โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิต

ภาพรวม

ปัจจุบันเมื่อเกิดคดีอาชญากรรมร้ายแรง สังคมมักเรียกร้องให้มีการบังคับใช้โทษประหารชีวิตอย่างจริงจังต่อผู้กระทำความผิด โดยอยากเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเพราะฆาตกรได้ตายไปแล้ว แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลขอยืนยันว่าได้ให้ความเคารพต่อทุกๆ ความคิดเห็นเหล่านั้นเสมอมาในฐานะที่เราต่างอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริง อาชญากรรมและความรุนแรงยังคงมีอยู่เพียงแค่เปลี่ยนตัวผู้กระทำความผิดเท่านั้นเอง

การที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลพยายามสื่อสารกับสาธารณะในประเด็นโทษประหารชีวิต เพราะเราต้องการให้เกิดการสร้างระบบการป้องกันที่มีมาตรฐานและยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดความรุนแรงและอาชญากรรมในอนาคต  และเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย หาใช่เป็นการช่วยเหลือฆาตกรแต่อย่างใดตามที่หลายฝ่ายเข้าใจหรือพยายามโจมตีแนวทางการทำงานของแอมเนสตี้

โทษประหารชีวิตเป็นการสังหารบุคคลโดยรัฐเป็นผู้ลงมืออย่างเลือดเย็นและมีการไตร่ตรองไว้ก่อนล่วงหน้า และที่น่าหวาดหวั่นที่สุด คือ การลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในรูปแบบนี้นั้น ถูกกระทำในนามของ “ความยุติธรรม”

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงคัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะเช่นไรหรือไม่ว่ารัฐบาลจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใดก็ตาม อีกทั้งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรม

เรารู้ว่าถ้าเราร่วมมือกัน เราจะสามารถยุติโทษประหารชีวิตได้ทุกที่

ทุกวัน มีคนถูกประหารชีวิตและถูกพิพากษาให้รับโทษประหารชีวิตโดยรัฐในฐานะการลงโทษสำหรับอาชญากรรมหลากหลายประเภท บางครั้งเป็นการกระทำที่ไม่ควรถูกนับว่าเป็นอาชญากรรมด้วยซ้ำ ในบางประเทศ ผู้คนถูกตัดสินโทษประหารชีวิตจากความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งไม่ใช่อาชญากรรมที่กฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศอนุญาตให้ลงโทษถึงขั้นประหารชีวิตได้ ในประเทศอื่นๆ การลงโทษที่โหดร้ายนี้ถูกใช้กับคดีความมั่นคงและการฆาตกรรม

บางประเทศยังคงมีการลงโทษประหารชีวิตกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีในขณะที่ก่ออาชญากรรมที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด ขณะที่บางประเทศใช้โทษประหารชีวิตกับผู้ที่มีความบกพร่องทางจิตและสติปัญญา ในหลายกรณี โทษประหารชีวิตถูกตัดสินจากกระบวนการพิจารณาคดีและการอุทธรณ์คดีที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศอย่างชัดเจน นักโทษประหารชีวิตหลายคนต้องใช้ชีวิตอยู่ในแดนประหารเป็นเวลาหลายปี โดยไม่รู้ว่าตนเองจะถูกประหารเมื่อใดหรือจะได้เห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ การปิดบังข้อมูลโดยรัฐทำให้เราไม่สามารถทราบจำนวนที่แน่นอนของผู้ที่ถูกประหารชีวิตในแต่ละปีของหลายประเทศได้ ทั้งนี้รวมถึงประเทศจีนด้วย

โทษประหารชีวิตคือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลต่อต้านการใช้โทษประหารชีวิตในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าใครจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหา ลักษณะหรือบริบทของอาชญากรรม ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาหรือวิธีการประหารชีวิต

เกี่ยวกับโทษประหารชีวิต

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยืนหยัดว่าโทษประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิที่จะมีชีวิตและสิทธิที่จะมีชีวิตโดยปราศจากการทรมาน หรือการปฏิบัติ หรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเหล่านี้ได้รับการคุ้มครองภายใต้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งได้รับการรับรองโดยองค์การสหประชาชาติในปีพ.ศ. 2491

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประชาคมระหว่างประเทศได้มีการรับรองเครื่องมือทางกฎหมายหลายฉบับที่ห้ามการใช้โทษประหารชีวิต รวมถึงเครื่องมือต่างๆ ดังต่อไปนี้:

  • พิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิต
  • พิธีสารหมายเลข 6 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ว่าด้วยการยกเลิกโทษประหารชีวิต และพิธีสารหมายเลข 13 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ว่าด้วยการยกเลิกโทษประหารชีวิตในทุกกรณี
  • พิธีสารแห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งทวีปอเมริกา ว่าด้วยการยกเลิกโทษประหารชีวิต

แม้ว่ากฎหมายระหว่างประเทศจะกำหนดว่าโทษประหารชีวิตควรถูกจำกัดไว้เฉพาะในกรณีอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดเท่านั้น ซึ่งหมายถึงการฆ่าคนโดยเจตนา แต่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเชื่อว่าโทษประหารชีวิตไม่ใช่คำตอบและไม่เคยเป็นคำตอบที่ถูกต้องเลย

การรณรงค์ของเราต่อการลงโทษที่น่ารังเกียจนี้
ได้ผล เราจะรณรงค์ต่อไปจนกว่าเราจะสามารถ
ยุติโทษประหารชีวิตได้

แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

113

ประเทศได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางกฎหมายแล้ว ภายในสิ้นปี 2567

1,518

คือจำนวนการประหารชีวิตที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกไว้ในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับปี 2566

มากกว่า 1,000

คนที่ถูกประหารชีวิตในประเทศจีน แต่ตัวเลข ดังกล่าวยังคงเป็นความลับ

ภาพรวมของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

มีแรงกดดันเพิ่มสูงขึ้นให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในญี่ปุ่น หลังจากศาลมีคำพิพากษายกเลิกโทษประหารชีวิตของชายวัย 88 ปี ซึ่งเคยใช้ชีวิตอยู่ในแดนประหารมานานกว่า 45 ปี เนื่องจากผู้พิพากษาพบว่าพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีของเขาในข้อหาฆาตกรรมนั้นเป็นหลักฐานที่ถูกสร้างขึ้น หลักฐานดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานเท็จ

ในอัฟกานิสถาน การประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีรายงานว่ากลุ่มตาลีบันอาจรื้อฟื้นการประหารชีวิตด้วยการขว้างก้อนหินต่อผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่า “มีชู้”

การประหารชีวิตผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดียาเสพติดยังคงเกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในจีนและสิงคโปร์ ทั้งนี้ข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตของการใช้โทษประหารชีวิตในจีน เกาหลีเหนือและเวียดนามยังคงไม่เป็นที่เปิดเผย แต่เชื่อว่ามีการใช้อย่างกว้างขวาง กฎหมายฉบับใหม่ในจีนได้กำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้โทษประหารชีวิต และแนวปฏิบัติทางตุลาการใหม่ยังสนับสนุนให้มีการลงโทษประหารชีวิตต่อบุคคลที่สนับสนุนเอกราชของไต้หวันอีกด้วย

สำหรับประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วย 10 ประเทศนั้น จากรายงานสถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตปี 2566 ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า ตัวเลขการใช้โทษประหารชีวิตยังคงเป็นความลับทางราชการในเวียดนาม การประหารชีวิตในสิงคโปร์ลดลงจาก 11 ครั้งในปี 2565 เหลือ 5 ครั้งในปี 2566 ในมาเลเซีย มีข้อมูลการตัดสินประหารชีวิตใหม่อย่างน้อย 18 ครั้งก่อนที่การแก้ไขกฎหมายเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิตสถานเดียวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 สภาบริหารแห่งรัฐเมียนมาได้รับรองกฎหมายอาวุธ ซึ่งกำหนดให้การครอบครองอาวุธของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมายมีโทษประหารชีวิต

ส่วนประเทศไทย จากข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม เข้าถึง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 นั้น มีนักโทษประหารรวมทุกประเภทจำนวน 383 คน แบ่งเป็นชายจำนวน 344 คน หญิงจำนวน 39 คน กว่าร้อยละ 82 (82.91%) เป็นนักโทษในคดียาเสพติด

การประหารชีวิตเยาวชน

การใช้โทษประหารชีวิตสำหรับอาชญากรรมที่กระทำโดยผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีถูกห้ามโดยกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ก็ยังคงมีบางประเทศที่ใช้โทษประหารชีวิตในกรณีเหล่านี้อยู่ การประหารชีวิตเช่นนี้มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนการประหารชีวิตทั้งหมดที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกได้ในแต่ละปี

อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของการประหารชีวิตเหล่านี้ไม่ได้อยู่แค่ที่จำนวนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียกร้องให้มีการตั้งคำถามต่อความมุ่งมั่นของรัฐที่ดำเนินการประหารชีวิตในการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย

ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกการประหารชีวิตผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีอย่างน้อย 176 ครั้งใน 11 ประเทศ ได้แก่ จีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก อิหร่าน ไนจีเรีย ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย โซมาเลีย ซูดานใต้ ซูดาน สหรัฐอเมริกาและเยเมน

หลายประเทศเหล่านี้ได้แก้ไขกฎหมายเพื่อยกเว้นการปฏิบัตินี้ อิหร่านได้ประหารชีวิตผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีในขณะที่ก่ออาชญากรรมมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับจำนวนที่ประเทศทั้งสิบได้ประหารชีวิตรวมกัน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2533 อิหร่านได้ประหารชีวิตผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีอย่างน้อย 122 คน

วิธีการประหารชีวิตที่ใช้ในปีพ.ศ. 2567

  • การตัดศีรษะ (Beheading)
  • การแขวนคอ (Hanging) 
  • การฉีดยาพิษ (Lethal injection)
  • การยิง (Shooting) 
  • การทำให้ขาดอากาศหายใจโดยใช้ก๊าซไนโตรเจน (Nitrogen gas asphyxiation)

การประหารชีวิตส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ไหน?

