คำกล่าวเปิดงานแถลงข่าวเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2564/65 ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
29 มีนาคม 2565
Amnesty International
โดย เอร์วิน วาน เดอ บอร์ก
รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก
ขอต้อนรับเข้าสู่การเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2564 ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งรวบรวมสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนครอบคลุมกว่า 150 ประเทศทั่วโลก
รายงานนี้ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วที่แอฟริกาใต้ โดยแอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการสากลของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
ผมจะให้ภาพรวมโดยย่อเกี่ยวกับแนวโน้มด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก ตามที่เราได้เห็นในช่วงปี 2564 จากนั้นเพื่อนร่วมงานของผมจะเน้นในรายละเอียด เกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้ และในประเทศไทย
รายงานของเราแสดงให้เห็นว่า ผู้นำทางการเมืองและบรรษัทยักษ์ใหญ่เห็นผลกำไรและอำนาจของตนสำคัญกว่าประชาชน ไม่รักษาคำมั่นสัญญาที่จะฟื้นฟูอย่างเป็นธรรมภายหลังการระบาดใหญ่
ในที่ประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ G7 และ G20 รวมทั้งในเวทีระดับชาติ ผู้นำทางการเมืองเพียงแต่แสดงวาทศิลป์ว่า 'สร้างใหม่ให้ดีกว่าเก่า' เพื่อให้ทำให้โลกยุคหลังการระบาดใหญ่มีความเป็นธรรมมากขึ้น นโยบายเหล่านี้ควรจะสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลกระทบจากโรคระบาดรุนแรงขึ้น
แต่ในทางตรงกันข้าม นโยบายเหล่านี้กลับบั่นทอนความสำเร็จด้านวัคซีน ทำให้ความไม่เท่าเทียมหยั่งรากลึกมากขึ้นท่ามกลางชุมชนชายขอบ ที่ได้รับผลกระทบมากสุดจากระบบสุขภาพและเศรษฐกิจที่กำลังพังพินาศ
แม้บริษัทยาขนาดใหญ่จะได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐหลายพันล้านเหรียญ แต่พวกเขายังคงให้ความสำคัญกับความโลภของตนเองมากกว่าความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชน
นอกจากปัญหาการระบาดใหญ่แล้ว การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 ปี 2564 ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดหวัง รัฐต่าง ๆ ไม่สามารถตกลงกันได้ด้วยซ้ำเกี่ยวกับพันธกิจที่จะรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มเกินกว่า 1.5 องศา ซึ่งจะส่งผลให้ประชากรโลกกว่าครึ่งพันล้านคน ที่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศซีกโลกฝ่ายใต้ ต้องประสบกับปัญหาการขาดแคลนน้ำ และอีกหลายพันล้านคนต้องได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนที่รุนแรง
ความทุกข์ยากของมนุษย์ยิ่งรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของประชาคมโลก โดยเฉพาะบรรดารัฐที่มีอำนาจที่ไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งที่ทวีคูณมากขึ้นทั่วโลก
ความขัดแย้งใหม่และความขัดแย้งที่เรื้อรัง ปะทุขึ้นมาทั่วโลก ส่งผลให้พลเรือนได้รับความเสียหาย ทั้งการพลัดถิ่นฐาน ถูกสังหาร ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางเพศ และทำให้ระบบสุขภาพและเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้ว ต้องอยู่ในภาวะใกล้ล่มสลาย
ความล้มเหลวระดับโลกในการแก้ไขความขัดแย้งที่ทวีคูณมากขึ้น เร่งให้เกิดความไร้เสถียรภาพและการทำลายล้างในวงกว้าง ความไร้ประสิทธิภาพของมาตรการรับมือระดับโลกต่อวิกฤตเหล่านี้ เห็นได้ชัดเจนมากสุดจากภาวะอัมพาตของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาความทารุณโหดร้ายในเมียนมา การละเมิดสิทธิมนุษยชนในอัฟกานิสถาน และอาชญากรรมสงครามในซีเรียได้
ความเพิกเฉยอย่างน่าละอาย การเป็นอัมพาตอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานพหุภาคี และการขาดความรับผิดของรัฐมหาอำนาจ ล้วนเป็นสาเหตุสนับสนุนให้เกิดการรุกรานของรัสเซียในยูเครน ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดแจ้ง
แม้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอภิปรายถกเถียง เพื่อหาแนวทางรับมือกับปัญหาท้าทายนานัปการของโลก แต่หลายรัฐยังคงเพิ่มความพยายามในการปราบปรามเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ในขณะที่ความเห็นที่เป็นอิสระเป็นสิ่งจำเป็นมากสุด กลับเกิดแนวโน้มที่มุ่งปราบปรามความเห็นต่างมากขึ้น โดยรัฐบาลได้ใช้เครื่องมือและยุทธวิธีเพื่อปราบปรามอย่างกว้างขวาง
นักปกป้องสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ หน่วยงานด้านสื่อและผู้นำฝ่ายค้าน ต่างตกเป็นเป้าหมายการควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การทรมานและการบังคับให้สูญหาย โดยหลายกรณีเกิดขึ้นด้วยการอ้างเหตุผลเกี่ยวกับโรคระบาด
มีอย่างน้อย 67 ประเทศที่ประกาศใช้กฎหมายใหม่ในปี 2564 เพื่อจำกัดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก การชุมนุมโดยสงบและการสมาคม
นักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกควบคุมตัวโดยพลการในอย่างน้อย 84 จาก 154 ประเทศ จากการบันทึกข้อมูลของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
เราจะต้องพัฒนาต่อยอดแรงต่อต้านที่มีอยู่ของขบวนการประชาชนและกลุ่มอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งนี้เพื่อต่อสู้กับการทรยศของรัฐบาล และต่อสู้กับความพยายามใดๆ ที่จะปราบปรามการแสดงความเห็น ในกว่า 80 ประเทศ ประชาชนได้รวมตัวชุมนุมประท้วงเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ แอมเนสตี้จะเปิดตัวโครงการรณรงค์ระดับโลก เพื่อเรียกร้องให้มีการเคารพสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก และเพื่อทวงคืนพื้นที่ของภาคประชาสังคมกลับคืนมา