รับรองว่าการทำแท้งเป็นสิ่งที่ทำกันทั่วโลกและเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้สำหรับการดูแลสุขภาพและการดูแลตนเองในเรื่องสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ในทุกสถานการณ์ (ทั้งในยามสงบ ยามศึกสงคราม วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม เหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและในระหว่างการถูกจองจำ)

การมองไปข้างหน้าของนโยบาย

นโยบายฉบับนี้ช่วยให้แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สามารถให้ข้อเสนอแนะต่อรัฐ ร่วมขับเคลื่อนเชิงนโยบายและรณรงค์เกี่ยวกับการทำแท้งได้ในลักษณะที่อาจก้าวหน้ากว่ามาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในปัจจุบัน ตราบใดที่ข้อเสนอแนะและการทำงานยังสอดคล้องกับหลักการสำคัญและความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและหลักการที่รองรับนโยบายนี้

ยิ่งไปกว่านั้นแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล พยายามที่จะช่วยผลักดันมาตรฐานและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศให้เดินหน้าและต่อสู้กับความพยายามเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานเกี่ยวกับการทำแท้งที่กำลังถดถอย

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มุ่งมั่นที่จะเรียกร้องต่อรัฐให้รับประกันต่อผู้ที่ตั้งครรภ์ทุกคนให้สามารถเข้าถึงการทำแท้งได้ โดยเคารพต่อสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ศักดิ์ศรีและความจำเป็นของบุคคลเหล่านั้น

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลในประเด็นการทำแท้งให้

  • ผู้หญิง เด็กหญิงและทุกคนที่สามารถตั้งครรภ์ได้ มีสิทธิในการทำแท้ง ได้รับบริการที่เคารพต่อสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ศักดิ์ศรีและความจำเป็น โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ความมุ่งหวังและความคิดเห็นของบุคคลดังกล่าว
  • การทำแท้งและการดูแลหลังการทำแท้งควรเข้าถึงได้ มีราคาที่ย่อมเยา ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ และควรให้บริการด้วยความเคารพต่อสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย ศักดิ์ศรี ความเป็นส่วนตัวและรักษาความลับของผู้ที่ตั้งครรภ์และความยินยอมของผู้ที่ตั้งครรภ์
  • รัฐมีพันธกรณีเชิงรุกในการสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยและเกื้อหนุนให้ทุกคนสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระเกี่ยวกับการทำตั้งครรภ์ของตนเอง
  • รัฐต้องยกเลิกความผิดทางอาญาต่อการทำแท้งโดยสิ้นเชิง
  • กรอบกฎหมาย นโยบายและการกำกับดูแลทั้งหมดเกี่ยวกับการทำแท้งควรถูกประเมินด้านสิทธิมนุษยชน