ในปี 2567 ประเทศที่มีการประหารชีวิตสูงที่สุดได้แก่ จีน อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย อิรักและเยเมน ตามลำดับ

จีนยังคงเป็นประเทศที่มีการประหารชีวิตมากที่สุดในโลก แต่ขอบเขตที่แท้จริงของการใช้โทษประหารชีวิตในจีนนั้นยังไม่เป็นที่ทราบอย่างแน่ชัด เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวถูกจัดให้เป็นความลับทางราชการของรัฐบาล ตัวเลขการประหารชีวิตทั่วโลกจำนวนอย่างน้อย 1,518 รายตามที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกไว้ในปีพ.ศ. 2567 นั้นยังไม่นับรวมการประหารชีวิตอีกนับพันกรณีที่เชื่อว่าเกิดขึ้นในจีน

หากไม่นับรวมประเทศจีน การประหารชีวิตที่ถูกรายงานทั้งหมดถึง 87% เกิดขึ้นในเพียงสองประเทศเท่านั้น คือ อิหร่านและซาอุดีอาระเบีย

ทั่วโลก: โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตปี 2553-2567

*แผนที่นี้แสดงถึงตำแหน่งโดยรวมของเขตแดนและเขตอำนาจศาล และไม่ควรตีความว่าเป็นจุดยืนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลต่อดินแดนที่มีข้อพิพาท

**ชื่อประเทศที่ปรากฏเป็นไปตามการเรียกชื่อ ณ เดือนเมษายน 2568

แต่ละปี มีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตจำนวนเท่าใด?

คำพิพากษาลงโทษประหารชีวิต

ในปี 2567 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตได้อย่างน้อย 2,087 กรณีใน 46 ประเทศและในสิ้นปี 2567 มีผู้ต้องขังจากทั่วโลกอย่างน้อย 28,085 รายที่ถูกตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิต

การประหารชีวิต

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลบันทึกการประหารชีวิตอย่างน้อย 1,518 ครั้งใน 15 ประเทศในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับปี 2566

เหตุใดจึงควรยกเลิกโทษประหารชีวิต?

โทษประหารชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ และความผิดพลาดก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน

การประหารชีวิตเป็นบทลงโทษขั้นสูงสุดและไม่อาจย้อนกลับได้ ความเสี่ยงในการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ไม่อาจขจัดให้หมดไปได้เลย ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปี 2516 มีผู้ต้องโทษประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกามากกว่า 200 คนที่ในเวลาต่อมาได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์หรือได้รับการปล่อยตัวจากแดนประหารด้วยเหตุแห่งความบริสุทธิ์ ขณะที่บางคนก็ยังคงถูกประหารชีวิตทั้งที่มีข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับความผิดของพวกเขา

โทษประหารชีวิตไม่ได้ช่วยยับยั้งการเกิดอาชญากรรม

ประเทศต่างๆ ที่ยังคงมีการประหารชีวิตมักอ้างว่าโทษประหารชีวิตเป็นวิธีการป้องปรามไม่ให้ประชาชนกระทำความผิด อย่างไรก็ตาม ข้ออ้างนี้ถูกหักล้างครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่าโทษประหารชีวิตมีประสิทธิภาพมากพอในการลดอัตราการเกิดอาชญากรรมมากกว่าการจำคุกตลอดชีวิต

โทษประหารชีวิตมักจะถูกใช้ในระบบยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม

ในหลายกรณีที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้บันทึกไว้ ชี้ให้เห็นว่าผู้คนถูกประหารชีวิตหลังจากที่ถูกตัดสินลงโทษผ่านการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมอย่างร้ายแรง โดยอาศัยหลักฐานที่ได้จากการทรมานและไม่ได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเหมาะสม ในบางประเทศ โทษประหารชีวิตถูกกำหนดเป็นบทลงโทษบังคับสำหรับบางความผิด ซึ่งหมายความว่าผู้พิพากษาไม่มีอำนาจในการพิจารณาสถานการณ์ของอาชญากรรมหรือของจำเลยก่อนมีคำพิพากษาลงโทษได้

โทษประหารชีวิตมีลักษณะของการเลือกปฏิบัติ

สัดส่วนของการใช้โทษประหารชีวิตมักตกอยู่กับกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ด้อยโอกาสกว่า หรือเป็นสมาชิกของชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์หรือศาสนาอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ได้สัดส่วน ซึ่งรวมถึงการที่พวกเขาเข้าถึงการช่วยเหลือทางกฎหมายได้อย่างจำกัด หรือประสบกับความเสียเปรียบมากกว่าในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

โทษประหารชีวิตถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เจ้าหน้าที่รัฐในบางประเทศ เช่น อิหร่านและซาอุดีอาระเบีย ใช้โทษประหารชีวิตเพื่อลงโทษฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองหรือเพื่อปราบปรามความคิดเห็นที่แตกต่าง

กรณีศึกษา: ยืนหยัดเพื่อยุติโทษประหารชีวิต

มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องลงมือทำ เพราะทุกสองเดือน รัฐบาลจะประหารชีวิตผู้คนอีกหนึ่งคน นี่ปัญหาเรื่องความเป็นความตายของประชาชน

ทีเจ ริกส์ (TJ Riggs)

ทีเจ ริกส์ อายุ 20 ปี เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยแซมฟอร์ด และเป็นผู้ประสานงานด้านการยุติโทษประหารชีวิตของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในรัฐแอละแบมา เขามุ่งมั่นในการต่อสู้เพื่อผู้ต้องโทษประหารชีวิต ความยุติธรรมทางเชื้อชาติในรัฐและเชื่อมั่นในพลังของการเขียนจดหมาย

