ครอบครัวของชาวอุยกูร์ รู้สึกหวาดกลัวเกินกว่าจะตามหาครอบครัวที่หายไป

29 เมษายน 2562

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

บทความโดย แพททริค พูน นักวิจัยประเด็นประเทศจีน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

แปลโดย Smiling Sun

การต้องดูคนที่เรารักถูกคุมขังโดยไร้ความผิดเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่การไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนหรือเป็นตายร้ายดีอย่างไรเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า

 

นี่คือสถานการณ์ที่ชาวอุยกูร์ คาซัค และชาติพันธุ์มุสลิมหลายร้อยคนต้องเผชิญหลังญาติของพวกเขาถูกนำตัวไปยังค่ายกักกันในจีน

 

ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือการที่ความพยายามที่จะตามหาคนที่หายไป กลับถูกขัดขวางโดยญาติๆของพวกเขาที่ยังอยู่ในมณฑลซินเจียง แต่ไม่ใช่เพราะญาติๆของพวกเขาไม่อยากให้หากันเจอ แต่เพราะพวกเขากลัวว่าการช่วยเหลือคนที่ออกไปจากจีนแล้วจะทำให้พวกเขาโดนส่งไปค่ายกักกันเสียเอง

 

“ศูนย์ปรับเปลี่ยนทัศนคติผ่านการศึกษา” เป็นคำที่ทางการจีนใช้เรียกค่ายกักกันเหล่านี้ โดยทางการจีนอ้างว่าบุคคลเหล่านี้จะได้รับ “การฝึกอาชีพ” เพื่อบำบัดพวกเขาจาก “ความคิดหัวรุนแรง”

 

หวาดผวาเกินจะพูด

 

แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คำว่า “การฝึกฝน” หมายถึงการลงโทษทรมาน อย่างที่อดีตผู้ถูกคุมขังและญาติๆของพวกเขาเล่าให้เราฟังว่าเกิดขึ้นภายในค่าย

 

เราไม่รู้ว่าความจริงแล้วมีอะไรเกิดขึ้นภายในค่ายบ้างเพราะรายละเอียดโครงการ “การให้การศึกษาใหม่” ก็เป็นความลับเหมือนกับสถานที่ตั้งของค่าย แต่เรารู้ว่าผู้คนล้วนกลัวการถูกส่งไปที่นั่น และคนที่รอดออกมาก็กลัวเกินกว่าที่จะเล่าให้ใครฟัง

 

“ผมไม่รู้ว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ไหม หรือมีอะไรอีกที่เราทำได้เพื่อตามหาพวกเขา” นายอาลิม (นามสมมุติ) ชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเรียได้กล่าว ครอบครัวและญาติคนอื่นๆของอาลิมถูกส่งไปค่ายกักกันตั้งแต่ปี 2018 และยังคงไม่มีข่าวคราวใดๆจนปัจจุบัน

 

ประสบการณ์ของอาลิมเป็นเรื่องทั่วๆไปของชาวอุยกูร์มากมายที่อาศัยในญี่ปุ่น ออสเตรเรีย และนิวซีแลนด์ที่เราเคยได้ยินมา

 

บางคนถึงกับต้องออกจากงานประจำเพื่อมาหาข้อมูลเรื่องคนที่หายไปในซินเจียง แต่ญาติพี่น้องในมณฑลที่พวกเขาคุยด้วยมักจะไม่ให้ความช่วยเหลือ ชาวอุยกูร์นอกประเทศหลายคนบอกกับเราว่าญาติๆในซินเจียงถึงกับบล็อคพวกเขาบน WeChat ซึ่งเป็นแอพสำคัญในการพูดคุยกับคนในประเทศจีน เพราะพวกเขากลัวผลกระทบที่จะตามมา

 

แต่คนที่อยู่นอกประเทศจีนก็ยังคงมีความเสี่ยงด้วย หลายคนกลัวที่จะถูกส่งกลับหากวีซ่าหรือพาสปอร์ตหมดอายุ แล้วจะโดนกักตัวทันทีที่เข้าแผ่นดินจีน

 

