นี่คือสถานที่ท่องเที่ยวหรืออาชญากรรมสงคราม? AirBnb หรือ TripAdvisor ก็ไม่แคร์

20 กุมภาพันธ์ 2561

บทความโดย กาเบรลล่า คุยจาโน ฝ่ายธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร Newsweek

แปลโดย Smiling Sun

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมารถไถของกองทัพอิสราเอลขับเข้าๆ ออกๆ หมู่บ้านคาน อัล อามาร์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเผ่าเบดูอินในเขตเวสต์แบงค์ โดย ณ ตอนนี้รถไถยังเข้ามาแค่ปรับพื้นที่เท่านั้น แต่อีกไม่นานพวกมันจะกลับมาทำลายบ้านเรือนมากมาย รวมถึงโรงเรียน สถานพยาบาล และมัสยิดของชุมชนนี้ ศาลสูงสุดของอิสราเอลได้อนุมัติการรื้อถอนหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และลูกบ้านกว่า 180 ชีวิตได้รับ “ทางเลือก” สองอย่าง คือย้ายไปอยู่ใกล้กับที่ทิ้งขยะของเมืองเจรูซาเลม หรือโรงบำบัดน้ำเสียเมืองเจริโค

 

เพียงสองกิโลเมตรห่างออกไปจากหมู่บ้าน คาน อัล อามาร์ คือชุมชนชาวอิสราเอลที่ชื่อคฟาร์ อดูมิม ซึ่งชุมชนดังกล่าวมีชีวิตต่างออกไปราวฟ้ากับเหว ชุมชนขนาดกว่า 400 หลังคาเรือนนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันพลุกพล่านเพราะวิวอันงดงามเหนือทะเลทรายจูเดียนและหุบเขาจอร์แดน ที่คฟาร์ อดูมิม นักท่องเที่ยวสามารถซื้อทัวร์ตั้งแคมป์ราคาแพงเพื่อที่จะได้ “ใช้ชีวิตเหมือนที่กล่าวไว้ในไบเบิล” ในดินแดนที่ถูกขโมยมาจากปาเลสไตน์และอยู่ในระยะที่สามารถเดินไปถึงคาน อัล อามาร์ได้ นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเพื่อใช้ชีวิตเลียนแบบชาวเผ่าเบดูอิน

 

เหล่าผู้อยู่อาศัยในชุมชนเหล่านี้สามารถเฟื่องฟูในธุรกิจการท่องเที่ยวได้ส่วนหนึ่งก็เพราะบริษัทจองที่พักออนไลน์ รายงานข่าวของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นเนลแสดงให้เห็นว่าบริษัทใหญ่เช่น Airbnb, Booking.com, Expedia และ TripAdvisor ล้วนมีส่วนในการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์โดยการแสดงที่พักและที่ท่องเที่ยวในชุมชนอิสราเอล ทั้งนี้การตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวอิสราเอลในพื้นที่ยึดครองจากปาเลสไตน์นั้นผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและถือเป็นอาชญากรรมสงคราม และการบังคับย้ายถิ่นฐานชาวเบดูอินในคาน อัล อามาร์ก็นับเป็นอาชญากรรมสงครามเช่นกัน คฟาร์ อดูมิมก่อตั้งหลังจากคาน อัล อามาร์กว่า 30 ปีและบุกรุกในพื้นที่ปศุสัตว์ของชาวเบดูอินเกือบทั้งหมด รวมถึงทำลายวิถีชีวิตของพวกเขาและบังคับให้ต้องอาศัยอยู่อย่างยากลำบาก

 5bc7268d9a80469d5d1073767d4a21df00cb9faf.jpg

อย่างไรก็ตาม ณ เวลาที่บทความนี้ถูกเขียน Airbnb, Booking.com, Expedia และ TripAdvisor ก็ยังคงแสดงรายชื่อที่พักและการท่องเที่ยวในคฟาร์ อดูมิม โดยได้แสดงที่ตั้งแคมป์ทางตะวันออกของชุมชน ที่ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเช่าเต็นท์แบบเบดูอินได้ในราคา 7,300 บาทต่อคืน โดย TripAdvisor ยังขายทัวร์ “ดินแดนพันธสัญญา” ที่ทำโดยบริษัทเดียวกัน รวมไปถึงอีกสองสถานที่ที่สามารถจองเข้าพักได้ นอกจากนี้ยังมีรีวิวโรงแรม ร้านอาหารอีกสองเจ้า และ “5 สิ่งที่ต้องทำ” ในชุมชนและบริเวณใกล้เคียง

 

ทั้ง AirBnb และ TripAdvisor ไม่ได้ระบุว่าการท่องเที่ยวดังกล่าวอยู่ในชุมชนที่ผิดกฎหมาย โดย Airbnb ระบุว่าคฟาร์ อดูมิมตั้งอยู่ใน “อิสราเอล” ซึ่งไม่ถูกต้อง และ TripAdvisor ระบุว่าที่ดังกล่าวเป็น “เขตปกครองปาเลสไตน์” ซึ่งก็ไม่ครบไปเสียทีเดียว เพราะบริษัทไม่ได้ระบุชัดเจนว่าการท่องเที่ยวในคฟาร์ อดูมิมจะเป็นการสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย หรือกระทั่งว่าชุมชนดังกล่าวและชุมชนรอบข้างล้วนเป็นการทำอาชญากรรมสงคราม บริษัทรับจองที่พักออนไลน์เหล่านี้ทำให้การกระทำความผิดในพื้นที่เป็นเรื่องปกติ และถือเป็นการสนับสนุนทางการเงินให้ผู้ตั้งถิ่นฐานผิดกฎหมายเหล่านี้และทำให้รัฐบาลอิสราเอลมีแรงจูงใจในการพัฒนาชุมชนมากขึ้น

 

ในเดือนพฤศจิกายน 2018 Airbnb ประกาศว่าทางบริษัทจะถอดรายชื่อ “ชุมชนอิสราเอลในเขตเวสท์แบงค์” ออกทั้งหมด ซึ่งจะครอบคลุมกว่า 30 ชุมชนรวมถึงคฟาร์ อดูมิมด้วย ทว่า Airbnb ไม่นับรวมเยรูซาเลมตะวันออกไว้ด้วย ซึ่งจะทำให้แม้ทางบริษัทดำเนินการตามที่กล่าว ก็จะยังคงมีรายชื่อที่พักและที่ท่องเที่ยวในชุมชนอิสราเอลมากกว่าบริษัทจองที่พักออนไลน์อื่นๆ ทั้งนี้ เขตเยรูซาเลมตะวันออกยังคงเป็นจุดปะทะสำคัญในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ แต่บริษัทจองที่พักทั้งสี่ที่ทางแอมเนสตี้ระบุมาก็ยังคงแสดงรายชื่อที่พักและที่ท่องเที่ยวในเขตดังกล่าว

 

ข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวอิสราเอลในปี 2017 รายงานว่ามากกว่าครึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเที่ยวอิสราเอลบอกว่าพวกเขาค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตก่อนการเดินทาง บริษัทเช่น AirBnb และ TripAdvisor วางตัวว่าพวกเขาตั้งอยู่บนความเชื่อถือกันระหว่างทุกๆ ฝ่าย แต่พวกเขากลับทำธุรกิจในระดับนานาชาติที่สนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้ายและเป็นระบบ ผู้ให้บริการการท่องเที่ยวออนไลน์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน และจนกว่าทาง Airbnb, Booking.com, Expedia และ TripAdvisor จะถอดรายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวในเขตชุมชนดังกล่าว บริษัททั้งสี่ก็ถือว่ายังคงละเลยต่อความรับผิดชอบและมาตรฐานขององค์กรเอง

 

ตราบใดที่ชาวปาเลสไตน์ทั้งในคาน อัล อามาร์และทุกๆ ที่ยังคงต้องเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน มันก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะแยกอาชญากรรมสงครามและการท่องเที่ยวอย่างเด็ดขาด