ทีเจได้รณรงค์ในนามของร็อกกี้ ไมเออร์ส (Rocky Myers) ชายผิวดำที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ซึ่งถูกตัดสินโทษประหารชีวิตในคดีฆาตกรรม แม้ไม่มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยงเขากับที่เกิดเหตุโดยตรง อีกทั้งคำให้การของพยานสำคัญก็ถูกเพิกถอน แต่ผู้พิพากษากลับตัดสินลงโทษประหารชีวิตเขาโดยขัดต่อความเห็นของคณะลูกขุน ต่อมาเขาถูกทนายความทอดทิ้ง ทำให้พลาดกำหนดเวลาในการยื่นอุทธรณ์เพื่อขอพิจารณาใหม่ในระดับรัฐบาลกลาง กระบวนการพิจารณาคดีของเขาได้รับผลกระทบจากการเหยียดเชื้อชาติและอคติทางเศรษฐกิจสังคม

“ในปีแรกที่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยแซมฟอร์ด ผมได้รับมอบหมายให้รับช่วงดูแลชมรมแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลของเรา กลุ่มนักศึกษาต่างๆ ทำกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ผมเริ่มมีส่วนร่วมอย่างจริงจังและได้เข้าร่วมกับเครือข่ายยุติโทษประหารชีวิตในรัฐแอละแบมา หลังจากปีแรกที่ได้เป็นประธานชมรม ผมก็ได้รับการเชิญชวนให้สมัครและทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านการยุติโทษประหารชีวิตของแอมเนสตี้ในรัฐแอละแบมา

การประหารชีวิตในรัฐแอละแบมาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงหลัง ทั้งในด้านกฎหมายและกระบวนการ มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐนี้ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในรัฐอื่นมาก่อน และแอละแบมากำลังเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานของโทษประหารชีวิตในลักษณะที่น่าเสียดายเพราะกำลังกลายเป็นแบบอย่างให้กับรัฐบาลของรัฐอื่นๆ มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องลงมือทำ เพราะทุกสองเดือน รัฐบาลจะประหารชีวิตผู้คนอีกหนึ่งคน นี่ปัญหาเรื่องความเป็นความตายของประชาชน

อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับงานนี้ คือความเข้มแข็งและการจัดการที่ดีของเครือข่ายนักกิจกรรมที่ทำงานเพื่อยุติโทษประหารชีวิตในรัฐแอละแบมา มีองค์กรจำนวนมากในรัฐที่อุทิศตนอย่างแท้จริงในการต่อสู้กับโทษประหารชีวิต และต่อสู้กับประวัติศาสตร์อันยาวนานของความอยุติธรรมทางเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมในคดีโทษประหารชีวิต

สำหรับผู้ที่ต้องการสนับสนุนแคมเปญของแอมเนสตี้ในเรื่องการยุติโทษประหารชีวิต ขอให้เขียนจดหมายถึงผู้ต้องโทษประหารชีวิต เขียนจดหมายถึงรัฐบาลของ ผมเขียนจดหมายมาแล้วนับไม่ถ้วนและผมเชื่อว่ามีคนจำนวนมากในรัฐนี้ที่ทำแบบเดียวกันกับผม”

แอมเนสตี้ตอบคำถามเรื่อง #โทษประหารชีวิต ที่คุณ(อาจ)สงสัย

เมื่อเกิดอาชญากรรมที่ร้ายแรง อุกอาจและสะเทือนขวัญ ปฏิกิริยาของสังคมที่มักจะพบเห็นได้ทั่วไปจากสื่อมวลชน คนที่มีชื่อเสียง ประชาชนและผู้นำทางการเมือง คือ การเรียกร้องให้นำโทษประหารชีวิตมาบังคับใช้ โดยเชื่อว่าบทลงโทษที่รุนแรงอย่างการประหารชีวิต จะสามารถยับยั้งและป้องกันอาชญากรรมที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อดังกล่าวยังไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมารองรับว่าการใช้โทษประหารชีวิตจะสามารแก้ปัญหาอาชญากรรมได้

ในทางตรงข้าม มีรายงานการศึกษาจากนานาประเทศที่ระบุว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเกี่ยวข้องกับอัตราการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรม เช่น งานศึกษาอย่างรอบด้านขององค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโทษประหารชีวิตกับอัตราการฆาตกรรมได้ข้อสรุปว่า “งานวิจัยชิ้นนี้ไม่สามารถค้นพบข้อยืนยันในทางวิทยาศาสตร์ว่า การประหารชีวิตส่งผลในเชิงป้องปรามได้ดียิ่งกว่าการลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และไม่น่าเชื่อว่าจะมีข้อยืนยันเหล่านั้นอยู่จริง หลักฐานที่มีอยู่ไม่มีข้อสนับสนุนในเชิงบวกต่อสมมติฐานในแง่การป้องปรามเลย”

วันที่ 10 ตุลาคม ของทุกปีคือวันยุติโทษประหารชีวิตสากล (World Day against the Death Penalty) ที่กำหนดขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในประเด็นโทษประหารชีวิต โทษประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน คือ สิทธิที่จะมีชีวิต นอกจากนี้ยังเป็นการทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกด้วย

เราขอใช้โอกาสนี้ตอบคำถามที่ได้รับจากสังคมอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหวังว่าจะช่วยทำความเข้าใจเรื่องการรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิต (End the Death Penalty) ได้มากขึ้นและนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นข้อเสนอจากหลายๆ ส่วนเพื่อเป็นแนวทางพัฒนากระบวนการยุติธรรมและร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

คำถาม: เหตุใดแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงคัดค้านโทษประหารชีวิต? แอมเนสตี้ช่วยโจรจริงหรือ?