หลายๆประเทศได้มีรายงานว่าเคยส่งกลับชาวอุยกูร์แล้วเช่นสหรัฐอาหรับเอมิเรต อิยิปต์ ไทย ปากีสถาน สวีเดนและเยอรมัน ชาวอุยกูร์มากมายที่เราคุยด้วยหวาดกลัวกระทั่งที่จะเปิดเผยที่อยู่ของพวกเขา บางคนถามเราด้วยซ้ำว่าผู้สัมภาษย์เป็นคนจีนหรือไม่ จนเมื่อเรายืนยันไปว่าผู้สัมภาษย์เป็นชาวฮ่องกง พวกเขาจึงยอมคุยด้วย

 

ความหวาดระแวงแพร่กระจายไปทั้งชุมชน กระทั่งชาวอุยกูร์ในญี่ปุ่นบอกกับเราด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่กล้าพูดคุยกับชาวอุยกูร์ด้วยกันเองด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นสายของทางการจีน

 

ผู้ถูกขังบางส่วนได้รับการปล่อยตัวมาแล้ว แต่สำหรับครอบครัวของพวกเขา ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว

ในเดือนกันยายน 2018 เราได้พบกับชาวคาซัคในเขตอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน โดยญาติของคนกลุ่มนี้เคยถูกกักตัวในซินเจียง พวกเขาเล่าว่าดีใจที่ได้เห็นหน้าครอบครัวอีกครั้ง แต่ก็ต้องตื่นตระหนกเพราะพวกเขากลับมาไม่เหมือนเดิม

 

หลายคนมีอาการหวาดผวา พูดจาไม่รู้เรื่อง หรือสูญเสียความจำ คนที่ถูกปล่อยออกมาส่วนใหญ่หวาดกลัวเกินกว่าที่จะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในค่าย และนี่คือผลพวงจากการ “ฝึกอาชีพ”

 

ความหวังที่จะได้พบกัน

 

ท่ามกลางบรรยากาศของความหวาดกลัว ชาวอุยกูร์นอกประเทศจีนที่ยังคงตามหาญาติพี่น้องของพวกเขามีความดีใจอย่างมากสำหรับทุกการสนับสนุนแม้เพียงน้อยนิด แค่ทวีตสั้นๆจากคนแปลกหน้าที่กล่าวถึงสถานการณ์ของครอบครัวพวกเขาก็มากพอที่จะจุดความหวังว่าเหตุการณ์ของพวกเขาจะเป็นที่รู้จัก นอกจากนี้ทวีตเหล่านี้ยังมีผลพวกอีกอย่างที่คนส่วนใหญ่นึกไม่ถึง -- คือกำลังใจว่าพวกเขาไม่ได้เดียวดาย

 

ชาวอุยกูร์นอกจีนหลายคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ #MetooUyghur บนโลกออนไลน์ สำหรับหลายๆคน แค่การทวีตแท็คนี้ก็เป็นสัญญาณของการตัดสินใจที่ยากเย็นและกล้าหาญอย่างมากที่จะออกมาพูดให้โลกได้ยิน

 

หลายๆคนก็ได้เข้าหาองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นเนลด้วย เพราะหลุมดำทางข้อมูลในซินเจียงเป็นปัญหาใหญ่ที่ชาวอุยกูร์ที่ตามหาพี่น้องอยู่รู้ดีว่าพวกเขาไม่อาจทำได้โดยลำพัง

 

แต่แม้จะกลัวเพียงใด ผู้คนมากมายก็เริ่มออกมาเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง ตราบใดที่องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชนยังคงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเฝ้าระวังสถานการณ์ในซินเจียง

คำบอกเล่าเหล่านี้ก็เป็นเบาะแสสำคัญเพียงไม่กี่อย่างที่แสดงถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยทางการจีน

 

ทุกคนที่ออกมาเล่าล้วนแต่ตกอยู่ในความเสี่ยง แต่ทุกๆเสียงก็สำคัญอย่างยิ่งในการทลายกำแพงของปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นในซินเจียง มันคือก้าวแรกที่กล้าหาญที่จะนำไปสู่การรวมครอบครัวให้กลับมาเจอกันอีกครั้ง