เกี่ยวกับเรา

แอมเนสตี้เชื่อว่าแม้คนเราจะเกิดมามีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่าๆ กันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

แอมเนสตี้คือใคร?

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือเรียกสั้นๆ ว่า แอมเนสตี้ คือกลุ่มคนธรรมดากว่า 10 ล้านคนทั่วโลกที่รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ ปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เราเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนที่ถูกละเมิดสิทธิ ร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อผลักดันกฎหมายและนโยบายที่คุ้มครองสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงสร้างความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้กับเยาวชนและคนในสังคม

ปัจจุบัน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มีสมาชิกกว่า 10 ล้านคนใน 150 ประเทศทั่วโลกและดินแดน เราเป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพียงประการเดียวคือการได้รับความมั่นใจว่าสิทธิมนุษยชนจะได้รับการเคารพและคุ้มครอง

เราเป็นองค์กรอิสระไม่ฝักใฝ่อุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนาหรือลัทธิใดๆ เรามุ่งทำงานเพื่อพัฒนากระบวนการและวัฒนธรรมทางสิทธิมนุษยชนในสังคมโดยทำงานผ่านการรณรงค์ เคลื่อนไหว ทำกิจกรรมเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งในระดับประเทศและระดับสากล รวมถึงสิทธิมนุษยชนศึกษาด้วย

กิจกรรมณรงค์ของเรามีรากฐานมาจากการทำงานวิจัย เราส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อสังคมที่เป็นธรรม เพื่อการปฏิรูปกฎหมาย การปล่อยตัวนักโทษและผู้ที่ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ถูกคุกคาม พร้อมทั้งเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย

การรณรงค์ของเรามีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเขียนจดหมาย ปฏิบัติการด่วนและประสานงานกับสื่อนานาชาติ รวมถึงการรณรงค์กับรัฐบาลและองค์กรภายในของรัฐเพื่อให้การรับรองรัฐธรรมนูญ สนธิสัญญาและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน นอกเหนือจากการทำงานด้านสิทธิทางพลเมืองและการเมือง เรายังได้ขยายการทำงานไปสู่ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยเชื่อมั่นว่าการเคารพ ปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนจะนำมาซึ่งการลดลงของปัญหาความยากจน อีกทั้งยังนำมาซึ่งความเสมอภาคและความยุติธรรม

ความเชื่อมั่นอันไม่สั่นคลอนของเราที่มีต่อพลังของผู้คนที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้น ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและแผ่ขยายไปยังทั่วทุกมุมโลก ด้วยการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีจากผู้สนับสนุนที่มุ่งมั่นเช่นคุณ ทำให้โทษประหารชีวิตถูกยกเลิกในหลายประเทศ สปายแวร์อันตรายที่ใช้โจมตีนักเคลื่อนไหวและนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนถูกเปิดโปง และเผด็จการที่ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถแตะต้องได้นั้นก็ต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่พวกเขาก่อขึ้น

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน

เราเปิดเผยความจริงและเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้มีอำนาจ เราเชื่อมั่นว่าเรามีมนุษยธรรมและความรับผิดชอบร่วมกันต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก

ประวัติแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

“64 ปีในการปกป้องสิทธิมนุษยชน”

พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)

ในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ปีเตอร์ เบเนนสัน ทนายความชาวอังกฤษได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกันนักนักศึกษาชาวโปรตุเกสสองคนที่ถูกจำคุกเพียงเพราะดื่มเหล้าและชนแก้วสดุดีเสรีภาพ

ด้วยความสะเทือนใจต่อความอยุติธรรมครั้งนั้น เขาได้ตีพิมพ์บทความเรียกร้องความช่วยเหลือ ชื่อว่า “นักโทษที่ถูกลืม” ในหนังสือพิมพ์ The Observer โดยเชิญชวนให้ผู้อ่านเขียนจดหมายเพื่อช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกที่ถูกจำคุกเพียงเพราะพวกเขาใช้สิทธิมนุษยชนของตนเอง

การตอบรับนั้นล้นหลามมาก จดหมายของเขาถูกตีพิมพ์ซ้ำไปทั่วโลกและได้นำไปสู่การที่ผู้คนนับพันเขียนจดหมายถึงผู้นำรัฐบาล คนที่เขียนจดหมายเหล่านี้มาจากหลากหลายประเทศและได้กลายเป็นรากฐานสำคัญขององค์กรในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963)

ในปี พ.ศ. 2506 (ค.ศ. 1963) อาร์ชบิชอป โจซิฟ สลิปี แห่งยูเครน (Ukrainian Archbishop Josyf Slipyi) ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในไซบีเรีย กลายเป็นนักโทษคนแรกที่ได้รับการปล่อยตัวจากการรณรงค์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล นับแต่นั้นเป็นต้นมา นักโทษหลายหมื่นคนได้รับอิสรภาพจากจดหมายและการเคลื่อนไหวของสมาชิกของเรา

พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972)

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ขยายการดำเนินงานของตนให้ครอบคลุมถึงการรณรงค์ต่อต้านการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐทั่วโลกในปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) และมีบทบาทในการผลักดันให้เกิดอนุสัญญาต่อต้านการทรมานโดยองค์การสหประชาชาติในอีก 12 ปีต่อมา (ในปี พ.ศ. 2527 หรือ ค.ศ. 1984) งานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเด็นนี้ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของภารกิจขององค์กร โดยล่าสุดได้มีบทบาทในการเรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่าด้วยการทรมานผู้ต้องขังที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ CIA

พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977)

ในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยในคำกล่าวระหว่างพิธีมอบรางวัล คณะกรรมการโนเบลกล่าวว่า “การปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จากการทรมาน ความรุนแรงและการดูหมิ่นเหยียดหยาม ถือเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงต่อสันติภาพของโลกใบนี้”

พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980)

การยุติโทษประหารชีวิตกลายเป็นอีกหนึ่งการรณรงค์ที่สำคัญของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ในปี พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) ซึ่งขณะนั้นมีเพียงเก้าประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต ปัจจุบันมีมากถึง 140 ประเทศ ในสหรัฐอเมริกา การสนับสนุนโทษประหารชีวิตจากประชาชนลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังคงทำงานทั้งในระดับรัฐและระดับรัฐบาลกลางเพื่อผลักดันให้ยุติโทษประหารชีวิตอย่างถาวร

ประวัติแอมเนสตี้ในประเทศไทย

พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976)

ผู้สนับสนุนแอมเนสตี้ทั่วโลกส่งจดหมายหลายแสนฉบับมายังรัฐบาลไทย เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาและประชาชนที่ถูกจับกุมจากการประท้วงในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่คนไทยเริ่มรู้จักแอมเนสตี้

พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993)

ในปีพ.ศ. 2536 หรือปีค.ศ.1993 แอมเนสตี้เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างจริงจัง มีการเลือกตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่สนใจสิทธิมนุษยชนแขนงต่างๆ ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก

พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) 

แอมเนสตี้จดทะเบียนในฐานะสมาคมตามกฎหมายไทยในปีพ.ศ. 2545 หรือปีค.ศ. 2002 ภายใต้ชื่อ “สมาคมเพื่อองค์การนิรโทษกรรมสากล” เพื่อร่วมทำงานพัฒนาสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความร่วมมือจากผู้สนับสนุนทุกคนในประเทศไทย ทั้งดำเนินกิจกรรมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจและการปกป้อง คุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยประสานความร่วมมือกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนองค์กรอิสระต่างๆ

พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007)

การณรงค์เพื่อปกป้องและส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกของแอมเนสตี้ทั่วโลกเริ่มขยายไปสู่เสรีภาพบนโลกออนไลน์และความเป็นส่วนตัว ตามการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมและเทคโนโลยี

พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016)

แอมเนสตี้ ประเทศไทย ทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อให้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับใหม่ไม่มีเนื้อหาที่เอื้อต่อการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและความเป็นส่วนตัวของคนไทยทั่วประเทศ

ปัจจุบัน

ทั้งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ยังคงทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อสิทธิมนุษยชน และเพื่อโลกที่ทุกคนสามารถมีสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งเรายังมุ่งหวังให้ทุกคนได้รับสิทธิมนุษยชนทุกประการตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอื่นๆ

พบปะคณะกรรมการของเรา

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้จัดงานประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 #AGM25 เมื่อวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา มีการเลือกตั้งกรรมการใหม่ 2 ตำแหน่งเพื่อทดแทนกรรมการที่หมดวาระลงไป ดังนั้น คณะกรรมการชุดล่าสุดของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ประกอบด้วย

  • พุทธณี กางกั้น นายกสมาคม, ประธาน
  • วรัธญา วรัตม์เสวก, กรรมการ และเลขานุการ
  • อชิรญา บุญตา, กรรมการเยาวชน
  • พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ, กรรมการ (คนใหม่) 
  • วัชรฤทัย บุญธินันท์, เหรัญญิก (คนใหม่)

ยุทธศาสตร์ของเรา

กรอบยุทธศาสตร์ระดับสากล

ข้อที่ 4 ในธรรมนูญของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กำหนดว่า “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ต้องมีเป้าหมายเชิงยุทธ์ศาสตร์เป็นแนวทางของขบวนการตลอดเวลา” นอกจากนี้ ข้อที่ 13 กำหนดว่า “แอมเนสตี้ ส่วนต่างๆ ต้องปฏิบัติตามคุณค่าหลักและวิธีการของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และต้องเป็นไปตามมาตรฐานหลัก ตลอดจนเป้าหมายเชิงยุทธ์ศาสตร์ใดๆ ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล”

กรอบยุทธศาสตร์ระดับสากล (2565 – 2573) คือประเด็นเร่งด่วนที่ได้ตกลงร่วมกัน ซึ่งเป็นแนวทางในการทำงานของแอมเนสตี้ในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2573 โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แอมเนสตี้ในฐานะขบวนการต้องการที่จะมีส่วนร่วม ผู้ที่สนใจสามารถอ่านกรอบกลยุทธ์ฉบับเต็มได้ ซึ่งมีทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน

กรอบยุทธศาสตร์ระดับสากลได้รับการเสนอโดยคณะกรรมการสากลและปฏิบัติตามกระบวนการปรึกษาหารืออย่างรอบด้าน ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสมัชชาสากล สมัชชาสากลเป็นหน่วยงานกำกับดูแลที่มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธ์ศาสตร์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รวมถึงยุทธ์ศาสตร์ทางการเงิน

ในโลกที่มีแต่ความไม่แน่นอนด้วยวิกฤตสภาพภูมิอากาศหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์อย่างกว้างขวาง ทำให้ความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรมขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จะยืนหยัดในฐานะขบวนการเคลื่อนไหวระดับโลกที่สามารถเชื่อมโยงกับบริบทในแต่ละพื้นที่ การทำงานร่วมกันกับบุคคลและขบวนการต่างๆ ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนจะทำให้เราประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวผู้ที่มีบทบาทและผู้มีอำนาจทั้งที่เป็นรัฐและไม่ใช่รัฐให้ยอมรับและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

เพื่อจุดประสงค์ดังที่กล่าวมา แอมเนสตี้ได้ระดมทรัพยากรและผนึกกำลังทำการรณรงค์ในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญสำหรับ 2 ประเด็นเร่งด่วน ดังนี้

ประเด็นเร่งด่วนที่ 1: สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและพื้นที่ของภาคประชาสังคม เพื่อ
  • สร้างความเข้มแข็งให้กับสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและ
  • สร้างหลักประกันสิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วงสำหรับทุกคน
ประเด็นเร่งด่วนที่ 2: ความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติในประเด็นเรื่อง
  • การส่งเสริมความยุติธรรมทางเพศและจัดการกับปัญหาอัตลักษณ์ที่ทับซ้อน
  • การส่งเสริมสิทธิด้านสุขภาพ ที่อยู่อาศัยและหลักประกันทางสังคม
  • การดำเนินการเพื่อรับรองความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ
  • การปกป้องสิทธิของผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ และสิทธิของผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะวิกฤติ

ประเด็นเร่งด่วนระดับโลก

80%

สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและพื้นที่ของภาคประชาสังคม และความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ

งานในประเด็นสิทธิมนุษยชนอื่นๆ

20%

ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและที่เกิดขึ้นใหม่

ในงานทั้งหมดที่เราทำ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ประเด็นเร่งด่วนระดับโลกหรืองานในประเด็นสิทธิมนุษยชนอื่นๆ แอมเนสตี้จะวิเคราะห์ วางแผนและประเมินผลงานด้านสิทธิมนุษยชนของเราผ่านมุมมองร่วมดังต่อไปนี้ 

  • บุคคลและชุมชนที่มีความเสี่ยง – การทำงานกับ/และเพื่อบุคคลและชุมชนที่มีความเสี่ยงโดยตรงต่อการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • อัตลักษณ์ที่ทับซ้อน การบูรณาการประเด็นเพศภาวะเข้าสู่กระแสหลักและการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ – มุ่งเน้นอย่างจริงจังไปยังผู้คนที่ถูกเลือกปฏิบัติทางโครงสร้างจากหลายสาเหตุที่ทับซ้อนกัน รวมถึงอัตลักษณ์ทางเพศ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ชนชั้นและรูปแบบอื่นๆ ของความเป็นมาทางสังคม วรรณะ เอกลักษณ์ของชนเผ่าพื้นเมืองและรสนิยมทางเพศ วิเคราะห์ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของการเลือกปฏิบัติ และรวมสิ่งที่ค้นพบไว้ในเอกสารคำแนะนำและข้อเรียกร้องในการรณรงค์อย่างชัดเจน 
  • ความรับผิดชอบของบรรษัท รวมถึงภาคส่วนเทคโนโลยี – วิเคราะห์บทบาทของผู้มีบทบาทในองค์กรและทำงานบนพื้นฐานดังกล่าวเพื่อประกันว่ารัฐจะออกข้อกำหนดในการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนที่จำเป็นสำหรับองค์กร เอาผิดกับองค์กรที่มีส่วนในการละเมิดสิทธิมนุษยชนและให้การเยียวยาต่อผู้เสียหายหรือเหยื่อ

ภายในช่วงเวลาของกรอบยุทธศาสตร์ 2565 – 2573 เพื่อสนับสนุนประเด็นเร่งด่วนด้านสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้จะเสริมสร้างและพัฒนาความสามารถของเราเพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน ดังนี้

มุมมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

เราต้องทำอะไรร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์นั้นๆ โดยเราสามารถ

  • แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับบุคคลและชุมชนที่เผชิญกับปัญหาท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนและสนับสนุนข้อเรียกร้องของพวกเขา
  • โน้มน้าวและช่วยให้ผู้รับผิดชอบปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ
  • โน้มน้าวและช่วยให้องค์กรจำกัดผลกระทบเชิงลบต่อสิทธิมนุษยชน และสำรวจวิธีการต่างๆ ในการมีส่วนร่วม
มุมมองด้านศักยภาพ

เราจะสร้างสรรค์นวัตกรรมและระดมทรัพยากรเพื่อการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย โดยการ

  • ขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนศึกษา
  • เสริมสร้างงานวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน
  • พัฒนางานรณรงค์กับภาครัฐและบรรษัทให้นําไปสู่ผลลัพธ์
  • เสริมสร้างความเข้มแข็งของขบวนการเคลื่อนไหวที่มาจากพลังของภาคประชาสังคมและทำให้แอมเนสตี้เป็นที่รู้จัก
  • เสริมสร้างงานของเราร่วมกับเครือข่ายหรือองค์กรภาคี
มุมมองด้านกระบวนการภายในและการเรียนรู้

สิ่งที่จะช่วยให้เรามีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย เช่น

  • การอ้างอิงงานของเรากับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและนโยบายของแอมเนสตี้
  • การเสริมสร้างความเข้มแข็งของขบวนการเคลื่อนไหวของเราโดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและกระบวนการ
  • การระดมทรัพยากรเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของสมาชิกและเจ้าหน้าที่ของเรา และในด้านความเสมอภาคและการมีส่วนร่วม
  • การเพิ่มและปรับปรุงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับผลกระทบและการตัดสินใจตามหลักฐาน
มุมมองด้านการเงิน

เราจะเพิ่มทรัพยากรของเราอย่างยั่งยืน เพราะการเพิ่มทรัพยากรและรายได้ของเรา จะเป็นการสร้างความยั่งยืนทางการเงินที่สอดคล้องตามหลักคุณค่าของเรา

ในโลกที่เต็มไปด้วยการตักตวงผลประโยชน์ทางธุรกิจและการเมือง แอมเนสตี้ยึดมั่นในความเป็นกลาง อิสระและโปร่งใส เรารับเงินบริจาคสำหรับการรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนจากคนธรรมดาเช่นคุณเท่านั้น เราปฏิเสธเงินสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน เพราะผลประโยชน์เดียวที่เรายึดถือคือสิทธิมนุษยชนของคนทุกคน

ภารกิจหลักของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

งานรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนและงานผลักดันเชิงนโยบาย
  • รณรงค์เพื่อสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงอย่างสงบ
  • รณรงค์เพื่อนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม
  • รณรงค์เพื่อคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
  • รณรงค์เพื่อบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
  • รณรงค์ยุติการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย
  • รณรงค์ยกเลิกโทษประหารชีวิต
งานสิทธิมนุษยชนศึกษา สำหรับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไปและสื่อมวลชน
  • กิจกรรมห้องเรียนสิทธิมนุษยชน 
  • งานเสวนาและกิจกรรมสาธารณะด้านสิทธิมนุษยชน
  • ทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนามาตรฐานสิทธิมนุษยชนในประเทศ

การตัดสินใจสำคัญๆ ของเรามาจากการปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของสมาชิกแอมเนสตี้ทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่างานของเราสะท้อนความคิดเห็นของผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยอย่างแท้จริง

สิทธิมนุษยชนมีความเป็นสากล ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน มีเชื้อชาติ ศาสนาหรือเพศใด สิทธิมนุษยชนก็ยังเป็นของคุณ และไม่มีใครสามารถพรากสิทธิมนุษยชนไปจากตัวคุณได้ หากคุณคือคนหนึ่งที่เชื่อแบบเดียวกับเรา สนับสนุนงานของเราตั้งแต่วันนี้

ด้วยพลังของคนธรรมดาเช่นคุณที่ร่วมมือกับเรา การทรมานผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจกลายเป็นอาชญากรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ที่ถูกจับกุมเพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับรัฐได้รับการปล่อยตัว ผู้ที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนยากจนที่ถูกรังแกได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย คนหลากเชื้อชาติ เพศและศาสนาต่างเข้าถึงสิทธิทางสังคมอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

เอกสารที่เกี่ยวข้อง

ปกป้องเสรีภาพการแสดงออก

สิทธิของบุคคลทุกคนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการแสดงความคิดเห็น เป็นสิทธิในระดับสากลที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สนับสนุนความเท่าเทียม

เราทุกคนต้องได้รับการปกป้องจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งการแสดงออกตามอัตลักษณ์ทางเพศ รสนิยมทางเพศและเพศวิธี ภายใต้หลักการด้านสิทธิมนุษยชน