คำตอบ: แอมเนสตี้ รณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิต เพราะต้องการจะให้เกิดการสร้างระบบการป้องกันอาชญากรรมที่มีมาตรฐาน เพื่อลดความรุนแรงอย่างยั่งยืน ส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพและเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นมาอีก ไม่ใช่เป็นการช่วยเหลืออาชญากรตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ นอกจากนี้การลงโทษประหารชีวิตยังเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่จำเป็นที่สุดสำหรับบุคคล นั่นก็คือ  “สิทธิที่จะมีชีวิต” ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โทษประหารชีวิตเป็นการสังหารบุคคลโดยรัฐเป็นผู้ลงมืออย่างเลือดเย็นและมีการไตร่ตรองไว้ก่อนล่วงหน้า และที่น่าหวาดหวั่นที่สุด คือ การลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในรูปแบบนี้ ถูกกระทำในนามของ “ความยุติธรรม”

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงคัดค้านโทษประหารชีวิตในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใดหรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใดก็ตาม ทั้งนี้ งานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรม

คำถาม: การคัดค้านโทษประหารชีวิตของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นการไม่ให้เกียรติต่อเหยื่อและครอบครัวของเหยื่อหรือไม่?

คำตอบ: การคัดค้านโทษประหารชีวิตของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนข้อหรือยกโทษให้กับผู้กระทำความผิด ผู้กระทำความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม แต่เราเรียกร้องถึงการเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการการลงโทษผู้กระทำความผิด ทั้งนี้ เราไม่ได้มุ่งที่จะลดทอนหรือเพิกเฉยต่อความผิดทางอาญาที่เกิดขึ้น

ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจหลักในการทำงานของแอมเนสตี้  ดังนั้น จึงไม่สมเหตุสมผลที่แอมเนสตี้จะดูแคลนความทุกข์ทรมานของครอบครัวผู้เสียหาย แอมเนสตี้เห็นใจและเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แต่ลักษณะและผลลัพธ์ที่โหดร้ายของโทษประหารชีวิตเป็นเหตุให้วิธีการนี้ไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานในปัจจุบัน โทษประหารชีวิตเป็นการแก้ปัญหาอาชญากรรมที่รุนแรงอย่างไม่เหมาะสมและไม่อาจยอมรับได้

คำถาม: คนที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงหรือคนที่ฆ่าคนอื่น สมควรแล้วที่ต้องตายตกไปตามกันไม่ใช่หรือ?

คำตอบ: เราไม่สามารถหยุดฆาตกรได้ด้วยการฆ่า แม้ว่าจะกระทำในนามของความยุติธรรมก็ตาม เมื่อเราทำเช่นนั้น รัฐหรือเราเองก็มีพฤติกรรมที่ไม่ต่างจากฆาตกร

นอกจากนั้น ระบบยุติธรรมทางอาญาต่างก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดการเลือกปฏิบัติและข้อผิดพลาดได้ ไม่มีระบบใดในโลกที่เป็นธรรมและไม่มีข้อบกพร่องพอที่จะสามารถตัดสินว่าใครควรมีชีวิตอยู่หรือหรือใครควรจะตายไป การเร่งรัดกระบวนการการตัดสินใจโดยใช้อัตวินิจฉัยและความเห็นของสาธารณะอาจมีอิทธิพลต่อขั้นตอนปฏิบัติงานตั้งแต่การจับกุมในเบื้องต้นไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของการขออภัยโทษ

เมื่อมีการใช้โทษประหารชีวิต จะต้องมีบางคนที่ถูกสังหาร ในขณะที่บางคนซึ่งก่ออาชญากรรมคล้ายคลึงกันหรือร้ายแรงกว่ากลับรอดตัวไป นักโทษที่ถูกประหารชีวิตอาจไม่ใช่ผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่สุดในเบื้องต้นก็ได้ หลายๆ คนมีฐานะยากจน ไม่สามารถว่าจ้างทนายความมาแก้ต่างให้กับตนเองหรืออาจเป็นเพราะต้องเผชิญกับความผิดพลาดหรือความไม่เป็นธรรมของกระบวนการก็ได้

คำถาม: ไม่มีความจำเป็นเลยหรือที่จะต้องประหารชีวิตนักโทษบางคนเพื่อป้องกันไม่ให้กระทำความผิดซํ้าอีก?

คำตอบ: ในความป็นจริงยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการใช้โทษประหารชีวิตสามารถป้องกันการกระทำความผิดซํ้าได้ เพราะในทางปฏิบัติแล้วเราใช้โทษประหารชีวิตกับนักโทษที่อยู่ระหว่างการคุมขัง ซึ่งนักโทษเหล่านั้นอยู่ในเรือนจำและถูกแยกตัวออกมาจากสังคมอยู่แล้ว เป็นเรื่องยากที่นักโทษคนดังกล่าวจะก่อความรุนแรงในสังคมได้อีก ดังนั้น การใช้โทษประหารชีวิตเพื่อเป็นมาตรการเชิงป้องกันจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น นอกจากนี้ โทษประหารชีวิตอาจนำไปสู่ความผิดพลาดของกระบวนการยุติธรรมที่ไม่อาจเยียวยาแก้ไขได้อีก มีความเสี่ยงที่ผู้ต้องขังบางคนซึ่งแท้จริงแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์อาจถูกประหารชีวิต

อีกทั้งหากพิจารณาตามตรรกะแล้ว เราไม่สามารถประเมินได้จริงว่าผู้ที่ต้องโทษประหารชีวิตจะกระทำผิดซํ้าอีกหรือไม่ เพราะการประหารชีวิตเป็นการพรากชีวิตนักโทษ ซึ่งในทางทฤษฎีย่อมทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสกระทำการใดๆ ได้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีก็ตาม ทั้งยังเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการฟื้นฟูแก้ไขผู้กระทำความผิดอีกด้วย

บางคนอาจแย้งว่า การคุมขังเพียงอย่างเดียวไม่สามารถป้องกันบุคคลที่เคยถูกคุมขังมาแล้วจากการกระทำความผิดซํ้าหากได้รับการปล่อยตัว คำตอบคงอยู่ที่การทบทวนขั้นตอนปฏิบัติในการอภัยโทษ ในหลายประเทศจะมีการขั้นตอนการตรวจสอบความพร้อมของนักโทษอย่างเข้มงวดก่อนที่จะให้เขากลับไปใช้ชีวิตในสังคมอีกครั้ง ทั้งนี้เพื่อพยายามป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำความผิดซํ้าอีก

คำถาม: จริงหรือที่คนทำผิดเท่านั้นที่จะได้รับโทษประหารชีวิตหรือถูกประหารชีวิต?

คำตอบ: ไม่น่าเชื่อว่ามีผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกประหารชีวิต ในสหรัฐอเมริกา มีการตรวจดีเอ็นเอ (DNA) ของนักโทษประหารชีวิตทั้งหมด ซึ่งผลออกมาว่า มีนักโทษประหารชีวิตจำนวนมากที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ในญี่ปุ่น มีคดีดังของนักมวยชื่อ ฮากามาดะ อิวาโอะ ซึ่งเป็นนักโทษที่รอการประหารชีวิตยาวนานที่สุดในโลกถึง 46 ปี เขาเป็นอดีตนักมวยอาชีพถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานปล้นและฆ่าหมู่นายจ้าง ภรรยาและลูกของนายจ้างอีกสองคนก่อนจุดไฟเผาบ้านในเขตชิซูโอกะ ทางภาคกลางของญี่ปุ่น เมื่อปี 2509 เขาถูกจับกุมและคุมขังในปีเดียวกันนั้น ในตอนแรกเขาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ต่อมาให้การรับสารภาพหลังถูกสอบปากคำนานถึง 20 วัน ในระหว่างที่มีการตัดสินคดี ตัวผู้พิพากษากำลังเขียนคำว่า “ยกฟ้อง” แต่ผู้พิพากษาอาวุโสคนหนึ่งบังคับให้เขียนว่า “มีความผิดแล้วต้องรับโทษ” ตำรวจและอัยการมีความใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก พวกเขาต้องการให้คดีนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น ผู้พิพากษาที่ถูกบังคับทนอยู่กับความรู้สึกผิดไม่ได้ หลังพิพากษาได้หกเดือนจึงตัดสินใจลาออก

โดยทั่วไปแล้ว เมื่อถูกตั้งข้อหาว่ากระทำความผิด ผู้ต้องหาย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการไต่สวนคดีอย่างเป็นธรรม จำเลยที่ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายในการไต่สวนคดีอาญา หรือการไต่สวนคดีอย่างไม่เป็นธรรม เท่ากับถูกปฏิเสธไม่ให้ได้รับความยุติธรรม ซึ่งไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล หลักนิติธรรมและละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิต สิทธิที่จะได้รับการไต่สวนคดีอย่างเป็นธรรมและข้อห้ามต่อการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ

การตัดสินว่าใครจะถูกประหารชีวิตและใครที่จะรอดชีวิต มักไม่ได้ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของความผิด แต่ขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์หรืออัตลักษณ์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือขึ้นอยู่กับความสามารถของจำเลยเองด้วยที่จะทำความเข้าใจและเจรจาในระหว่างการไต่สวนคดี หรือการได้รับความช่วยเหลือและเข้าถึงทนายความอย่างเพียงพอ รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้จำเลยสามารถท้าทายความไม่เป็นธรรมของระบบยุติธรรมทางอาญาที่มุ่งผลักดันตนเองให้เข้าสู่หนทางแห่งความตายได้

ดังนั้นการยกเลิกโทษประหารชีวิตจึงเป็นหลักประกันว่าผู้บริสุทธิ์จะไม่ถูกประหารชีวิตอีกต่อไป เราเรียกร้องให้รัฐทุกแห่ง ดำเนินมาตรการเพื่อชะลอการลงโทษประหารชีวิตในระหว่างที่มีการพิจารณายกเลิกโดยสิ้นเชิง การยกเลิกโทษประหารชีวิตจึงสามารถแสดงถึงเจตจำนงของสังคมที่ต้องการความเป็นธรรมและความยุติธรรมมากกว่าการที่จะมาขอโทษเมื่อมีการประหารชีวิตผิดพลาด เพราะคำขอโทษนั้นไม่อาจและไม่สามารถทดแทนชีวิตมนุษย์ได้

คำถาม: การประหารชีวิตเป็นการคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของเหยื่อหรือผู้เสียหายไม่ใช่หรือ?

