แถลงการณ์แอมเนสตี้ ในกรณีที่ตำรวจใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมในฮ่องกง

9 สิงหาคม 2562

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล4

ภาพ : @JimmyLam

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ออกแถลงการณ์สืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมที่ฮ่องกง โดยเตือนให้ตำรวจฮ่องกงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่ในการใช้อาวุธปืนฉีดน้ำในช่วงที่มีการชุมนุม โดยเตือนว่าการใช้อาวุธที่มีอานุภาพสูงเช่นนี้ในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรง และทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น และเน้นย้ำว่าช่วงระหว่างการชุมนุมประท้วงที่ผ่านมา ตำรวจฮ่องกงมักใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และระเบิดฟองน้ำ ในลักษณะเกินกว่าเหตุและไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเรียกร้องให้ตำรวจใช้ความระมัดระวังในการใช้อาวุธปืนฉีดน้ำ

 

“อาวุธปืนฉีดน้ำไม่ใช่ของเล่นที่ตำรวจฮ่องกงจะนำมาใช้เพื่ออวดสมรรถนะของตนเอง หากเป็นอาวุธที่มีพลานุภาพและเป็นการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย อาจส่งผลกระทบให้เกิดอาการบาดเจ็บร้ายแรงและจนถึงขั้นเสียชีวิต อาวุธชนิดนี้ทำให้คนสลบเหมือด ทำให้ผู้ชุมนุมกระเด็นไปกระแทกโดนวัตถุต่าง ๆ ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร หรือเปลี่ยนให้วัตถุที่ขวางอยู่ในเส้นทางการฉีดกลายเป็นเหมือนขีปนาวุธพุ่งเข้าหาฝูงชนในท้องถนนในฮ่องกง การนำเครื่องฉีดน้ำเหล่านี้มาใช้ เป็นสูตรสำเร็จนำไปสู่หายนะ”

 

“นับแต่เกิดการประท้วงขึ้นในฮ่องกงเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางในลักษณะต่ำกว่ามาตรฐานระหว่างประเทศมาก จากกรณีที่ตำรวจชอบยิงเป็นว่าเล่นเช่นนี้ ทำให้เกิดคำถามว่า เจ้าหน้าที่จะสามารถใช้อาวุธปืนฉีดน้ำในลักษณะซึ่งไม่ทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บร้ายแรงได้หรือไม่”

หมั่นเคย ตาม ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฮ่องกง

 

 

คาดว่าตำรวจฮ่องกงจะมีความพร้อมในการใช้อาวุธปืนฉีดน้ำภายในกลางเดือนสิงหาคม

 

ก่อนหน้านี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เน้นให้เห็นถึงอันตรายของการใช้อาวุธปืนฉีดน้ำโดยเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย อย่างกรณีที่น่ากลัวซึ่งเกิดขึ้นในเกาหลีใต้ ในระหว่างการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่กรุงโซล เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 แบก นำจี นักกิจกรรม ถูกยิงด้วยน้ำจากอาวุธปืนฉีดน้ำของตำรวจจนสลบเหมือด เพราะเป็นการยิงในระยะเผาขน และน้ำมีแรงดันมหาศาล จากภาพถ่ายวีดิโอของเหตุการณ์ เมื่อถูกน้ำฉีดเข้าตรง ๆ ที่ศีรษะ เขาล้มลงทันทีและสลบไปเลย ถึงอย่างนั้นตำรวจซึ่งดูแลเครื่องฉีดน้ำ ก็ยังไม่หยุดฉีด แม้เขาจะล้มลงไปกับพื้นแล้ว เขามีอาการโคม่าและสุดท้ายเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2559 ด้วยอายุ 68 ปี 

 

ตำรวจฮ่องกงอยู่ในระหว่างการทดสอบรถยนต์ปราบจลาจล ซึ่งมีการติดตั้งอาวุธปืนฉีดน้ำด้วย มูลค่าคันละ 2.12 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในการทดสอบมีการผสมสีในของเหลว เพื่อใช้จำแนกบุคคลตามเป้าหมายในภายหลังด้วย การใช้สีลักษณะเช่นนี้อาจนำไปสู่การคุกคามหรือการคุมขังที่ไม่เหมาะสมภายหลังเหตุการณ์ ในน้ำอาจมีการผสมสารอย่างอื่น รวมทั้งสารเคมีที่ก่อความระคายเคืองหลายชนิด ทำให้ยากจะคำนวณปริมาณที่เหมาะสมของสารระคายเคืองที่ผสมลงไป

 

“การฉีดน้ำผสมสารก่อความระคายเคืองและสีในพื้นที่ที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นนั้น คุกคามเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ นอกจากอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรง การใช้สียังเป็นการทำเครื่องหมายอย่างไม่เลือกหน้า บนตัวคนจำนวนมากรวมทั้งผู้ชุมนุมอย่างสงบ นักข่าว และคนในพื้นที่ ทำให้เกิดข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ถูกทำเครื่องหมายเหล่านี้หลังสลายการชุมนุม” 

 

“เรากระตุ้นตำรวจฮ่องกงให้ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ในการตัดสินใจว่าจะใช้อาวุธปืนฉีดน้ำหรือไม่ อาวุธเพื่อควบคุมฝูงชนที่มีพลานุภาพเช่นนี้ ควรนำมาใช้ในลักษณะที่เหมาะสม เมื่อการตอบโต้โดยตรงกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ควบคุมความรุนแรงได้”

