ทำความรู้จักกับ “จอห์น ซาโต” นักกิจกรรมวัย 95 ปี ที่ออกมาร่วมชุมนุมในนิวซีแลนด์

12 กันยายน 2562

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล 

จอห์น ซาโต ทหารผ่านศึกวัย 95 ปีจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ต้องต่อรถเมล์ถึงสี่สายเพื่อมาร่วมชุมนุมต่อต้านการเหยียดชาติพันธุ์ในโอ๊คแลนด์ตอนกลาง หลังเกิดเหตุการณ์กราดยิงมัสยิดในไครสต์เชิร์ชเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรื่องราวของเขาถูกพาดหัวข่าวไปหลายประเทศทั่วโลก และแสดงให้เห็นถึงพลังของคนธรรมดาในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ วันนี้เขาได้มาเล่าให้แอมเนสตี้ฟังว่าทำไมความรัก ความหวังและการเห็นใจ สร้างแรงบันดาลใจให้เขาออกมาร่วมชุมนุมได้อย่างไร

 

"ผมชื่อจอห์น เอ็ดวาร์ด เฮ็นรี่ ซาโตผมอายุ 95 ปี ผมมาตรงนี้ได้อย่างไรหรือ มีคนบอกว่านกคาบมาส่ง

แม่ผมเป็นคนสก็อตแลนด์ส่วนพ่อผมมาจากญี่ปุ่น ทั้งสองคนรับราชการตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม่ของผมเป็นพยาบาล ส่วนพ่อเป็นทหารเรือ แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ลงหลักปักฐานในนิวซีแลนด์

ตอนผมยังเด็ก คนที่เกิดจากคนสองชาติมักจะถูกเรียกว่าพวกครึ่งพันธุ์ และคนที่มีเชื้อสายอิตาเลี่ยนจะถูกเรียกอย่างหยาบคายว่าเดโกส แต่ผมไม่เคยได้ยินใครว่าผมแย่ๆ นะ

ผมเป็นเด็กที่ป่วยง่ายและเป็นหอบหืดหนักมาก แต่ผมก็พยายามไปเรียนหนังสือ ผมชอบโรงเรียนมาก ตอนอายุซัก 14 หรือ 15 ผมศึกษาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ ผมอยากจะเข้าใจจิตวิญญาณของมัน ผู้คนชอบเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนา และถ้าพวกเขาไม่เข้าใจอะไร พวกเขาก็จะกลัวสิ่งนั้น"

  

f72329caee7ce1d571da22941a20ad1b04f2eb54.jpg

การโจมตีที่เหี้ยมโหด

 

"นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไครสต์เชิร์ชในวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม ชาวมุสลิมถูกสังหารในสถานที่ทางศาสนา51 คนเสียชีวิตและอีกหลายคนบาดเจ็บ ผู้จู่โจมทำไปเพราะความเกลียดชังและเชื่อในชาตินิยมคนขาว

ข่าวออกทุกที่ จะในวิทยุหรือทีวี ผมไม่ค่อยดูทีวีแต่ไม่มีทางที่คุณจะไม่ได้ยิงข่าวนี้ มันเป็นวันที่เศร้าโศกของชาวนิวซีแลนด์

เรื่องดีอย่างเดียวคือการที่มันทำให้คนเข้าใจกันมากขึ้น มันเป็นโอกาสให้คนเรียนรู้ที่จะอดทนอดกลั้น เข้าใจกัน เคารพซึ่งกันและกันโดยไม่คำนึงถึงชาติหรือศาสนา

ผมต้องการที่จะไว้อาลัยให้พวกเขา ผมก็เลยขึ้นรถเมล์ไปมัสยิดที่ปากูรังกา มันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ผมเลิกขับรถไปสี่ปีแล้วก็เลยต้องพึ่งรถสาธารณะ วันนั้นมัสยิดปิด แต่มีคนวางดอกไม้ไว้เต็มกำแพง

ผมคิดว่าต้องมีคนมารวมกันที่ศาลากลางแน่ๆ ก็เลยต่อรถเมล์อีกสามสายไปที่จตุรัสอัลเทียซึ่มมีคนมารวมตัวจริงๆ นั่งในรถมันสบายกว่าเดินนะ รองเท้าไม่เสียด้วย มีคนมารวมกันเยอะมากๆ ผู้คนอยากจะให้คนที่เจ็บปวดเห็นว่าพวกเขายังเป็นที่นึกถึงอยู่"

 

กำแพงขวางกั้น

 

"อาคารคนละชนิดเกิดขึ้นมาเพื่อแต่ละศาสนา เพราะพวกเขามาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่ถ้ามองโดยไม่ใช่เพื่อตัดสิน เราก็จะเห็นว่ามันไม่ได้ต่างกัน  

ผมไม่ได้คาดหวังชื่อเสียงจากการมาครั้งนี้ ผมไม่ใช่คนอ่อนไหวหรือชอบทำดี แต่ผมแค่เห็นแก่ผู้อื่นเป็น ถ้าคุณผ่านอะไรมามากพอ คุณก็จะเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพบเจอ บางทีมันก็เป็นวิธีอบรมสั่งสอนที่ดี

ผู้คนกั้นกำแพงระหว่างกัน และส่วนใหญ่จะกั้นเพราะความไม่รู้หรือเชื่อสื่อที่บอกว่าเขาไม่ดี มันจะไม่เป็นข่าวจนกว่าอะไรเลวร้ายจะเกิดขึ้น พวกเราล้มเหลวที่จะเข้าใจว่ามีสิ่งดีๆและผู้คนดีๆมากมายในโลกนี้"

  12fe1fb8038b0d2487f504a4ad8ccf09d82d189a.jpg

ชีวิตครอบครัว

 

"ผมเรียนรู้จากภรรยาและลูกสาวมากมาย ผมและภรรยามีอายุมากแล้วตอนที่เราพบกัน 

ผมจำได้ว่าเพื่อนที่สนิทที่สุดสอนให้ผมเต้นวอลซ์ในทุ่งหญ้า ผมชอบเต้นรำนะ แต่ผมไม่เคยเต้นกับผู้หญิงได้สนุกเลยเพราะไม่เชี่ยวชาญ

ผมโดนเกณฑ์ทหารตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ไปสู้ในกองทัพนิวซีแลนด์ตอนผมอายุ 18 ปี เหมือนเช่นหนุ่มคนอื่นๆ พวกเราเครียดมาก บางคนก็คงกลัวมากๆ ด้วย อายุ 18 สมัยนั้นมันต่างกับสมัยนี้นะ พวกเราไร้เดียงสา พวกเขาจะเปิดเบียร์ขวดใหญ่ให้คุณ คุณดื่มไปสามขวดแล้วก็กำลังโซเซนั่นแหละเขาจะให้คุณเดินทัพกลับ เรานอนกันในเต็นท์ที่อยู่ตั้งแต่ตอนสงครามครั้งที่หนึ่ง แถมมีน้ำหยดลงมาจากหลังคาเวลาฝนตกด้วย ที่นอนคุณก็เป็นแค่กระสอบฟางวางบนพื้น

กว่าผมจะได้แต่งงาน ผมอายุ 40 ส่วนภรรยาผมอายุ 38 ผมทำงานในบริษัทเล็กๆ และเราก็กินนอนอยู่ชั้นบนของบริษัท มันไม่สบายเลยแต่เราเก็บออมอย่างหนักเพื่อซื้อบ้าน ต่อมาภรรยาผมก็ตั้งท้อง 

ลูกสาวของเราตาบอดและมีอาการชักตอนอายุ 18 เดือน ตอนสามขวบเธอติดเชื้อไวรัสที่กระทบกับการพูด เธอเข้าใจที่เราพูดแต่ตอบกลับไม่ได้ แต่แม้จะมีปัญหามากมาย เธอกลับเก่งโยคะอย่างไม่น่าเชื่อ

ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กตัวเล็กๆ เธอก็นั่งหลังตรงท่าดอกบัว เธอพาดข้อเท้าไปหลังคอได้และเมื่อภรรยาผมเล่าให้ครู้ฝึกโยคะฟัง ครูบอกว่านั่นเป็นท่าพื้นฐานที่เธอต้องฝึกนานถึง 7 ปี แอนน์ทำให้เรารู้อะไรอีกมากทีเดียว"

 

จุดเปลี่ยน

 

"ภรรยาผมเสียไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วจากโรคมะเร็ง ส่วนลูกสาวผมเสียไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาหลังติดเชื้อไวรัส ผมดีใจนะที่ภรรยาไม่ต้องอยู่ดูลูกสาวเราทรมาน

สามวันก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ลูกสาวผมพูดว่า “มูมา, ดาดา, รัก, รัก,” และครั้งสุดท้ายที่เจอ เธอพูดว่า “ ดาดา ,รัก” มันเป็นของขวัญที่วิเศษ

ทุกๆ คนถูกสร้างมาให้รับกับสิ่งที่เกิดกับตนเองได้ บางครั้งผมก็ตั้งคำถามทำไมเรื่องพวกนี้ต้องเกิดกับผมด้วย เรื่องที่แสนจะเจ็บปวด แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าพวกมันสอนให้ผมอดทนและเห็นแก่ผู้อื่น คุณเรียนรู้มากที่สุดกับสิ่งที่คุณพบเจอเอง

ผมสอนคนอื่นให้คิด รู้สึก หรือทำตัวอย่างไรไม่ได้ เราทุกคนแตกต่างกัน นั่นคือสาเหตุทำไมเราต้องเรียนรู้ด้วยตนเองและทำให้ดีที่สุด

พวกเราแตกต่างกัน และบางคนอาจเดินไปคนละทางกับเรา แต่ผมก็ยังคิดนะว่าเรายังมีความหวัง 

ถึงนักกิจกรรมทุกๆ คนที่อย่างสร้างความแตกต่าง รวมถึงคนในแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลด้วย การเรียนรู้ที่จะเคารพซึ่งกันและกันนั้นสำคัญมากกว่าการพยายามที่จะทำร้ายคนอื่น"