คำตอบ: เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงไม่ว่ากับครอบครัวใดก็ตาม จนนำไปสู่ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สิ่งที่รัฐจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วนคือ การนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมจะต้องโปร่งใส รวดเร็ว แม่นยำและเท่าเทียม จะต้องไม่มีการปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล ยิ่งกระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและรวดเร็วเท่าไร ยิ่งถือได้ว่าเป็นการเยียวยาเหยื่อหรือผู้เสียหาย รวมถึงครอบครัวของเหยื่อหรือผู้เสียหายได้มากเท่านั้น

นอกจากนี้ สิ่งที่ครอบครัวเหยื่อต้องการหลังสูญเสียคนที่รักคือการช่วยเหลือทางด้านการเงินและการเยียวยาสภาพจิตใจในระยะยาว ซึ่งเรื่องหลังนี้ รัฐจะต้องมีการทำงานอย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมาหลายครอบครัวที่ประสบกับความสูญเสียยังไม่สามารถทำใจได้ แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม

รัฐควรให้ความยุติธรรมไม่ใช่การแก้แค้น เหยื่อและครอบครัวสมควรได้รับความยุติธรรม การที่เราออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไม่ได้หมายถึงการห้ามไม่ให้ลงโทษผู้กระทำความผิด เรายืนยันเสมอว่าคนทำผิดจะต้องได้รับโทษและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ควรใช้ความโกรธแค้นของครอบครัวเหยื่อมาเป็นเหตุผลในการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ที่ถูกตัดสินว่าก่ออาชญากรรม และไม่ควรทำให้วงจรแห่งความรุนแรงยังคงอยู่ในสังคมต่อไป

มีครอบครัวเหยื่ออาชญากรรมหลายรายได้เข้าร่วมรณรงค์ต่อต้านโทษประหารชีวิตตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสมาชิกในครอบครัวของเหยื่อทั้งหมดไม่ได้เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต หรือแม้กระทั่งรู้สึกผิดต่อการประหารชีวิตผู้อื่น นอกจากนี้ ในบางประเทศที่ยกเลิกการประหารชีวิตแล้ว จะมีการกำหนดให้จ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสังคมสามารถโต้ตอบความรุนแรงด้วยวิธีการที่แตกต่างและเหมาะสมมากกว่าได้

คำถาม: ถ้าไม่มีโทษประหารชีวิตแล้วจะทำอย่างไรกับผู้กระทำความผิด?

คำตอบ: ในหลายประเทศที่ไม่มีโทษประหารชีวิต มักให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการป้องกันอาชญากรรม คิดหาวิธีที่เพื่อไม่ให้เกิดอาชญากรรมเหล่านั้นขึ้นอีก ดังนั้น เมื่อเกิดอาชญากรรมขึ้น มีการคิดวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นสาหตุของการเกิดคดีและตัวตนของคนที่ก่ออาชญากรรมเป็นอย่างไร จากทุกมุมมองที่เป็นไปได้และศึกษาวิจัยต้นสายปลายเหตุ และแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน ขณะเดียวกันผู้กระทำความผิดก็ต้องได้รับการฟื้นฟูจิตใจ เผื่อว่าสุดท้ายแล้ว ผู้กระทำผิดจะได้กลับสู่สังคมและกลับตัวเป็นคนดี ไม่ใช่กลับไปเป็นอาชญากรอีก แน่นอนว่าไม่มีกระบวนการที่แก้ไขปัญหาอาชญากรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในฐานะที่เราอยู่ร่วมกันในสังคม เราควรจะช่วยกันคิดว่าจะทำให้สังคมดีขึ้นและลดปัญหาอาชญากรรมได้อย่างไร

นอร์เวย์ เป็นประเทศที่ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องบทลงโทษ แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องการคืนความยุติธรรมให้แก่สังคม สังคมจะกลับคืนสู่ภาวะปกติได้อย่างไร ครอบครัวเหยื่อจะฟื้นคืนจากอาชญากรรมที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และจะฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้กระทำความผิดได้อย่างไร นักโทษได้เล่าให้ฟังว่าเขาถูกส่งไปอยู่บนภูเขา ไม่มีรั้วกั้น อยู่กับธรรมชาติและเมื่อกลับสู่สังคมปกติ ก็มีคนคอยดูแลและรายงานความประพฤติของเขา ซึ่งผู้กระทำความผิดจะไม่ได้รับการปล่อยตัวจนกว่าจะได้การรับรอง

คำถาม: เมื่อนักโทษเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ออกมาแล้วยังทำความผิดซ้ำ การประหารชีวิตก็เป็นทางออกที่ดีไม่ใช่เหรอ?

คำตอบ: เราควรมีทัศนคติใหม่ต่อผู้ที่กระทำความผิด ไม่ควรคิดเพียงแค่มุมเดียวว่าพวกเขาเป็นผู้ร้ายที่สมควรได้รับการลงโทษอย่างสาสม แต่ควรคิดว่าพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของผลผลิตทางสังคมเหมือนเช่นเรา และการลงโทษนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อการแก้แค้น แต่ต้องเป็นไปเพื่อการแก้ไขเยียวยา เพราะการที่พวกเขากระทำความผิดย่อมหมายถึงบางสิ่งบางอย่างในสังคมเราทำหน้าที่ผิดเพี้ยนไป สิ่งที่เราควรกระทำนั้นไม่ใช่การกำจัดพวกเขาให้ออกไปจากสังคม แต่ควรที่จะคิดหาต้นตอของปัญหา ฟันเฟืองที่ทำงานผิดพลาดเพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

แน่นอนว่าสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นกระทำถือว่าเป็นความผิด สิ่งที่รัฐจะต้องกระทำอย่างเร่งด่วนคือ การนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมจะต้องโปร่งใส รวดเร็ว แม่นยำและเท่าเทียม จะต้องไม่มีการปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล ยิ่งกระบวนการยุติธรรมเป็นธรรมและรวดเร็วเท่าไรยิ่งถือได้ว่าเป็นการเยียวยาเหยื่อหรือผู้เสียหายและครอบครัวของเหยื่อหรือผู้เสียหายได้มากเท่านั้น

ส่วนการเรียกร้องให้มีการประหารชีวิตบุคคลที่มีพฤติกรรมเลวร้ายเหล่านั้น แน่นอนทุกคนโกรธและเกลียดในสิ่งที่คนเหล่านั้นกระทำต่อเหยื่อหรือผู้เสียหาย ในเมื่อเราโกรธและเกลียดในสิ่งที่พวกเขากระทำ เราก็ไม่ควรกระทำแบบเดียวกับที่พวกเขาทำ เพราะไม่เช่นนั้นเราก็คงไม่ต่างไปจากพวกเขา เราอาจกลายเป็น “อาชญากร” เพียงแต่เราไม่ได้ลงมือฆ่าคนด้วยตนเอง แต่มอบหมายหน้าที่นั้นให้กับเพชฌฆาตเป็นผู้ทำหน้าที่ “ฆ่า” แทนเรา

คำถาม: การรณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิตเป็นความพยายามที่ชาติตะวันตก “บังคับให้เราเชื่อตามคุณค่าทางวัฒนธรรมของพวกเขา” ใช่หรือไม่?

คำตอบ: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยินดีที่ในหลายวัฒนธรรมและศาสนาต่างมีคำสอนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนแฝงอยู่ในหลายระดับและเชื่อว่าคำสอนเหล่านี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นต่อสิทธิมนุษยชน ในเวลาเดียวกัน พวกเราเชื่อว่าสิทธิมนุษยชนเป็นคุณค่าสากล เชื่อมโยงกันและไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้ว่าสิทธิมนุษยชนจะเกิดขึ้นและพัฒนาในบริบทของชาติตะวันตก แต่ก็ไม่ใช่คุณค่าเฉพาะของชาติตะวันตกเพียงเท่านั้น หากยังพัฒนาขึ้นจากหลายจารีตที่แตกต่างกัน และรัฐภาคีทุกรัฐขององค์การสหประชาชาติต่างยอมรับและนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานและพร้อมที่จะปฏิบัติตาม

เป็นที่น่าสังเกตว่าหลายประเทศซึ่งยกเลิกโทษประหารชีวิต มีศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน จึงไม่อาจพูดได้ว่าการยกเลิกโทษประหารชีวิตเป็นวาระที่ผลักดันโดยประชาชนจากภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งของโลกเท่านั้น

แอมเนสตี้เรียกร้องอะไร?

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านโทษประหารชีวิตในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด รวมทั้งงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรม

แล้วแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลทำอะไรบ้างเพื่อยุติโทษประหารชีวิต?

ตลอดระยะเวลากว่า 48 ปีที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้รณรงค์เพื่อยุติโทษประหารชีวิตทั่วโลก

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลติดตามการใช้โทษประหารชีวิตของรัฐบาลทั่วโลกเพื่อเปิดเผยและเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาลที่ยังคงใช้บทลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นี้ เราเผยแพร่รายงานประจำปี โดยรวบรวมตัวเลขและวิเคราะห์แนวโน้มของแต่ละประเทศ รายงานล่าสุดของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรื่อง สถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตในปี 2567 ซึ่งได้เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา

งานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลในประเด็นเรื่องการยุติโทษประหารชีวิตมีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงโครงการเฉพาะด้าน การรณรงค์และการผลักดันนโยบายในภูมิภาคแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา เอเชียแปซิฟิก อเมริกา ยุโรปและเอเชียกลาง รวมถึงตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ อีกทั้งยังมีการเสริมสร้างมาตรฐานระดับชาติและระดับนานาชาติเพื่อยุติการใช้โทษประหารชีวิต เช่น สนับสนุนให้มีการรับรองมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่าด้วยการระงับการใช้โทษประหารชีวิต นอกจากนี้ เรายังใช้แรงกดดันในนามของผู้ที่กำลังเผชิญกับการประหารชีวิตในเวลาอันใกล้นี้และสนับสนุนการดำเนินงานของขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อยุติโทษประหารชีวิตทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับโลก

ในตอนที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเริ่มทำงานในปี 2520 มีเพียง 16 ประเทศเท่านั้นที่ยุติการใช้โทษประหารชีวิตโดยสมบูรณ์ ปัจจุบัน ตัวเลขนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 113 ประเทศ ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศทั้งหมดทั่วโลก และกว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั้งหมดเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยในประเด็นเรื่องโทษประหารชีวิตให้

  • ประกาศพักการประหารชีวิตในทางปฏิบัติอย่างเป็นทางการโดยทันที เพื่อให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการแม่บทว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฉบับที่ 3 โดยมีเจตจำนงที่จะออกกฎหมายให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในท้ายที่สุด
  • เสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อลดจำนวนความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษประหารชีวิต
  • ลงนามและให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่สองของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and Political Rights) ที่มุ่งยกเลิกโทษประหารชีวิต
  • รัฐบาลควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติโทษประหารชีวิต และในระหว่างนี้ ควรมีข้อตกลงชั่วคราวเพื่อพักใช้การประหารชีวิตอย่างเป็นทางการ