หมั่นเคย ตาม กล่าว

 

จนถึงวันที่ 6 สิงหาคม ตำรวจระบุว่าได้ยิงแก๊สน้ำตา 1,800 ลูก กระสุนยาง 300 นัด และระเบิดฟองน้ำ 170 ลูก ตั้งแต่การประท้วงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ในวันที่ 5 สิงหาคม เมื่อเกิดการนัดประท้วงหยุดงาน ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา 800 ลูกในทั้งแปดเขตของฮ่องกงเพื่อสลายการชุมนุม

 

มีผู้ถูกจับกุมแล้วกว่า 600 คน โดยในจำนวนนี้ 44 คนถูกตั้งข้อหา “จลาจล” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้ กฎหมายว่าด้วย “การชุมนุมอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย” และ “จลาจล” ของฮ่องกง ต่ำกว่ามาตรฐานระหว่างประเทศมาก

 

การปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยผู้ชุมนุมขว้างอิฐ แก้ว และระเบิดเพลิงใส่ตำรวจและสถานีตำรวจ แต่ตำรวจเองก็ตอบโต้ในลักษณะที่เร่งให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น 

 

ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาในพื้นที่ที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่น ทำให้แก๊สเหล่านี้รั่วไหลเข้าไปในบ้านเรือนประชาชน รวมทั้งบ้านพักคนชรา ข้อมูลจากโรงพยาบาลระบุว่า ได้รับคนไข้ที่มีอายุน้อยมากรวมทั้งเด็กทารกอายุหนึ่งขวบ ซึ่งต้องเข้าห้องฉุกเฉินเพราะได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตาที่รั่วไหลเข้าไปในบ้านในเขตหว่องไตซุนเมื่อวันจันทร์

 

ตำรวจปราบจลาจลยังดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมอย่างสงบ นักข่าว และคนในพื้นที่ และใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าอย่างชัดเจน แม้ในขณะที่ผู้ชุมนุมถอยร่น ตำรวจก็ยังคงยิงแก๊สน้ำตาใส่ ไม่ปล่อยให้พวกเขามีเวลาและโอกาสที่จะหาทางสลายการชุมนุมอย่างปลอดภัย

 

เจ้าหน้าที่ยิงกระสุนยางแม้ในสภาพที่ยากแก่การมองเห็นเนื่องจากควันของแก๊สน้ำตา รวมทั้งมีการเล็งกระสุนยางไปที่ศีรษะและกระดูกสันหลังของผู้ชุมนุม นักข่าว และผู้สังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน

 

“เจ้าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมายต้องสามารถทำหน้าที่คุ้มครองสาธารณชน อย่างไรก็ดี การใช้ความรุนแรงต่อตำรวจ ไม่ได้เป็นการเปิดไฟเขียวให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุเพื่อตอบโต้ ตำรวจต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยุทธวิธีซึ่งเร่งเร้าให้เกิดความรุนแรง และต้องเปลี่ยนไปใช้แนวทางที่ลดความตึงเครียดของสถานการณ์”

หมั่นเคย ตาม กล่าว

 

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอาวุธปืนฉีดน้ำดังต่อไปนี้

 

  • เจ้าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมายควรใช้ความระมัดระวังมากที่สุด และให้ใช้กำลังเฉพาะเมื่อจำเป็นอย่างยิ่ง
  • ควรนำอาวุธปืนฉีดน้ำมาใช้กับสภาพการณ์ที่สอดคล้องตามเงื่อนไขอย่างเข้มงวด และให้นำมาใช้เมื่อชอบด้วยกฎหมาย จำเป็น และได้สัดส่วนในการบรรลุวัตถุประสงค์ของการบังคับใช้กฎหมายที่ชอบธรรมเท่านั้น
  • ควรนำมาใช้ในลักษณะที่เหมาะสม เมื่อการตอบโต้โดยตรงกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ยังไม่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ควบคุมความรุนแรงได้
  • ไม่ควรยิงตรง ๆ ใส่บุคคลในระยะประชิด และต้องไม่ยิงที่ศีรษะ
  • ไม่ควรยิงใส่บุคคลที่ถูกควบคุมตัวหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว
  • ไม่ควรนำมาใช้ในสถานที่หรือพื้นที่คับแคบ ในลักษณะที่ผู้ชุมนุมไม่สามารถออกไปไหนได้แล้ว อย่างเช่น กรณีที่เป็นซอยตัน ในห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟ และสนามกีฬา
  • ต้องจัดให้มีเส้นทางหลบหนีหรือสลายการชุมนุม และต้องมีการเตือนให้ผู้ชุมนุมทราบล่วงหน้าก่อนจะใช้อาวุธปืนฉีดน้ำ  
  • ให้มีคณะกรรมการอิสระซึ่งประกอบด้วยผู้ชำนาญการด้านแพทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กฎหมาย และอื่น ๆ ทำหน้าที่กำกับดูแลการใช้อาวุธปืนฉีดน้ำ ต้องมีการประเมินอย่างเข้มงวด และต้องสาธิตวิธีการใช้อย่างชอบธรรมและปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามขั้นตอนปฏิบัติที่กำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะ และสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน